บทที่ 3 เจ้าสาวจำยอม
ภายในถ้ำที่มีแสงสลัวๆ อันเดจากกองไฟขนาดย่อม ด้านนอกพระอาทิตย์ไม่ฉายแสงแล้ว แต่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภาแทนที่ สายลมเดือนเก้าซึ่งเป็นต้นฤดูใบไม้ร่วงเจือความหนาวเย็นในยามค่ำ พาให้ร่างบอบบางที่นอนราบกับแผ่นหินแข็งเย็นสั่นสะท้าน หากก็ยังไม่ลืมตาตื่นขึ้นเสียที
“ข้าทำให้นางกลัวหรือ” น้ำเสียงเรียบสนิทของสตรีขัดแย้งกับคำถามอย่างเห็นได้ชัด สรุปแล้วผู้ถามรู้สึกเช่นไร หาได้มีใครรู้
“เจ้ากลายร่างต่อหน้านางเช่นนั้น หากนางไม่กลัว นางก็แปลกคนแล้ว!” คำตอบของชายหนุ่มค่อนข้างฉุนเฉียว
“เฮยอวิ้น เจ้าช่วยนางไว้ เพราะต้องการกินนางใช่หรือไม่”
“ข้าไม่กินเจ้าสาวของตัวเอง”
“อา... เจ้าต้องการนางมาเป็นเจ้าสาวนี่เอง”
เจ้าสาว!?
หญิงสาวสะดุ้งกับคำตอบนั้น นางพยายามขืนเปลือกตาให้เปิด และลุกขึ้นแก้ต่างในความเข้าใจผิดของคน... ไม่ใช่สิ เป็นความเข้าใจผิดของเสือดำและจิ้งจอกขาวต่างหาก ทว่าเมื่อนางลุกขึ้นนั่ง และก็พบว่าร่างกายนางตอนนี้เหลือเพียงเอี๊ยมและกางเกงตัวในเท่านั้น นางก็รีบกอดซุกตนเองด้วยมือทั้งสองข้าง
เสียงหัวเราะไร้ชีวิตดังมาจากปากของไป๋เลี่ยง จากนั้นนางก็สะกิดคนข้างๆ และบอกว่า “เฮยอวิ้น เจ้าสาวของเจ้าตื่นแล้ว ดูเหมือนนางกำลังหวาดกลัวเจ้าอยู่แน่ะ”
เฮยอวิ้นขมวดคิ้วหันมองนาง ดวงตาดำขลับนอกจากมีโทสะยังแสดงออกถึงความเจ็บปวดนิดๆ ก่อนบอกนางว่า “เหตุใดเจ้าต้องกลัวข้า แผลบนไหล่ของเจ้าเป็นข้าช่วยรักษาให้แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวข้าสักนิด ถึงแม้ตัวเจ้าจะหอมหวานชวนน้ำลายสอก็เถอะ แต่ข้าก็ไม่ได้กินเจ้าเสียหน่อย” พูดแล้วเขาก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้นาง ทำท่าสูดดมตัวนางเพื่อยืนยันในคำพูด
จิ่นกุ้ยกระถดถอยหลัง แต่แผ่นหลังนางติดกำแพงหินแล้ว ด้วยความตกใจกลัวว่าเฮยอวิ้นจะทำอะไรนาง นางยกมือขึ้นทำท่าจะตบเขา แต่ก็อีกนั่นแหละ เสือดำมีสัญชาตญาณว่องไว เขาคว้าข้อมือเรียวเล็กของนางก่อนที่ฝ่ามือนางจะกระทบลงบนใบหน้าของเขา จากนั้นพานางล้มนอนลง โดยมีเขาทับนางอยู่ด้านบน
นางนิ่งขึงด้วยความหวาดกลัว แทบกลั้นหายใจมองดวงตาเปล่งประกายของเฮยอวิ้น
“เฮยอวิ้น ข้าคงต้องกลับถ้ำของข้าก่อนนะ” ไป๋เลี่ยงบอกอย่างไม่คิดจะอยู่เป็นก้าง จากนั้นเดินออกนอกถ้ำทันที
เมื่อไป๋เลี่ยงออกไปแล้ว เฮยอวิ้นยกมือข้างหนึ่งมาเท้าคาง มองดวงหน้าขาวเนียนจากตำแหน่งบนตัวนาง
“เจ้าหอมหวานจริงๆ ว่าแต่ เจ้าชื่ออะไร”
ถึงแม้จิ่นกุ้ยจะยังหวาดกลัวเขาอยู่ แต่นางก็กลั้นใจผลักอกของเขาเพื่อให้เขาออกห่างจากนาง แต่เรี่ยวแรงของนางน้อยนิด และยิ่งคิดว่าเขาคือเฮยอวิ้น ราชาสัตว์ป่าแห่งนี้ นางก็รู้สึกว่าตนนั้นโง่เขลา เรี่ยวแรงของนางหรือจะสู้เขาได้ นางขบริมฝีปากหันหน้าหนี
“หนีงานแต่งมาหรือไง” จู่ๆ เฮยอวิ้นก็เอ่ยขึ้น
คำถามนั้นทำให้หญิงสาวอดหันมองเขาไม่ได้ ผู้ชายคนนี้คาดเดาได้ถูก เขาไม่ได้โง่เหมือนสีหน้าเลยสักนิด จริงสิ เขาคือราชาแห่งป่า ไม่ใช่มนุษย์และสัตว์ และไม่นับว่าเป็นปีศาจ เขาต้องรู้เรื่องราวภายในเมืองซั่นกวงอยู่แล้ว อีกอย่างชุดที่นางสวมใส่เป็นชุดเจ้าสาว คนกำลังมีงานมงคลย่อมต้องมีความสุข แต่นางกลับวิ่งเข้าป่า ต่อให้เป็นคนโง่ยังเดาออกเลยว่านางหนีงานแต่งงานเพื่อฆ่าตัวตาย
“ผู้ชายที่เจ้าจะแต่งด้วยเป็นคนไม่ดีหรือ เจ้าถึงอยากตายจนหนีเข้าป่ามาสังเวยข้า” เฮยอวิ้นคาดเดาอีก เหมือนว่าต้องการตะล่อมให้นางโต้ตอบให้ได้ “เอาละ ถึงข้ายอมรับการสังเวยของเจ้า แต่เจ้าสบายใจเถอะ ข้าไม่คิดข่มเหงเจ้าทั้งที่เจ้าไม่เต็มใจหรอก ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้าทั้งนั้น แต่เรื่องเจ้าสาว ข้าไม่คืนคำหรอกนะ เจ้าเข้าป่าด้วยสภาพนั้น ข้าจะรับเจ้าเป็นเจ้าสาวของข้า”
ได้ยินเขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง อีกทั้งยังมองสบตานางขณะพูด นางก็รู้แล้วว่าเฮยอวิ้นไม่ได้โกหก เขาหมายมาตรหมายมาดแล้วว่านางคือเจ้าสาวของเขา แต่... ถึงนางไม่เต็มใจ ทว่าบนแผ่นดินซั่นกวงยังมีที่ให้นางกลับไปได้อีกหรือ เหลิ่งซานเหวินเป็นคุณชายตระกูลวาณิชขึ้นชื่ออันดับต้นๆ ของเมืองนี้ หนำซ้ำยังเป็นอันธพาลประจำเมือง หากนางกลับไป เขาต้องจับนางมัดไว้บนเตียงและทรมานนางไม่หยุดแน่!
คิดแล้วนางยกมือขึ้นมาปิดหน้า ตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว
“เฮ้! ข้าบอกแล้วว่าอย่ากลัวข้าไง” เฮยอวิ้นเขย่าไหล่นางอย่างร้อนรน
นางลดมือลง มองชายหนุ่มที่ยังคร่อมเหนือตัวนาง รู้สึกได้ว่ามือใหญ่ที่กุมไหล่นางอบอุ่น
แผลบนไหล่นางก่อนนั้นแม้เกิดขึ้นเพราะเขา แต่เขาก็รักษานางจนหาย เหนืออื่นใด กลิ่นอายบนตัวเขาทำให้นางสะท้านอายอย่างที่นางไม่เคยเป็นกับบุรุษไหนมาก่อน
แม้แต่กับเหลิ่งซานเหวิน ชายคนนั้นตอนมาซื้อผ้าร้านสกุลจือกับอนุคนที่สอง ครั้งแรกเขาก็ฉวยมือของนาง ประกาศก้องร้านว่าจะแต่งนางเป็นภรรยาคนที่สี่ เขาเป็นคุณชายมากเงินทองและมีสตรีล้อมหน้าหลังตลอด ถึงแต่งเป็นอนุ เชื่อว่าหญิงสาวหลายคนคงยินยอม แต่นั่นไม่ใช่กับนางแน่
เหลิ่งซานเหวินมาที่ร้านผ้าบ่อยครั้ง แตะต้องนางโดยที่เถ้าแก่เนี้ยไม่คิดช่วยห้ามปราม กระทั่งมีแม่สื่อมาพร้อมขบวนเจ้าสาว จือเหนียงข่มขู่นางว่าหากไม่ยินยอมแต่งกับเหลิ่งซานเหวินจะไม่ให้นางทำงานที่ร้านผ้าอีก และจะป่าวประกาศให้ทั่วเมืองว่านางคือดาวโชคร้าย เพียงเท่านี้ ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ยินดีรับนางเข้าทำงาน
เพราะหวาดกลัวว่าจะไม่มีที่ให้นางยืนในซั่นกวง นางจึงยอมแต่งชุดเจ้าสาว แต่จนแล้วจนรอด วินาทีขณะที่นางกำลังขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว ความรู้สึกถูกผิดทำให้นางหนีออกมา...
“ข้าทำให้เจ้ากลัวหรือไง” เฮยอวิ้นถามอีกครั้ง ดึงสตินางกลับมาสนใจเขาดังเดิม
หญิงสาวมองชายหนุ่มที่เท้าคางคร่อมเหนือร่างนาง ถึงเฮยอวิ้นจะขี้ตู่คิดเองฝ่ายเดียวว่านางคือเจ้าสาวของเขา แต่เขากลับไม่ได้คุกคามนางจริงๆ ซึ่งนั่นได้ลดทอนความหวาดกลัวในใจนางลงส่วนหนึ่ง
“ข้าไม่ได้กลัวท่าน” นางบอก “อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็ไม่คิดว่าท่านอันตราย ข้าแค่... ช่างเถอะ ท่านช่วยลุกออกจากตัวข้าก่อน และแล้วเสื้อผ้าของข้าอยู่ไหน”
ได้ยินดังนั้นเฮยอวิ้นยิ้มกว้าง จากนั้นขยับตัวลุกขึ้นนั่งตรงขอบเตียงหินด้วยความเสียดายนิดๆ นางเองก็ลุกขึ้นนั่งตาม จากนั้นเขาบอกนางพลางชี้ไปทางผนังหินอีกฝั่ง “ข้านำไปซักคราบเลือดให้เจ้าแล้ว ตอนนี้กำลังตากอยู่ตรงนั่นไง”
จิ่นกุ้ยมองชุดเจ้าสาวและเสื้อตัวกลางสีขาวที่ถูกกางตากกับท่อนไม้ไผ่ยาว ใกล้ๆ นั้นคือกองไฟขนาดเล็กกองหนึ่ง นางมองเฮยอวิ้น จากนั้นแล้วมองกองไฟ เขาเป็นเสือดำที่แปลกโดยแท้ สัตว์ป่าควรกลัวไฟ แต่เขากลับจุดกองไฟเพื่อผิงให้เสื้อผ้านางแห้งเร็วขึ้น มิน่า ในถ้ำนี้ถึงไม่มืดชวนขนหัวลุก แต่อบอุ่นด้วยเปลวไฟนั่นเอง
ต้นฤดูใบไม้ร่วงอากาศยามค่ำค่อนข้างเย็น ไม่ถึงกับหนาวเหน็บ แต่ตอนนี้นางไม่มีเสื้อผ้าคลุมกายย่อมหนาวเป็นธรรมดา แต่เขากลับจุดไฟกองเล็กกองนั้น... เพื่อนาง?
หญิงสาวก้มศีรษะลงต่ำหน้าแดง จากนั้นกระซิบเสียงเบาบอกเขาว่า “ขอบคุณท่าน”
เฮยอวิ้นหันมามองนางพลางเลิกคิ้ว พูดยิ้มๆ ว่า “เจ้าเริ่มชอบข้าแล้วหรือ”
ได้ยินเขาพูด นางเงยหน้าพรวดเพื่อปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นริมฝีปากของเขาฉีกยิ้มกว้างรวมทั้งดวงตาดำขลับมีเสน่ห์หยีเล็กน้อยชวนให้ใจของหญิงสาวกระตุก คำปฏิเสธของนางก็จุกอยู่ในลำคอ เอ่ยไม่ออกสักประโยคเดียว
นับเป็นครั้งแรกที่นางเห็นว่ารอยยิ้มของบุรุษชวนหลงใหลถึงเพียงนี้ พอคิดว่านางหลงใหลรอยยิ้มนั้น นางรีบหลับตาแน่น ไม่มองหน้าของเขาอีก
อันตราย... อันตรายเกินไป!
“เป็นอะไรไปอีก” เฮยอวิ้นถาม
นางกอดตนเอง สั่นศีรษะ แก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูก จะให้นางบอกได้อย่างไรว่านางหลงใหลรอยยิ้มและดวงตาของเขาเสียแล้ว!
เห็นนางไม่ตอบ เขาก็ไม่เร่งรัดถามนาง เพราะนอกจากท่าทางแปลกประหลาดของนางแล้ว นางก็ไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวเขาอีก ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเป็นตั้งคำถามใหม่ “เจ้ารู้จักชื่อข้าแล้ว แต่ข้ายังไม่รู้จักชื่อของเจ้าเลย เจ้าชื่ออะไรรึ”
“จิ่นกุ้ย” นางตอบทั้งที่ยังหลับตาแน่น
“จิ่นกุ้ย เอาล่ะ จิ่นกุ้ย ลืมตาสิ ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่กินเจ้า”
นางสั่นศีรษะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขาจะกินนางหรือไม่ ปัญหาอยู่ที่นางต่างหาก หัวใจของนางกระตุกเพียงเพราะรอยยิ้มของเฮยอวิ้น นางเพิ่งรู้จักเขาแท้ๆ อีกอย่างเขาก็เป็นเสือดำ ราชาแห่งป่าเฮยหู่ นางไม่... นางไม่อาจคิดว่าจะชื่นชอบเขาได้ ยิ่งไม่ต้องคิดถึงการเป็นเจ้าสาว
คิดมาถึงตรงนี้ บนตัวนางสัมผัสได้ถึงเนื้อผ้าคลุมลงมา ปิดร่างนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเปล่าเปลือย อีกทั้ง นางยังได้กลิ่นอายของบุรุษที่กำจายจากเนื้อผ้านี้ชัดเจนอย่างยิ่ง
นางลืมตา มองต้นเหตุของความสงสัย ถึงเห็นว่าบนตัวของเฮยอวิ้นมีเพียงเสื้อชั้นกลางสีดำ และรู้ว่าเฮยอวิ้นถอดเสื้อคลุมของเขามาห่มคลุมร่างนาง
แสงไฟจากกองไฟเล็กสะท้อนส่ายไหวบนผนังหิน นางหันมองเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มด้านข้าง โครงหน้าของเขาชัดเจนเป็นสัน ก่อนนั้นนางมัวแต่ตกใจจึงไม่ได้สังเกตเขาให้ชัดกว่านี้ พอมีโอกาสสำรวจ นางถึงรู้ว่าเฮยอวิ้นหน้าตาหล่อเหลาชนิดที่คุณชายในเมืองซั่นกวงไม่อาจเทียบติด หากเขาเป็นมนุษย์ธรรมดา และวันนี้คนที่นางแต่งด้วยเป็นเขา นางอาจไม่ปฏิเสธก็เป็นได้
ทว่าน่าเสียดาย เขาเป็นเสือดำอันตราย สัญชาตญาณสัตว์ป่าคือดุร้ายและหิวกระหายตลอดเวลา อย่างนั้นแล้ว นางยังจะอยู่กับเขาได้อีกหรือ!