บทที่ 2 เขาคือเฮยอวิ้น
“อย่าทำอะไรข้า...”
นางพูดเสียงวิงวอนและสั่นเครือเนื่องจากรู้สึกหวาดผวา
เพียงแค่ได้ยินน้ำเสียงนั้นก็ทำให้เขารู้สึกสงสารนางขึ้นมาแล้ว แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาไม่คิดจะทำอะไรนางเสียหน่อย ถึงบรรดาสัตว์ในป่าเฮยหู่จะคิดแบบนั้นก็เถอะ แต่หากว่าเขาไม่ยินยอมให้ทำร้าย นางยังจะเป็นอะไรได้!
เฮยอวิ้นขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ บอกนางตามตรงด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวนิดๆ ว่า “ข้าไม่ได้จะทำอะไรเจ้า!”
ได้ยินดังนั้น หญิงสาวมองเขาอย่างลังเล จากนั้นแก้มของนางก็ขึ้นสีแดง ก่อนเอ่ยถามเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ท่าน... ท่านไม่ได้จะข่มเหงข้าหรอกหรือ” แล้วเสื้อผ้าของนางที่หลุดลุ่ยนี่เล่า เขาจะอธิบายอย่างไร
“ข่มเหงเจ้า?” เขาขึ้นเสียงสูง เขาจะข่มเหงนางได้อย่างไร นางเป็นเจ้าสาวของเขา หากเขาข่มเหงนางไม่เท่ากับว่าเขาหลบหลู่ลบหลู่ต่อสวรรค์หรอกหรือ
ฟังเขาพูดแล้วนางอดก็ก้มมองสภาพของตนเอง ถึงเสื้อหลุดลุ่ย แต่กระโปรงยังอยู่ครบ เพียงเท่านั้น นางย่อมเดาออกว่าเขาไม่ได้ข่มเหงนางตอนนางไม่ได้สติ อีกอย่างพอนางลูบบนไหล่ตนเองกลับไม่พบว่ามีบาดแผล ยิ่งไม่รู้สึกเจ็บ นางจิ่นกุ้ยมีสีหน้าครุ่นคิด ซ้ำยังพึมพำอีกว่า “แปลกจริง แผลบนไหล่ข้าหายได้อย่างไร”
เฮยอวิ้นสูดปาก ก่อนพูดด้วยความหงุดหงิดว่า “แปลกอะไรกันเล่า ข้ารักษาบาดแผลให้เจ้าสาวของข้าไม่เห็นแปลกตรงไหน”
ปากเล็กแดงปลั่งเผยอค้าง ก่อนชี้หน้าตนเองอย่างสับสนพลางทวนคำพูดของเขาเมื่อครู่ “ท่านรักษาบาดแผลให้เจ้าสาวของท่าน ท่านหมายถึงข้าอย่างนั้นหรือ”
ชายหนุ่มพยักหน้าตอบ “ใช่”
หญิงสาวขมวดคิ้วครุ่นคิด ลูบไหล่ตนเองอีกครั้ง พลางคาดคะเนอย่างลังเล “ท่านไม่ใช่เหลิ่งซานเหวิน ข้าจะเป็นเจ้าสาวของท่านได้อย่างไร อีกอย่างท่านบอกว่าท่านรักษาบาดแผลฉกรรจ์บนไหล่ให้ข้า และบนไหล่ของข้าก็ไม่มีร่องรอยแผลนั้นจริงๆ การที่ท่านทำเช่นนั้นได้ ท่านต้องไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาด้วยใช่ไหม”
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจอีกครั้ง ยอมรับว่านางมีไหวพริบไม่น้อยทีเดียว ก่อนตอบนางว่า “เจ้าคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว”
หญิงสาวสูดหายใจลึก ดวงตากลมโตเบิกมองเขา แต่ชั่ววินาทีอึดใจต่อมา นางมีสีหน้าคล้ายกลั้นอารมณ์ เหมือนว่าจะกลั้นหัวเราะก็ไม่ใช่ จะตกใจถึงขีดสุดก็ไม่เชิง มีความสับสนฉายชัดบนใบหน้า
เห็นสีหน้าเช่นนั้นของนางแล้ว เขาสงสัยเหลือเกินว่าตั้งแต่แรก คำพูดของเขาไม่อาจทำให้นางเชื่อถือได้เลยหรือ และวินาทีอึดใจต่อมาเขาก็รู้คำตอบของคำถามเมื่อครู่เมื่อนางหลุดหัวเราะ
“หัวเราะอะไร” เขาขมวดคิ้วถาม
นางหยุดหัวเราะ ปั้นหน้าเป็นปกติ ก่อนถามอย่างระแวงอีกครั้ง“ท่านไม่ใช่เหลิ่งซานเหวิน ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แล้วท่านเป็นใครกันล่ะ”
ดี! ในที่สุดนางก็ถามเสียทีว่าเขาเป็นใคร
ชายหนุ่มเลียริมฝีปากตอบนางด้วยท่าทางไม่กดดันว่า “เฮยอวิ้น”
คราวนี้หญิงสาวไม่เอ่ยถามเขาอีก และไม่ได้มีสีหน้าสับสนหรือข่มกลั้นหัวเราะอีก อาจจะบอกได้ว่าหลังจากนางได้ยินเขาประกาศชื่อนางก็ดวงตาเบิกโตและก็ได้แต่นั่งนิ่งขึงอยู่เช่นนั้น ดวงตาเบิกโตราวกับอาจเพราะนางคงคิดตกแล้วว่าเฮยอวิ้นก็คือชื่อของเสือดำ ราชาป่าเฮยหู่แห่งนี้!
แต่เขาไม่โทษนาง เพราะนอกจากสมาชิกในป่าเฮยหู่ มนุษย์ทั่วไปล้วนไม่มีใครรู้ว่าเสือดำอย่างเขามีร่างมนุษย์ที่หล่อเหลาจนทำให้หญิงสาวตกตะลึงได้ ฉะนั้นไม่แปลกที่นางไม่เชื่อเขาตั้งแต่แรก
เขาลูบคาง ยิ้มมุมปาก ชื่นชอบสายตาของนางยามรับรู้ว่าเขาคือใคร
เฮยอวิ้น เสือดำอย่างไรเล่า!
เฮยอวิ้น นั่นคือชื่อของเสือดำไม่ใช่หรอกหรือ!
นางเคยได้ยินผู้คนในเมืองพูดเรื่องของเสือดำเฮยอวิ้น ตั้งแต่คนชราจนถึงเด็กเล็กๆ ซ้ำอดีตฮ่องเต้ยังตั้งชื่อให้เสือดำตัวนี้ด้วยว่า ‘เฮยอวิ้น’ เรื่องของเสือดำเป็นตำนานของแคว้นซั่นกวงไปแล้ว บ้านไหนมีเด็กซุกซน กลางคืนไม่ยอมนอน หากลองข่มขู่ว่าเฮยอวิ้นจะมากินตับตอนดึก เด็กบ้านนั้นก็จะไม่กล้าซุกซนอีก
เฮยอวิ้น คือเสือดำน่าเกรงขาม
เฮยอวิ้น คือนักล่าโหดเหี้ยมยามราตรี
เฮยอวิ้น ผู้ทำพันธะสัญญาพันธสัญญากับฮ่องเต้พระองค์ก่อน
แต่ทั้งหมดนั้น นางไม่เคยได้ยินว่าเฮยอวิ้นมีร่างเป็นมนุษย์
จิ่นกุ้ยขมวดคิ้วมองชายหนุ่มตรงหน้า เห็นท่าทางของเขาภาคภูมิใจในชื่อนั้นนักหนา อีกทั้งยามเขามองนางแววตาแววตายามที่เขามองนางนั้นก็ราวกับซุกซ่อนความปรารถนานิดๆ นางรีบรวบสาบเสื้อแน่น คนลามกนี่ แอบอ้างชื่อใครก็อ้างได้ แต่แอบอ้างชื่อของเสือดำตัวนั้นคงกลัวว่าตนเองจะตายช้าสินะ!
แต่ชั่ววินาทีอึดใจต่อมา แววตาของนางเปลี่ยนเป็นเห็นใจ ชายผู้นี้ช่างน่าสงสารยิ่งนัก ที่แท้ก็เป็นคนสติไม่ดี แต่ว่าเสือดำที่กระโจนใส่นางหายไปไหนแล้ว เหตุใดนางยังไม่ตาย อีกทั้งบาดแผลบนไหล่ของนางที่เกิดจากกงเล็บกรงเล็บของเสือตัวนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งหมดเป็นเพราะเหตุใดกันแน่ หรือที่แท้แล้ว เหตุการณ์เหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นกับนางมาก่อน
จิ่นกุ้ยเหลือบมองชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง เห็นเขายิ้มแฉ่งให้นางอย่างบริสุทธิ์ใจ ด้วยความเป็นคนใจอ่อน พอเห็นเช่นนี้นางก็ใจอ่อนยวบ คนบ้านี่ ยังยิ้มได้อยู่อีก!
นางผละสายตาจากเขา แล้วทำท่าจะลุกขึ้น
ตอนนั้นเอง หญิงสาวร่างเล็กบอบบางเดินเข้ามาบริเวณที่นางและเขานั่งอยู่ ชุดที่นางสวมใส่สีขาวทั้งร่างเปิดเผยผิวบริเวณไหล่และเนินอก ผิวของนางขาวมาก ขาวจนเกือบซีด แทบเทียบไม่ได้เลยว่าระหว่างผิวของนางและชุดที่นางสวมใส่นั้น อย่างไหนจะขาวกว่ากัน
ประหลาดจริง ในป่าที่เต็มไปด้วยอันตรายแห่งนี้มีคนอาศัยอยู่ก็นับว่าแปลกแล้ว การที่หญิงสาวแต่งตัวเช่นนั้นเดินนวยนาดในป่ายิ่งแปลกเข้าไปใหญ่
ช่วงที่นางครุ่นคิด นางเห็นชายหนุ่มยิ้มกวักมือเรียกหญิงสาวผู้นั้นราวกับรู้จักกันมาเนิ่นนาน
“ไป๋เลี่ยง เจ้ามาดูซิว่าข้าพบใครในป่า” ชายหนุ่มบอกฝ่ายนั้นด้วยความดีใจ พร้อมชี้มาทางนางคล้ายว่าได้พบของเล่นใหม่
หญิงที่ชื่อไป๋เลี่ยงชะงักฝีเท้า จากนั้นหันมามองทางเราทั้งสองคนด้วยท่าทางและแววตานิ่งเฉย
“มาเถอะ คนกันเอง อย่ากลัวไปเลยน่า” เฮยอวิ้นกระตือรือร้นบอกฝ่ายนั้นอีก
ประโยคหลังของเฮยอวิ้นทำให้นางส่ายศีรษะ แววตาของไป๋เลี่ยงไม่ได้แสดงออกถึงความหวาดกลัวสักนิด แต่เย็นชาราวกับต้องการฆ่าคน!
“ไป๋เลี่ยง มาดูเจ้าสาวของข้าซิ”
“เจ้าสาวของท่านหรือ ท่านยังไม่เลิกคิดอีก?” นางจิ่นกุ้ยถามชายหนุ่มอย่างประหลาดใจ ไป๋เลี่ยงเองก็ด้วย มองเขาด้วยแววตาตั้งคำถาม แต่เฮยอวิ้นกลับทำเหมือนว่าคำพูดของเขาแต่ละคำไม่มีความสำคัญอันใดเขาเปลี่ยนเป็นฝ่ายตั้งคำถามไป๋เลี่ยงแทน
“ว่าแต่ เจ้าออกจากถ้ำมาทำไม”
“ข้าตามกระต่ายป่ามา” เสียงของไป๋เลี่ยงเยือกเย็นสนิท คล้ายกับต้นหญ้าที่แช่ด้วยน้ำแข็ง “มันวิ่งมาแถวนี้ เจ้าเห็นมันไหม”
“กระต่ายป่าหรือ ข้าไม่เห็นนะ” เฮยอวิ้นตอบตามตรงที่เขาเห็นมีเพียงเจ้าสาวของเขาเท่านั้น!
ไป๋เลี่ยงสั่นศีรษะ จากนั้นกวาดตาหาอย่างเชื่องช้า ดวงตาเรียบนิ่ง แต่คมกริบยิ่งกว่าใบมีด และแล้ว ตรงที่ไกลๆ มีการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ไป๋เลี่ยงหรี่ตาบอกว่า “นั่นกระต่าย!”
เมื่อไป๋เลี่ยงบอกเช่นนั้น เฮยอวิ้นหันขวับไปมองตามสายตาของนางบ้าง “กระต่าย!”
จากนั้นทั้งสองก็จ้องกระต่ายตัวนั้นเขม็ง มีชั่วแวบหนึ่งที่จิ่นกุ้ยเห็นพวกเขากลืนน้ำลายลงคอคล้ายกระหายหิวพาให้ขนหัวนางลุกชัน
แววตาเช่นนี้? ท่าทางเช่นนี้? จิ่นกุ้ยเห็นแล้วสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงแม้ไม่เข้าใจ แต่นางก็ลอบภาวนาขออย่าให้ทั้งสองมองนางด้วยสายตาเช่นนั้นเลย
จิ่นกุ้ยคิดอย่างหวาดๆ แล้ววินาทีอึดใจต่อมาก็พิสูจน์ให้นางเห็นแล้วว่าท่าทางเช่นนั้นของพวกเขาคืออะไร
ไป๋เลี่ยงกระโจนออกไปทางกระต่ายป่าตัวนั้นด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ ร่างของนางหดเล็กลง แขนขาไม่ใช่ของมนุษย์อีก ชุดสีขาวแนบติดกับตัวและกลายเป็นขนอ่อนนุ่มสีขาว หูของนางชี้แหลม ด้านหลังมีหางเป็นพวงสีขาว
จิ่นกุ้ยยกมือขึ้นมาขยี้ตา เมื่อภาพที่เห็นเป็นความจริง นางยกมือทาบอกพึมพำว่า “จิ้งจอกขาว” จากนั้นหันมาทางเฮยอวิ้น เขามองนางด้วยรอยยิ้มและดวงตาใสซื่อ ประหนึ่งว่าการรับรู้ของนางไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด แต่... หากไป๋เลี่ยงคือจิ้งจอกขาว เฮยอวิ้นก็คือ...
“ท่านคือเสือดำเฮยอวิ้นจริงๆ หรือ”
“ใช่”
เมื่อคำตอบนั้นเด่นหลาหราตรงหน้า หญิงสาวคอพับและหมดสติอีกครั้ง