บทที่ 3 ขัดดอก
เสียงมือถือดังขึ้น เจ้าของเครื่องล้วงกระเป๋า ทว่าอีกคนที่กำลังทานข้าวด้วยกำลังส่งสายตามองมา ราวุฒิยิ้มแห้งแล้ววางตะเกียบจากการทานก๋วยเตี๋ยว
“วุฒิไปรับโทรศัพท์แป๊บนะวี” เขาบอก แล้วลุกจากโต๊ะ จันทร์รวีมองตามสีหน้าสงสัย
ราวุฒิหยุดยืนใต้ต้นไม้ให้ แล้วกดรับสาย
“ว่าไงนิด”
ปลายสายอึกอักเล็กน้อย “วุฒิว่างไหม พอดีนิดมีเรื่องอยากคุยด้วยน่ะ”
ราวุฒิชะงักเล็กน้อย “เรื่องสำคัญเหรอ”
“ใช่ สำคัญมาก”
ชายหนุ่มระบายลมหายใจ
“เย็นนี้ว่าง ให้ไปเจอที่ไหนล่ะ”
“ที่คอนโดเราก็แล้วกัน”
“อยู่ที่คอนโดแล้วเหรอ”
“อืม กลับจากบ้านแล้ว”
“ได้เจอกันที่คอนโดนะ” ชายหนุ่มรับปาก แล้วตัดสาย ก่อนกลับไปยังที่เดิม
จันทร์รวีเหลือบมองเล็กน้อย แล้วคีบอาหารใส่ปากต่อ รู้สึกสังหรณ์บางอย่าง ราวุฒิคงไม่ได้บอกเธอทุกเรื่อง แค่เห็นแววตาเวลามองเบอร์โทรมาเมื่อครู่ ก็พอรู้แล้วว่าคงสำคัญ เธอเองไม่ใช่คนเรื่องมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะแย่งของคนอื่น ถ้าหากเขาไม่คิดจริงจัง เธอก็มีทางเลือกมากพอ ที่จะไม่ไปต่อกับเขาคนนี้
รถยนต์จอดใต้คอนโด ราวุฒิลงจากรถ แล้วขึ้นลิฟท์ มาถึงหน้าห้องกดกริ่งประตูเปิดออก เห็นสาวเจ้าในชุดนอนสายเดี่ยวแนบเนื้อ ทำเอากลืนน้ำลายลงคอ เขาหย่อนกายตรงโซฟา พนิดานำน้ำเย็นมาวางไว้ให้ ชายหนุ่มระบายลมหายใจ ตอนนี้ระหว่างเขากับวีเองก็กำลังตกลงกัน ไม่อยากเกิดปัญหาในภายหลัง คงต้องจบความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพนิดาเพียงเท่านี้
“มีเรื่องอะไรจะคุยกับวุฒิเหรอ” เขาเอ่ยปากออกมาก่อน
หญิงสาวชะงัก ยิ้มบาง ๆ หากเขารู้ จะดีใจ หรือเสียใจกันแน่นะ
“คือว่า...” เธอช้อนสายตามอง “เราท้องน่ะวุฒิ”
ราวุฒินิ่งงัน เหมือนร่างกายถูกสาป สีหน้าเผือดลงในทันใด
“อะไรนะ! ท้องเหรอ!” เขาตะโกนลั่น แล้วลุกยืน
พนิดาเงยหน้ามอง เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแล้ว ทำเอาน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมา ไม่มีทีท่าว่าจะดีใจแม้แต่น้อย สีหน้าแววตาบ่งบอกถึงความผิดหวัง เสียมากกว่า
“นิดตรวจเมื่อวาน มันขึ้นสองขีด”
เขาเสยผม เดินวนไปมา สีหน้าเคร่งเครียด สับสนว่าตัวเองควรรู้สึกเช่นไร แล้วควรทำอย่างไรดี ก่อนหยุดตรงหน้าคู่นอน จับไหล่มนสองข้างเอาไว้
“แต่เราสองคนยังเรียนไม่จบเลยนะนิด! อีกอย่างวุฒิไม่พร้อมเลยที่จะมีลูก นิดก็รู้ว่าวุฒิรักวีอยู่ แล้วแบบนี้วุฒิจะทำยังไง!”
คนฟังกัดริมฝีปากแน่น “แล้ววุฒิจะให้นิดทำยังไง นิดก็กินยาคุมแล้ว แต่ยังพลาด”
สีหน้าชายหนุ่มเครียดหนัก ไม่รู้ควรแก้ปัญหาอย่างไรดี
“นิด! วุฒิว่า... เราอย่าเก็บเด็กคนนี้ไว้เลย”
พนิดานิ่งงัน ดวงตาหม่นลง คิดไว้แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ เบี่ยงกายหนีจากมือหนา แล้วสบตาคนที่ตัวเองรักทั้งน้ำตา
“ให้เอาเด็กออกเหรอวุฒิ” เธอย้อนถามน้ำเสียงสั่นเครือ
“วุฒิไม่ได้อย่างให้นิดทำแบบนี้ แต่เราสองคนไม่ได้รักกัน เด็กคนนี้เกิดจากความผิดพลาด วุฒิเองยังเรียนอยู่เลย เราสองคนไม่มีใครพร้อมกับเรื่องนี้อยู่แล้ว นิดจะเก็บเด็กไว้ได้ยังไง!”
เธอยกมือผลักดันอีกฝ่ายออกห่าง สบตาแววตาหม่นเศร้า พ่อของลูก ไม่ต้องการ แต่เธอต้องการเด็กคนนี้ ถ้าให้เลือก ก็ขอเลือกลูก เราสองคนควรจบกันไป ดีกว่าถูกบังคับให้เอาเด็กคนนี้ออก
“ก็ได้วุฒิ เรื่องนี้วุฒิไม่ต้องรับผิดชอบหรือสนใจอะไรทั้งนั้น นิดพลาดเอง นิดจะจัดการเด็กคนนี้เอง” เธอบอกน้ำเสียงขมขื่น
ราวุฒิยิ้มกว้าง ระบายลมหายใจ ราวกับปัญหาหนักอกมันหมดไป
“แล้วนิดมีเงินเหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามเสียงสั่น
“ไม่ต้องห่วงหรอกวุฒิ บ้านนิดรวยวุฒิก็รู้นี่”
“ถ้าอย่างนั้นนิดจัดการนะ มีอะไรจะให้วุฒิช่วย นิดรีบบอกล่ะ”
“ไม่เป็นไรวุฒิ จากวันนี้ไป นิดจะไม่ติดต่อวุฒิอีก” หญิงสาวเว้นคำพูดแล้วสบตา “วุฒิกลับไปเถอะ ไม่ต้องมาอีกแล้วนะ จากนี้เราสองคนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
“นิด..” เขาร้องเรียกชื่อสีหน้าหม่นลง
“กลับไปเถอะวุฒิ นิดขออยู่คนเดียว”
“ถ้าอย่างนั้นวุฒิกลับก่อนนะ” เขาบอก แล้วเดินมาตรงประตูเปิดมันออก
ก้าวออกมาด้านนอก มองบานประตู หัวใจมันโหวงชอบกล ราวกับว่ากำลังสูญเสียบางอย่างไป หรือเขาตัดสินใจผิด แต่ตนเองก็ไม่อาจปล่อยมือจากจันทร์รวีได้เช่นกัน ในเมื่อเขาหลงรักผู้หญิงคนนี้ มานานเกือบสองปีแล้ว และกำลังจะสมหวัง
พนิดากลับมายังบ้าน รีบขึ้นชั้นสอง สีหน้าซีดเผือด ทำเอาสาวใช้อายุรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างอุ่น เห็นแล้วอดสงสัยไม่ได้ เจ้าของห้องหย่อนกายลงบนเตียง น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอรู้สึกเพลีย ปวดท้องน้อยบ่อย ๆ แต่ก็ไม่กล้าบอกใคร อยากขับรถไปโรงพยาบาลก็กลัว เลยทำได้แค่เพียงซื้อยามาบรรเทาอาการเท่านั้น
พอคิดถึงใบหน้าของชายอันเป็นที่รัก ยิ่งสร้างความปวดร้าวทรมานให้ ท้องยิ่งเจ็บมากขึ้น ราวกับว่าลูกในท้องไม่ต้องการให้เธอระลึกถึงชายคนนั้น ทิ้งกายลงบนเตียง นอนคุดคู้บิดไปมา กัดริมฝีปากแน่น น้ำตาไหลออกมาอาบแก้ม ทำไมมันถึงทรมานแบบนี้
สักพักรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง ไหลออกมาระหว่างขา แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงลุกยืน จนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูห้องนอน หากไม่ยอมลุกไปเปิด คงต้องตายอยู่บนเตียงแน่นอน กลั้นใจลุกแล้วบิดลูกบิด เห็นสาวใช้คนสนิทอย่างอุ่นยืนอยู่ พร้อมถาดอาหารในมือ อุ่นเห็นสีหน้าของเจ้านายแล้วตระหนกตกใจ
“อะ..อุ่นช่วยด้วย ฉันปวดท้อง!” พูดจบ ร่างบางซวนเซ
ถาดถูกโยนลงบนพื้น แล้วเข้ารับร่างซึ่งสลบไร้สติ ตรงหว่างขามีเลือดสีแดงสดไหลออกมา
“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย! คุณนิดเป็นลม!” อุ่นตะโกนลั่น
บ่าวไพร่ในบ้านพากันกรูเข้ามา สีหน้าตื่นตระหนก จำเนียรชะงักเมื่อเห็นระหว่างขาของคุณหนูมีเลือดไหล ก่อนหันไปหาคนขับรถ
“ไอ้สมชายเอารถออก เดี๋ยวฉันจะโทรบอกคุณวัตร!”
“ได้ป้า!”
ทุกคนพาร่างไม่ได้สติ ไปยังรถแล้ววางตรงเบาะหลัง จำเนียรรีบติดต่อเจ้านายอีกคนในทันที รถถึงโรงพยาบาล พนิดาถูกพาลงจากรถ แล้วเข็นเข้าห้องไอซียูในทันที
พลวัตรจอดรถตรงลานกว้าง แล้วเดินเข้าด้านใน เฝ้ารอน้องสาวหน้าห้องไอซียู ชั่วโมงต่อมาแพทย์ออกจากห้อง ชายหนุ่มรีบตรงเข้าไปเพื่อสอบถาม
“น้องสาวผมเป็นยังไงบ้างครับ”
“ตอนนี้ปลอดภัยแล้วครับ หมอจะย้ายคนไข้ไปที่ห้องพักฟื้น ช่วงนี้ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลไปก่อน เพราะถ้าขยับตัวมากอาจจะแท้งได้ครับ”
“แท้งเหรอครับ!” เขาย้อนถาม สีหน้าไม่เข้าใจ
“ครับ น้องสาวคุณตั้งครรภ์ได้ยี่สิบหกสัปดาห์แล้วล่ะครับ”
สิ่งที่ได้ยินทำเอาร่างกายแทบยืนไม่ไหว มันอะไรกัน น้องไปท้องกับใครที่ไหน ถึงว่าพักหลังดูไม่ค่อยสดใสเลย ท่าทางเหมือนมีบางอย่างในใจ แต่ไม่ยอมบอกออกมา มันยังไงกันแน่
“คะ..ครับ ขอบคุณมากครับคุณหมอ”
ร่างสูงทรุดกายลงบนเก้าอี้ สีหน้าเคร่งเครียด ทำไมเป็นแบบนี้เล่า นิดทำอะไรลงไป ใกล้จะเรียนจบแล้ว ไม่นึกถึงหัวอกพ่อแม่บ้างหรือไง แบบนี้เขาจะบอกพ่อกับแม่ยังไงดี ท่านสองคนอายุมากแล้ว แม่ก็เป็นโรคหัวใจ หากรับรู้เรื่องนี้ ต้องเกิดปัญหาแน่ ให้ตายเถอะ
แล้วพ่อของเด็กมันเป็นใคร ไม่เห็นโผล่หัวมาเลย สับสนไปหมดแล้ว ต้องหาทางจัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้น ครอบครัวเขาคงถูกนินทาไปอีกนานแน่ ไอ้หน้าไหนมันทำน้องสาวเขาท้อง มันต้องมารับผิดชอบ ไม่เช่นนั้นจะตามล่ามันไม่ให้ได้ผุดได้เกิดเลยทีเดียว
พลวัตรยืนมองน้องสาว กำลังหลับใหล มีสายน้ำเกลือห้อยอยู่ ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง แล้วลูบศีรษะแผ่วเบา มือบางถูกดึงมากุมไว้แน่น ไม่นานคนป่วยลืมตาขึ้นมา แววตาหม่น เห็นพี่ชายน้ำตาจึงไหลออกมาอาบแก้ม พนิดาเม้มริมฝีปาก รู้สึกผิดที่ทำให้ครอบครัวต้องผิดหวัง
“เป็นยังไงบ้าง” เขาถามน้องน้ำเสียงห่วงใย
“หิวน้ำค่ะ”
พลวัตรรินน้ำแล้วนำหลอดใส่แก้ว ยกมาให้น้องสาวได้ดื่ม เรียบร้อยแล้ววางแก้วไว้บนโต๊ะข้างเตียง
“อยากได้อะไรอีกไหม”
คนป่วยส่ายหน้าแทนคำตอบ น้ำตาไหลออกมาปริ่มขอบ
“นิดขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไร มันพลาดไปแล้ว ก็ช่างมันเถอะ ที่พี่อยากรู้ พ่อของเด็กรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”