บท
ตั้งค่า

เป็นหนี้ ครั้งที่ 4

   หนึ่งสัปดาห์ที่แสนสงบสุขที่สุดในรอบยี่สิบปีของเปลวอรุณดูเหมือนจะผ่านไปเร็วเมื่อเสียงเครื่องยนต์ของรถยนต์สีขาวคันโปรดของพิมพาขับเข้ามาจอดเทียบกับรถของเขาที่โรงจอด ความเบื่อหน่ายและเอือมระอาต่อการดำเนินชีวิตแบบเดิมที่กำลังจำกลับมาทำให้ริมฝีปากบางแหย่เกอย่างอดไม่ได้

แต่ครั้งนี้มันแปลกไป...

ความผิดปกตินั้นมีขึ้นตั้งแต่พิมพาก้าวขาลงจากรถยิ่งกับคนที่คนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยที่จะเห็นหัวเขาเลยนอกจากเวลาตังค์หมดยื่นถุงของฝากที่ติดโลโก้ของฝากจากเรือสำราญหรูมาให้อย่างอารมณ์ดี แค่นั้นยังไม่พอตลอดเวลาสองอาทิตย์ที่หลังจากที่กลับมาพิมพาไม่เข้ามาวอแวเขาเรื่องเงินอีกเลย ซ้ำยังใช้จ่ายหนักมือมากกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัวดูได้เลยจากจำนวนถุงเสื้อผ้ารองเท้าแบรนด์ดังที่เจ้าหล่อนหอบหิ้วกลับบ้านมาทุกวัน

ถึงมันจะเป็นเรื่องดีที่เงินของเขาไม่ถูกสูบออกไปด้วยเรื่องไร้สาระแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อดหวั่นใจไม่ได้อยู่ดีว่าต้นสายของเงินที่ว่านั้นจะนำพาเรื่องเดือดร้อนอะไรมาให้เขาหรือเปล่า

“วันนี้ไม่ออกไปไหนหรือไง”

“มันเรื่องของฉันไม่เกี่ยวกับเธอ”

เสียงห้วนติดจะรำคาญเสียด้วยซ้ำไปของเปลวอรุณตอบกลับคนที่อยู่ๆ ก็เกิดอยากจะมีมนุษยสัมพันธ์กับเขาขึ้นมาอย่างพิมพาที่กำลังนั่งอ่านนิตยสารแฟชั่นอยู่ที่โซฟาหน้าทีวี ไม่บ่อยหรอกที่พิมพาจะถามเขาอย่างคนร่วมบ้านแบบนี้มันจึงเข้าข่ายความแปลกอีกข้อที่เขานับได้

“ฉันก็แค่ถาม”

“นั่นมันคำถามที่ฉันควรถามเธอมากกว่า” เขาย้อน “ไม่เข้าบ่อนหรือไงวันนี้”

“ไม่ มีนัดไปสปาตอนเย็น” หล่อนว่าอย่างเกียจคร้านขณะพลิกเปลี่ยนหน้ากระดาษ

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนกลอกไปมาก่อนจะแบะปากเล็กน้อยกับโปรแกรมชีวิตที่ดูจะหาแก่นสารอะไรไม่ได้เลย เปลวอรุณสาวเท้าเดินไปที่หน้าประตูบ้านถอนรองเท้าสลิปเปอร์สีน้ำตาลที่สวมในบ้านอยู่ออกแล้วเปลี่ยนเป็นรองเท้ารัดส้นเปิดหน้าเท้าอย่างที่เขาชอบใส่เวลาที่จะออกไปข้างนอกบ้านแทน

อย่างที่บอกว่าตั้งแต่พิมพากลับมาจากการไปเที่ยวหลายๆ อย่างรอบตัวเขาดูจะแปลกไปจากปกติวิสัยที่มันเคยเป็นและอีกอย่างหนึ่งสิ่งที่เขารู้สึกได้ถึงความไม่ปกตินั้นนอกจากการที่ตัวของพิมพาเองแล้วนั้นก็คือ มีใครบางคนแอบตามเขา...

แรกเริ่มเดิมทีในช่วงแรกๆ เปลวอรุณเองก็คิดว่าคงเป็นคนช่างตื้ออย่างอัมรินทร์ที่แอบตามดูเขาเหมือนอย่างทุกครั้งเขาจึงไม่คิดสนใจอะไร ถ้าวันนั้นที่เขาบังเอิญสังเกตเห็นว่ารถที่จอดอยู่ตรงที่ประจำของอัมรินทร์นั้นเป็นอีกคันที่เขาไม่รู้จัก แม้ตอนแรกจะปลอบใจตัวเองไม่ให้ตื่นตูมก็คิดว่าคงเป็นรถยนต์ของเพื่อนบ้านในละแวกที่ขับมาจอดแทนที่ และเขาก็หวังอยากให้มันเป็นแบบที่ว่าถ้าไม่เพราะเขาเริ่มสังเกตว่ามีใครแอบตามเขาอยู่และคนที่ว่าก็คือหนึ่งในคนที่นั่งอยู่บนรถยนต์น่าสงสัยคันที่ว่ามา

นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี้ย...

เปลวอรุณสถบด่าในใจตอนนี้นอกจากความหวาดระแวงแล้วสิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกเลยก็คือความตึงเครียด เพราะไม่รู้ว่าพวกมันต้องการอะไรด้วยแบบนี้แล้วความกังวลในใจก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เปลวอรุณสาวเท้าเร็วไปตามทางเดินที่ปลอดผู้คนอย่างเคร่งเครียดก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนจากการเดินเป็นการวิ่งทันทีที่เลี้ยวตรงหัวมุมถนน

“เฮ้ย! ”

เสียงร้องอย่างตกใจของชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ที่ถูกส่งให้มาตามดูเปลวอรุณและครอบครัวร้องลั่นเมื่ออยู่ๆ คนตัวขาวก็วิ่งหนีเขาทันทีถึงทางเลี้ยวซ้ำยังโยนถุงขยะสีดำที่อยู่ในถังขยะของบ้านหัวมุมมาใส่เข้าอย่างจัง

ถุงขยะคงช่วยถ่วงเวลาได้ไม่นานเขาต้องรีบหนีอย่างน้อยที่สุดถ้าเขาไปยังแหล่งชุมชนได้เขาก็รอด

เปลวอรุณนึกโทษตัวเองอยู่หลายรอบที่ไม่เคยคิดที่จะออกกำลังกายจริงๆ จังๆ สักครั้งเพราะแค่วิ่งแค่นี้เขายังเหนื่อยแทบขาดใจแต่จะให้หยุดเขาก็คงทำไม่ได้ ถ้าแค่ปล้นเขาก็ยังพอยอมได้อยู่แต่ถ้าถึงขั้นลงไม้ลงมือคนอายุขึ้นเลยสามกลางๆ อย่างเขาจะเอาอะไรไปสูงคนหนุ่มอย่างนั้นได้ วิธีที่ดีที่สุดที่เขาคิดได้คือ วิ่ง และวิ่งเท่านั้น...

เขาสาวเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อหวังจะให้พ้นจากสถานการณ์ระทึกใจนี้เสียทีอีกแค่ซอยเดียวเท่านั้นถ้าพ้นซอยนี้ไปได้ก็จะเจอตลาดกลางที่มีร้านขายของและผู้คนที่สันจรไปมา

ขอแค่พ้นซอยนี้ไปได้เท่านั้น

!

“ฮะ อุ๊บ”

ตามสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมนุษย์ทันทีที่ท่อนแขนของเขาถูกมือปริศนาของบุคคลที่อยู่ในมุมอับสายตาของมุมกำแพงดึงเอาไว้พร้อมดันตัวเขาจนแผ่นหลังแนบชิดกับผิวสากของปูนคือการร้องขอความช่วยเหลือ

“อื้มม ออ่อย”

เปลวอรุณที่อยู่ในอารมณ์แตกตื่นตกใจก็พยายามบังคับขื่นตัวเพื่อให้ออกจากการจับกุมพร้อมทั้งฝ่ามือหนาที่ติดจะกร้านอย่างคนทำงานหนักก็ปิดทับที่ปากเพื่อไม่ให้เสียงของเขาที่พยายามเปล่งมันออกมาหลุดออกไปให้ใครได้ยินโดยหลงลืมไปชั่วขณะว่าตนเองเพิ่งจะหนีจากอะไรมา

“นี่ผมเอง ใจเย็น”

เสียงทุ้มห้าวที่เพิ่งแตกหนุ่มของคนที่แนบชิดอยู่ด้วยกันในพื้นที่แคบๆ เอ็ดขึ้นไม่ดังมากเพื่อเรียกสติของเปลวอรุณที่มัวแต่แตกตื่นให้กลับมาอีกครั้ง นัยน์ตาสีอ่อนช้อนมองใบหน้าด้านข้างของคนที่ตัวสูงกว่าตนเพียงไม่กี่เซนเพื่อให้แน่ใจก่อนจะคลายความระแวงลง

ดวงตาของผู้ช่วยเหลือหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อมองดูคนน่าสงสัยที่วิ่งเลยจากจุดที่พวกเขาซ้อนตัวอยู่พร้อมกับหันซ้ายทีขวาทีเหมือนพยายามหาบางอย่าง และถ้าเขาเดาไม่ผิดคนที่มันกำลังหาก็คงเป็นคนตัวขาวที่อยู่กับเขาตอนนี้แน่นอน ยิ่งคำพูดที่มันพูดกับใครสักคนผ่านโทรศัพท์ยิ่งทำให้เขาแน่ใจมากขึ้นมาเปลวอรุณคือเป้าหมายของมัน

“เป้าหมายหายไปแล้ว”

“..”

“ใช่ เขารู้ตัวแล้ว

“..”

“เออๆ ๆ”

ยิ่งพอแน่ใจแล้วตนเองคือเป้าหมายหลักที่มันตามอยู่อย่างที่คิดเลือดในกายของเปลวอรุณก็ยิ่งเย็นเฉียบเหงื่อกาฬไหลซึมตามไรผมที่หน้าผาก เปลวอรุณยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

“ดูเหมือนว่ามันจะไปแล้วนะ”

เสียงของฮีโร่หนุ่มที่ช่วยเขาเอาไว้ดังขึ้นพร้อมกับแรงบีบเบาๆ ที่ต้นแขนเพื่อปลอบโยนเขาให้คลายความเครียดลงก่อนจะค่อยๆ จูงมือเขาออกจากที่ซ้อน

“ขอบคุณนะ”

ไม่รู้เพราะเหนื่อยหรือเพราะเหตุการณ์ตื่นเต้นเมื่อครู่กันแน่ที่ทำให้มือคู่ขาวของเขาซีดและสั่นอย่างห้ามไม่อยู่เช่นเดียวกับเสียงของเขาที่เปล่งออกมาดูจะสั่นๆ อยู่เล็กน้อย

“ไม่หรอก ว่าแต่คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”

เปลวอรุณส่ายหน้าแทนคำตอบ

“ดีแล้ว” เด็กหนุ่มพึมพำ

“แล้วนี่เพิ่งเลิกหรอ”

คนที่สติสตางค์เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วเอ่ยถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มผิวเข้มตรงหน้ายังอยู่ในชุดยูนิฟอร์มของร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงที่เจ้าตัวทำงานอยู่

“ครับ”

“งั่นไปกินข้าวกันไหม เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง” เขาเสนอขึ้นอย่างน้อยก็เพื่อขอบคุณเด็กตรงหน้าที่ช่วยเขาเอาไว้

“ไม่เป็นไร ผมยังไม่หิว”

“น่ะ ถือว่าขอบคุณที่ช่วยเมื่อกี้อีกอย่างหนึ่งฉันมีเรื่องจะคุยกับตาลด้วย”

ตาล หรือ ลูกตาล เป็นเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบแปดปีที่เพิ่งจบจากโรงเรียนมัธยมมีชื่อเสียงในต่างจังหวัดแต่เพราะเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องเข้ามาหางานทำในกรุงเทพแทนที่จะได้เรียนต่ออย่างเด็กรุ่นเดียวกันคนอื่นๆ ความมานะอดทนของลูกตาลกับคำบอกเล่าให้ฟังเมื่อครั้งที่พบเจอกันครั้งแรกที่อยากจะทำงานเก็บเงินสักก้อนให้ได้แล้วจะสมัครเรียนต่อในมหาลัยเปิดทำให้เปลวอรุณนึกชื่นชมและเอ็นดูเด็กตรงหน้าอยู่ไม่น้อย

“เอ่อ เอางั้นก็ได้ครับ”

ลูกตาลตอบรับอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นเมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มพิมพ์ใจแสนอ่อนโยนของคนตรงหน้าจนเขาต้องเลี่ยงไปมองทางอื่นแก้เก้อแทน ก่อนจะยอมทำตัวลดวัยเป็นเด็กน้อยสามขวบเดินตามแรงจูงของคนแก่กว่าเข้าไปในร้านก๊วยเตี๋ยวเป็ดร้านอร่อยที่อยู่ไม่ไกลจากที่พวกเขายืนอยู่ก่อนหน้าเท่าไร

เปลวอรุณเหลือบมองไปด้านหลังของตนเล็กน้อยพอให้เห็นใบหน้าคมคลายของเด็กหนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่เผยออกมายามมองท่าทีว่าง่ายบ่นเขินอายของเจ้าตัว

ท่าทางที่ไร้พิษภัยแต่เต็มไปด้วยความจริงใจของเด็กหนุ่มนี้แหละที่ทำให้เขารู้สึกรักและเอ็นดูเด็กสู้ชีวิตคนนี้เป็นอย่างมาก....

อีกด้านหนึ่ง

“ทำไมทำอะไรไม่คิดกันอย่างนี้”

ความผิดหวังเล็กๆ ในใจถูกเปล่งออกมาเป็นภาษาไทยสำเนียงจีนอันเป็นเอกลักษณ์ของคนที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโต๊ะทำงานใหญ่อย่างหย่งฟางดังขึ้นพร้อมสีหน้าที่แสดงออกมาเสียดายเป็นอย่างมากกับรายงานล่าสุดที่ได้รับมาจากลูกน้อย

“ต้องขอโทษแทนคนที่ส่งไปด้วยครับ” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าก้มหน้ารับผิดแทนลูกน้องที่ทำงานพลาดจนเป้าหมายรู้ตัว

“ช่างมันเถอะ เรียกสองคนนั้นกลับมา” หย่งฟางสั่ง ลูกน้องหนุ่มคนนั้นรับคำก่อนจะเดินออกจากห้องไปเพื่อติดต่อสองคนที่ส่งออกไปให้กลับมาตามคำสั่ง

“แล้วคุณจะเอายังไงต่อครับ” อีกหนึ่งที่ยังอยู่ในห้องเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ก็คงต้องหาแผนอื่น ตอนนี้เจ้าตัวรู้แล้วเราคงจะใช้การแอบตามแบบเดิมไม่ได้แล้ว” คนฟังพยักหน้าเข้าใจ

หย่งฟางโบกมือไล่ให้ลูกน้องหนุ่มออกจากห้องไปก่อนจะก้มหน้าก้มตาหยิบโทรศัพท์ส่วนตัวของตนออกมากดข้อความบางอย่าง โดยไม่ทันได้สังเกตว่าลับหลังลูกน้องออกไปยังไม่ทันทีบานประตูจะปิดดีแขกอีกคนที่ไม่คาดคิดก็ก้าวแทรกผ่านเข้ามา

“ดูมีความสุขจังเลยนะอาฟาง” เสียงทุ้มเย็นๆ ของคนมาใหม่เจ้าของตัวจริงของห้องทำงานใหญ่ดังขึ้นเรียกให้คนหน้าเป็นที่กำลังก้มกดอะไรบางอย่างถึงกลับต้องชะงักเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามอง

“กลับมาแล้วหรอ” หย่งฟางคลี่ยิ้มกว้างให้หนุ่มลูกครึ่งร่างใหญ่ในชุดสูทที่ก้าวเข้ามาประชิดร่างของเขาในระยะใกล้

“กำลังเล่นสนุกอะไรอยู่” คนตัวใหญ่ถามพร้อมก้มหน้าคลอเคลียใบหน้าขาวอย่างคิดถึง

“ก็เปล่านิ” หย่งฟางว่าพร้อมกับอ้าขาออกเพื่อให้อีกคนแทรกกายเข้ามาแนบชิดกับตนมากยิ่งขึ้น

“แน่ใจหรอ”

“แน่สิ”

คนฟังหรี่ตามองเด็กซุกซนตรงหน้าที่ยกแขนคล้องคอเขาเอาไว้เหมือนต้องการเบี่ยงประเด็นความสนใจ แต่มีหรือที่เขาจะยอมคล้อยตามง่ายๆ

“ฉันมีเวลาทั้งวันทั้งคืนเลยที่จะฟังนายอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น”

หลังจากเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อนก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง ไม่มีการสะกดรอยตามหรือเฝ้าดูเหมือนเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ถ้าไม่นับอัมรินทร์น่ะนะ

วันนี้เปลวอรุณทำเรื่องลางานทั้งวันเพื่อมาจัดการธุระสำคัญส่วนตัวแน่นอนว่าคนเอาแต่ใจอย่างอัมรินทร์งอแงใส่เขาทันทีที่โทรไปบอกเมื่อคืนทั้งยังพยายามจะตามเขาไปด้วยให้ได้โชคดีที่ว่ามีงานด่วนเข้ามาพอทำให้คนเอาแต่ใจเป็นเด็กๆ ไม่สามารถปลีกตัวตามเขามาได้

ธุระสำคัญที่ว่าก็ไม่ใช่เรื่องอะไรก็แค่การมาทำธุระเกี่ยวกับเอกสารที่อำเภอพร้อมกับเด็กหนุ่มลูกตาลพอเสร็จแล้วก็ไปกินข้าวแล้วก็ซื้อของใช้ที่จำเป็นก่อนจะแยกกันในช่วงเย็น

“เดี๋ยวผมกลับไปเอาของที่ห้องก่อนแล้วจะตามไปที่บ้านนะครับ” ตาลเอ่ยขึ้น

“ได้ เย็นนี้อยากกินอะไรหรือเปล่าเดี๋ยวฉันจะได้ทำไว้ให้” เปลวอรุณถามเสียงนุ่ม

“แล้วแต่เลย”

“ได้ไง มื้อนี้ฉันทำเพื่อเลี้ยงฉลองให้เราเลยนะ”

ดวงตาสีอ่อนจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาของเด็กหนุ่มอย่างคาดคั้นจนอีกคนต้องพลิกหน้าหนี และแน่นอนว่าตาลเองไม่สามารถปฏิเสธสายตาของคนตรงหน้าได้เหมือนกัน

“กุ้งเผา ผมอยากกินกุ้งเผาแล้วก็ต้มจืดสาหร่าย” เด็กหนุ่มตอบ

ด้วยเพราะพื้นเพเป็นคนทะเลทำให้ลูกตาลชอบที่จะกินอาหารทะเลเป็นทุนอยู่แล้วจึงไม่แปลกที่เจ้าตัวจะร้องขอกุ้งจากอีกคน ส่วนต้มจืดสาหร่ายก็เพราะเขาติดใจรสมือของเปลวอรุณที่เคยทำให้กินเมื่อครั้งก่อน

ของง่ายๆ แต่กลับจำได้ขึ้นใจ...

เปลวอรุณยิ้มกับคำขอของลูกตาลก่อนจะพาเด็กหนุ่มมาส่งที่ห้องเช่าหลังตลาดก่อนที่ตัวของเขาเองจะวนรถหาที่จอดเพื่อเลือกซื้อวัตถุดิบสำหรับอาหารค่ำในวันนี้

ช่วงนี้พิมพาไม่ค่อยกลับบ้านถึงจะไม่อยากจะยุ่งเรื่องส่วนตัวของอีกคนแต่ถึงยังไงก็คนที่ร่วมบ้านเดียวกันบ้างมันก็อดไม่ได้จริงๆ ที่เปลวอรุณจะรู้สึกเป็นห่วง ยิ่งช่วงนี้อะไรๆ ก็ไม่น่าไว้วางใจด้วยแล้วถึงจะไม่ชอบยังไงแต่อีกฝ่ายก็เป็นผู้หญิงหากเกิดอะไรขึ้นคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่

มันก็ได้แค่คิดเพราะในความเป็นจริงแค่หน้าเขายังไม่อยากจะมองเลย ให้ตายเถอะ...

เปลวอรุณสลัดความคิดที่อยู่หัวออกก่อนจะก้มหน้าก้มตาเลือกซื้อของตรงหน้าให้เรียบร้อยแล้วรีบกลับ เขาไม่อยากอยู่นอกบ้านนานเกินไปและไม่อยากกลับบ้านหลังพระอาทิตย์ตกด้วย

ทันทีที่ถึงบ้านเปลวอรุณวางของไว้ที่โซฟาหน้าโทรทัศน์ก่อนจะเอาของที่ซื้อมาเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารโดยเริ่มจากการล้างกุ้งแม่น้ำที่ซื้อมาเพื่อล้างคาวออกก่อนจะนำไปแช่ในน้ำเกลือระหว่างที่กำลังนำเตาย่างไฟฟ้าออกมาแทนเตาถ่านที่เขาไม่มีแต่หลังจากนี้เขาก็คิดว่าน่าจะหาซื้อเอาไว้ติดบ้านก็ดีเหมือนกันเผื่อว่าวันหลังถ้าลูกตาลออยากกินเขาจะได้ทำให้อีกฝ่ายกิน

ระหว่างรอให้กุ้งสุกเปลวอรุณก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่าเอากระดูกหมูใส่ลงในหม้อซุปเพื่อให้ได้รสชาติรอสักพักให้น้ำเดือดได้ทีก่อนจะเริ่มใส่เนื้อหมูเต้าหู้ไข่ปิดฝาอีกรอบแล้วหันมาทำอาหารอย่างอื่นอีกสองสามอย่างเพื่อสำหรับวันพรุ่งนี้ไปด้วยเลย

ใช้เวลาไม่นานอาหารหน้าตาน่าทานก็ถูกลำเลียงใส่จานแล้ววางที่โต๊ะกินข้าวกลางบ้าน เช่นเดียวกับกุ้งตัวโตของโปรดเด็กหนุ่มที่วางอยู่ในจานรอให้เจ้าตัวมาทาน

นัยน์ตานิ่งที่เจือไปด้วยความสุขเงยมองนาฬิกาแขวนที่บอกเวลาเกือบสองทุ่มอีกไม่นานคนที่บอกจะตามมาคงจะมาถึง เปลวอรุณจึงคว้าเอากระเป๋าที่วางอยู่ขึ้นไปเก็บที่บนห้องก่อนจะกลับลงมาเพื่อเข้าไปในครัวจัดการเคลียร์ความสะอาดไปพลางๆ เพื่อฆ่าเวลา หากแต่ร่างของเขาก็ต้องชะงักทันทีเมื่อหากตาเหลือบไปเห็นบานประตูหลังบ้านที่เขามั่นใจว่าปิดมันไว้อย่างดีแล้วเปิดแง้มอยู่เหมือนมีคนมาเปิดแล้วปิดไม่สนิท

เปลวอรุณกวาดตามองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวงพร้อมกับคว้าเอามือปอกผลไม้ปลายแหลมที่อยู่ใกล้ติดมือมาด้วยแล้ววิ่งกลับไปที่กลางบ้านอีกครั้ง

ตอนนี้เขาอยู่บ้านคนเดียวเป็นไปไม่ได้ที่ประตูจะเปิดออกมาเองส่วนพิมพานั้นตัดออกไปได้เลยถ้ารถไม่อยู่ตัวคนเองก็ไม่อยู่ด้วยเช่นกัน แล้วใครกันที่อยู่ในบ้านนี้กับเขา

ขโมย!!

หมู่บ้านที่เขาอยู่เป็นหมู่บ้านเปิดเรื่องเวรยามรักษาความปลอดภัยละก็ตัดไปได้เลย ถึงบ้านเขาจะไม่เคยมีเหตุการณ์ขโมยขโจรขึ้นบ้านแต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีทางเกิด

ยิ่งตระหนักได้แบบนั้นหัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะด้วยความตื่นกลัว จริงๆ แล้วเขาจิตตกมาตั้งแต่วันที่โดนตามวันนั้นแล้วและยิ่งวันนี้มีขโมยขึ้นบ้านเขาอีกเป็นธรรมดาที่เขาจะร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเผลอคิดว่า ผู้ร้ายในครั้งนี้เป็นคนคนเดียวกับที่ตามเขา

ความหวาดระแวงเริ่มเพิ่มมากขึ้นเมื่อบ้านหลังนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่อยู่ข้างใน !

เปลวอรุณพยายามอย่างยิ่งที่จะสะกดความหวาดกลัวในใจของตนลงเพื่อใช้ในการประคองสติที่แตกให้กลับมาอีกครั้ง อย่างแรกเลยคือต้องโทรหาตำรวจ

คนตัวขาวรีบปรี่เข้าไปที่โทรศัพท์มือถือของตนเองที่วางเอาไว้ที่โต๊ะกระจกหน้าทีวีอย่างมีความหวัง แต่ยังไม่ทันที่มือเรียวของเขาจะสัมผัสถูกมันใครบางคนที่ซ้อนตัวอยู่ในความมืดของประตูหน้าบ้านก็พุ่งเข้ามาผลักเขาออกอย่างรวดเร็วจนมืดในมือกระเด็นออกไป

!!

“หยุด อย่าขยับ”

เสียงตะคอกของชายที่สวมแว่นตากันแดดสีทึบกับผ้าปิดปากปิดบังหน้าตาดังขึ้นพร้อมกับกระบอกปืนสีดำสนิทในมือที่จ่อมาทางเขา บวกกับเงาที่พาดผ่านเหนือหัวของเขาทำให้รู้อีกว่ามันไม่ได้มาคนเดียว

“อย่าคิดทำอะไรโง่ๆ ละเข้าใจไหม” ผู้ร้ายพูดขึ้นพร้อมหยิบเอามีดที่เป็นเหมือนอาวุธเพียงหนึ่งเดียวของเขาไปวางให้ไกลจากเขา

“พวกแกต้องการอะไร” เขาพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ อย่างน้อยที่สุดก็ขอแค่เขาปลอดภัยก็พอ

“ถามแปลก โจรเข้าบ้านมันก็ต้องต้องการของอยู่แล้ว” นั้นสินะ เขาไม่น่าถามอะไรโง่ๆ แบบนั้นไปเลย

“บ้านนี้ไม่มีของที่พวกแกต้องการหรอกนะ”

“มีหรือเปล่าไม่รู้หรอก แต่เข้ามาแล้วมันก็ต้องได้สักอย่าง” หนึ่งในนั้นว่าพร้อมสาวเท้าเข้ามาใกล้เขาที่นั่งอยู่กับพื้น

“บอกมาดีๆ ดีกว่าคนสวยว่าเอาเงินไปซ้อนไว้ที่ไหน” เพราะแว่นตาดำกับผ้าปิดปากทำให้เปลวอรุณไม่สามารถคาดเดาหน้าตาที่แท้จริงของผู้ร้ายตรงหน้าได้ แต่เท่าที่ฟังจากน้ำเสียงของทั้งสองคนก็พอเดาได้ว่าคนจะมีอายุอยู่ในช่วงวัยที่ห่างกับเขาไม่มากแต่สรีระนั้นต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งสิ่งที่อยู่ในมือของมันทั้งคู่เขายิ่งมองไม่เห็นทางรอดเลยสักนิดเดียว

“ว่าไง นายคงไม่อยากให้ตัวขาวๆ นี้ต้องมีรูเจาะอยู่บนร่างกายหรอกนะ” คนที่น่าจะแอบเข้ามาทางหลังบ้านเสริมขึ้น ขณะให้ปลายกระบอกปืนจ่อมาที่หัวเขาเป็นเชิงไล่ให้เขาลุกขึ้นจากพื้นไปนั่งบนโซฟา

ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่เหมือนว่ามันจะจงใจวางปืนที่อยู่ในมือลงที่ตู้เล็กข้างโซฟาที่เขานั่งทั้งยังอยู่ในระยะที่เขาสามารถเอื้อมถึงได้แถมอีกคนก็ลดปืนที่จ่อที่ศีรษะเขาออกด้วย

แล้วใครสนละ...

ณ เวลานี้เขาไม่มีเวลามานั่งคิดแล้วว่ามันเปิดโอกาสให้เขาหนีจริงหรือเปล่าแต่ในเมื่อมันมีทางรอดเขาก็มีแต่ต้องคว้ามันเอาไว้เท่านั้น

เปลวอรุณอาศัยความเพรียวของร่างกายเอนตัวไปคว้าเอาปืนกระบอกนั้นมาถือไว้ในมือก่อนจะเสยหมัดฮุกเข้าไปที่หน้าท้องของผู้ร้ายที่อยู่ใกล้เพื่อเปิดทาง

“เฮ้ย”

เจ้าของปืนร้องเสียงหลง แล้วรีบถลาเข้าไปพยุงเพื่อนที่ล้มหงายหลังอยู่ที่พื้น

ถึงจะเคยเรียนร.ด.มาตอนมัธยมแต่นั้นก็นานมาแล้วอีกทั้งเปลวอรุณไม่เคยจับปืนหรืออาวุธอะไรอย่างจริงๆ จังๆ มาก่อนเขาไม่รู้หรอกว่ามันใช้ยังไงแถมมันยังหนักมากอีกด้วย

“ยะ อย่าเข้ามานะ” ถึงปืนที่ถืออยู่ในมือจะหนักแต่เปลวอรุณก็พยายามประคองมันเอาไว้ไม่ให้สั่นพอๆ กับน้ำเสียงที่เปล่งออกมา

“นายไม่กล้าหรอก” คนร้ายท้าทายอย่างคนเจนสนามที่มองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าคนตรงหน้าไร้ทักษะการยิงปืนอีกทั้งยังขาดกลัว

ใช่ เขาไม่กล้ายิงมันจริงๆ อย่างที่ว่า แต่ใช่ว่าเขาจะไม่กล้าขู่

ปัง!

เพร้ง!

กระถางต้นไม้ที่ใช้ประดับในห้องรับแขกคือตัวเลือกที่เปลวอรุณใช้ลบคำสบประมาทของผู้ร้ายทั้งสองที่ยืนอยู่กลางบ้านและมันได้ผลเมื่อพวกมันดูจะมีปฏิกิริยาตกใจกับสิ่งที่พวกมันไม่คาดคิดว่าตัวเขาจะกล้าทำ

“ถ้าพวกแกเข้ามาฉันยิงจริงๆ แน่ ออกไป! ”

ถึงมือที่จับปืนจะสั่นแต่เปลวอรุณก็พยายามอย่างยิ่งที่จะประคองมันเอาไว้อย่างน้อยตอนนี้ก็ขอแค่ไล่มันออกจากบ้านได้ก็พอแล้ว คนมีอาวุธพยายามเดินเลียบไปหยิบเอาปืนอีกกระบอกที่นอนนิ่งอยู่กับพื้นขึ้นมา แต่คนไร้ทักษะอย่างเขามีหรือจะสู้คนร้ายที่ดูจะชำชองการต่อสู้เป็นอย่างดี

ทันทีที่มือของเขาใกล้จะถึงปืนหนึ่งในนั้นก็รีบพุ่งเข้ามาใส่พร้อมบิดมือของเขาข้างที่ถือปืนอยู่จนปืนล้วงลงกับพื้นด้วยความเจ็บ และเป็นเขาเองที่เป็นผ่านจนมุมอีกครั้ง

“แสบนักนะ” เสียงที่ดังออกมาทำเอาเปลวอรุณเผลอสะดุ้งตัวโหยงยอมรับเลยว่าตอนนี้ตัวเขากลัวจับใจ เขาไม่มีอาวุธใดๆ จะป้องกันตัวได้แล้วซ้ำยังคิดสู้กับโจรที่ถือเป็นเรื่องโง่ที่สุดที่ควรจะทำถ้าหวังถึงความปลอดภัย

 “คงไม่ว่านะถ้าฉันจะทำให้หัวเธอมีรู”

ใต้ผ้าปิดปากปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมพร้อมกับปลายนิ้วที่ค่อยๆ จะเหนี่ยวไกย์ในมือ เปลวอรุณหลับตาแน่นอย่างจำนนเขาไม่เหลือทางหนีอะไรอีกแล้ว

แต่ถึงเขาตาย เขาก็ยังตายในบ้านของแม่...

“เปลว!! ”

 เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกทันทีเมื่อเสียงที่คุ้นเคยของใครบางคนดังขึ้นพร้อมกับร่างของชายหนุ่มที่เขาเห็นอยู่ทุกวัน การเตรียมใจที่จะตายของเขาถูกกระชากออกด้วยเสียงของความหวังที่ออกมาจากปากของ

“คุณอัมรินทร์! ”

เขาไม่เคยรู้สึกดีใจที่ได้เจอผู้ชายคนนี้เท่ากับวันนี้เลยสักครั้งเดียว ทั้งความดีใจที่ได้เจอทั้งความเครียดที่ต้องมาพบเจอกับเหตุการณ์ร้ายๆ ผสมปนแปรจนทำให้เปลวอรุณเผลอร้องไห้ออกมาอย่างไม่คิดอายเมื่อได้เจอหน้าอัมรินทร์ที่เป็นเหมือนความหวังสุดท้ายของตนในตอนนี้

“เห้ย แกเป็นใคร” หนึ่งในนั้นเบี่ยงปลายกระบอกปืนจากเปลวอรุณมาเป็นคนมาใหม่

เสียงตวาดถามทำเอาความยินดีในใจของเปลวอรุณหายวับไปทันตาเมื่อตระหนักได้ว่าเพราะตอนนี้เป้าหมายของผู้ร้ายทั้งสองเปลี่ยนจากเขาเป็นอัมรินทร์แทน

“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบพวกแก”

อัมรินทร์ขบกรามแน่นเมื่อเห็นว่าเปลวอรุณที่เขาอุตส่าห์ถนอมมานานกำลังนั่งร้องไห้อยู่กับพื้นแม้จะไม่มีร่องรอยว่าโดนทำร้ายแต่แค่เห็นน้ำตาของอีกฝ่ายก็มากพอที่จะชักนำความโกรธเกรี้ยวเข้ามาในจิตใจของเขาทำให้ชายหนุ่มพุ่งตัวเข้าใส่ผู้ร้ายตรงหน้าอย่างไม่คิดเกรงกลัว

หมัดหนักๆ กระแทกใส่หน้าของผู้ร้ายหมายเลขหนึ่งทันทีก่อนจะตามเข้าที่หน้าท้องของอีกคนหนึ่งที่หมายจะเขามารุมเขาเพื่อช่วยเพื่อน

“คุณอัมรินทร์ระวัง”

เปลวอรุณตะโกนขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้ร้ายคนแรกที่โดนอัมรินทร์ต่อยลงไปยืนขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับปืนในมือที่ชี้ไปที่อีกคน

“ถ้าไม่หยุดกูยิงมึงจริงๆ แน่” มันขู่

อัมรินทร์มองมันสลับกับเพื่อร่วมทีมของมันที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะแย่งปืนในมือของหนึ่งในพวกของมันที่อยู่ใกล้มาถือเอาไว้พร้อมกับล็อกคอเอาไว้เป็นตัวประกัน

“ถ้ามึงยิง กูก็จะยิงเพื่อนมึงเหมือนกัน” อัมรินทร์ขู่ ก่อนจะหันไปสั่งให้เปลวอรุณที่ยังตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปหลบที่ด้านหลังชั้นวางของที่ใช้กั้นฉากระหว่างโต๊ะกินข้าวกับโซนนั่งเล่น

อย่างน้อยก็ขอให้เปลวอรุณปลอดภัยไว้ก่อน...

ทั้งคู่หันกระบอกปืนเข้าประจันท์หน้ากันพร้อมสายตาที่ต้องอย่างไม่มีใครยอมใคร เมื่อรู้ตัวว่าไม่มีทางรอดอื่นผู้ร้ายทั้งสองหันมาสบตากันเพื่อสื่อสารอะไรบ้างก่อนที่คนที่ถูกอัมรินทร์ล็อกตัวเอาไว้จะกระทุ้งศอกใส่ช่วงท้องของชายหนุ่มอย่างแรงจนตัวงอแล้วอาศัยจังหวะที่อัมรินทร์เสียการป้องกันซัดอีกหมัดเข้าที่ใบหน้าคมนั้นอย่างแรงแล้วฉวยเอาปืนกลับมาวิ่งออกจากบ้านไป

“คุณอัมรินทร์”

เปลวอรุณรีบผละออกจากหลังชั้นวางเข้ามาประคองอัมรินทร์ที่ล้มอยู่ที่พื้นอย่างเป็นห่วง

“คุณเป็นยังไงบ้าง” เขาถามเสียงตื่น ยิ่งเห็นเลือกที่ไหลซึมจากมุมปากของอีกคนเขายิ่งอยากจะร้องไห้

“ไม่เป็นไร โอ๊ย! ”

 “คุณอัมรินทร์”

“ไม่เป็นไร แค่เจ็บนิดหน่อย”

อัมรินทร์ยกมือปราม ถึงตอนแรกอยากจะอ้อนอีกคนสักหน่อยก็เถอะแต่พอเห็นหน้าขาวๆ ที่ซีดเป็นกระดาษไร้สีเลือดไหนจะคราบน้ำตาที่แก้มนั้นอีกละ ยอมรับเลยว่าแกล้งต่อไม่ลง

“ไปนั่งที่โซฟาก่อนเถอะครับ”

เปลวอรุณว่าพร้อมๆ กับที่ยกเอาท่อนแขนหนาของอัมรินทร์ขึ้นพาดบ่าเพื่อช่วยพยุงคนตัวใหญ่ให้ลุกขึ้น แต่ดูเหมือนเปลวอรุณจะลืมอะไรไปอย่างหนึ่ง

เขาตัวเล็กกว่าอัมรินทร์

ด้วยจำนวนมวลกล้ามเนื้อที่มากกว่าและหนักทำให้คนที่ยังจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไม่ทันได้ไตร่ตรองอะไรให้ถี่ถ้วนเหมือนยามปกติ ทันทีที่จับแขนอีกคนขึ้นพาดได้เปลวอรุณก็รีบลุกพรวดขึ้นไม่บอกไม่กล่าวให้อัมรินทร์ได้รู้ตัว ทำให้ผลสุดท้ายกลับเป็นตัวของเขาเองนั่นแหละที่เซถลาลงไปซบอกแกร่งของอีกคนอย่างแรง

“อุก”

อัมรินทร์เองก็ไม่ต่างอะไรกับเปลวอรุณมากนั้นเพราะตัวที่ใหญ่กว่าเลยกลายเป็นจุดถ่วงให้อีกคนและพอเปลวอรุณล้มลงมาทับเขาที่เป็นเหมือนเบาะรองที่มีตำหนิด้วยแล้วไม่แปลกที่เขาจะเผลอร้องออกมาเมื่อร่างโปร่งเพรียวล้มกระแทกโดนช่วงท้องของเขาที่โดนกระแทกจนคิดว่าตอนนี้คงจะเริ่มขึ้นสีช้ำแล้วจากการโดนซ้ำเข้า

“ผมขอโทษ ผมขอโทษ” เปลวอรุณลนลานขอโทษขอโพยอีกฝ่าย

“ไม่เป็นไร” เขายิ้มบาง

เปลวอรุณกำลังกลัว นี้คือสิ่งที่อัมรินทร์รู้

ถึงจะพยายามทำตัวให้เป็นปกติยังไงแต่นัยน์ตาเรียบนิ่งที่เขาเฝ้ามองอยู่ทุกวันมันไม่เหมือนเดิม อย่างที่ใครเคยพูดกันเอาไว้ว่าแววตาจะสะท้อนสิ่งที่อยู่ในใจออกมาและตอนนี้สิ่งที่สะท้อนออกมาจากอีกคนมีแต่ความกลัว ความตกใจ นี้ยังไม่นับรวมต้นแขนทั้งสองข้างที่สั่นอยู่ในมือของเขาตอนนี้ด้วยนะ

“ไม่เป็นไรแล้วเปลว เราปลอดภัยแล้ว”

อัมรินทร์ฉุดคนที่กำลังดันตัวลุกขึ้นให้กลับมานอนทับเขาใหม่อีกครั้งพร้อมกับใช้โอกาสนี้กอดอีกคนเอาไว้แน่นแล้วลูบหลังไปมาเพื่อปลอดขวัญ

“ไม่ต้องกลัวนะ ฉันอยู่นี่แล้วฉันจะปกป้องเปลวเอง”

ไม่ว่าเปล่าอัมรินทร์ยังกดจูบลงที่หน้าผากของเปลวอรุณอีกด้วย ตอนนี้เปลวอรุณกำลังขวัญหนีดีฝ่อกะจิตกะใจยังไม่กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว คนที่รอเวลาดีแบบๆ ไม่ปล่อยให้พลาดแน่ จริงๆเขาอยากจะทำมากกว่านี้แทะเล็มเปลวอรุณให้มากกว่านี้จนกว่าอีกคนจะเป็นฝ่ายบิดตัวออกจากเขาอยู่หรอก ถ้าไม่เพราะ

“เกิดอะไรขึ้น! ”

_________________________________________________________

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel