บท
ตั้งค่า

เป็นหนี้ ครั้งที่ 3

สิ่งหนึ่งที่อยู่ครู่กับมนุษย์ทุกชาติพันธุ์มาทุกยุคทุกสมัยเลยนั้นก็คือความบันเทิง ซึ่งความบันเทิงที่ว่าก็ถูกแบ่งแยกออกไปอีกหลากหลายชนิดโดยหนึ่งในนั้นคือสิ่งที่นักเสี่ยงโชคผู้หวังในลาภที่จะลอยมาหาและท่ามกลางแสงสียามค่ำคืนของนครหลวงที่ไม่เคยหลับใหลนอกจากเหล่าผีเสื้อราตรีที่ออกโลดแล่นแล้วลึกเข้าไปในกลางกรุงยังมีสถานที่อีกแห่งที่หลบซ่อนตัวอยู่ภายในแสงหลากสี

บ่อนการพนัน...

กิจการผิดกฎหมายที่ซ้อนตัวอยู่เบื้องหลังผับใหญ่กลางเมืองที่เหล่าดาราไฮโซตบเท้าก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกระดับVIP ที่ได้คนใหญ่คนโตทางการเมืองหนุนหลังจนแทบจะไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง ถือได้ว่าที่นี่เป็นสวรรค์ของนักเสี่ยงโชคเลยก็ว่าได้

เมื่อขึ้นชื่อว่าการพนันเกมการเล่นที่ต้องใช้ดวงและโชคในการขัดเคลื่อนเพื่อให้เม็ดเงินที่มีอยู่ผลิดอกออกผลก็ย่อมมีทั้งผู้ได้มันมาครองและผู้เสียมันไปที่ต้องการเริ่มใหม่

“รอยัลสเตรทฟลัช!!”

แต้มของไพ่ที่สูงที่สุดดังขึ้นกลางวงเรียกเสียงฮือฮาจากทุกคนที่อยู่บริเวณรอบๆ ได้เป็นอย่างดียิ่งตอนที่ไพ่ทั้งห้าใบถูกหงายลงบนโต๊ะเพื่อให้ทุกคนที่ล้อมวงเข้ามาได้เห็นไพ่หายากที่อยู่ในมือ ไพ่โพดำที่เรียงตัวกัน A K Q J 10 เปอร์เซ็นต์การได้ไพ่เรียงเช่นนี้มีเพียงแค่0.00015% เท่านั้น แน่นอนว่ายิ่งมันยากในการที่จะได้มามากเท่าไรแต้มและเงินรางวัลที่จะได้ย่อมสูงตามไปด้วยเท่านั้น

“จ่ายมาครับ จ่ายมา”

เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ชายวันกลางคนรูปร่างผมแห้งเจ้าของไพ่รอยัลสเตรทฟลัชจะหน้าชื่นตาบานกับเม็ดเงินที่เขากำลังได้จากคนในวง แถมนี้ยังเป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาสัมผัสการเสี่ยงโชคแบบนี้แถมยังใช้เวลาไปไม่ทันจะถึงหนึ่งชั่วโมงแต่กลับถอนทุนคืนได้เกินคาดแบบนี้มีหรือที่เขาจะได้ลิงโลดกับโชคที่ได้รับ

แต่เกมเสี่ยงโชคที่ว่ามีกฎเกณฑ์ง่ายๆ อยู่ข้อหนึ่งที่นักเสี่ยงโชครู้กันดีนั้นคือ เมื่อมีคนได้ก็ย่อมมีคนเสีย

และคนที่เทพีแห่งโชคลาภเลือกที่จะเมินเฉยก็คือ พิมพา...

หลังจากเข้าคอร์สทำผิวที่จองเอาไว้เมื่อช่วงต้นปีเสร็จหล่อนก็ตรงดิ่งเข้ามาหาความบันเทิงที่แสนโปรดปราดอย่างเช่นทุกวัน แต่วันนี้หล่อนเลือกที่นี่

Butterfly club

ฉากหน้าคือผับหรูที่เหล่าเซเลบริตี้คนดังตามตบเท้าก้าวเข้ามาใช้บริการหากแต่เบื้องหลังของมันนั้นคือคลาสิโนใหญ่กลางใจเมืองแหล่งรวมอบายมุขทุกสิ่งอย่างเพื่อสนองความต้องการของเหล่าลูกค้าระดับวีไอพีกระเป๋าหนักและคนที่จะเข้ามายังโซนคลาสิโนได้นั้นต้องเป็นเมมเบอร์ของคลับเท่านั้น

ม่ายสาวใหญ่ไม่ได้เป็นเมมเบอร์อะไรที่ว่านี้หรอกหากแต่หล่อนมากับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่เป็นแมมเบอร์ของที่นี่อีกทั้งหล่อนเองก็ได้ยินชื่อเสียงของที่นี่มานานแล้วเช่นกันเมื่อมีโอกาสหล่อนจึงไม่อยากจะพลาดโอกาสที่จะได้เข้ามายังสถานที่แห่งนี้

“พอฉันเลิกเล่นแล้ว” แต่พอมาแล้วมันก็ไม่ได้ดั่งที่ใจต้องการเอาเสียเลย

คนที่เสียจวนจะหมดตัวกระแทกเสียงอย่างไม่พอใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า พิมพามานั่งที่นี้ตั้งแต่ช่วงเย็นแต่นี้อะไรกันอีกไม่ถึงสิบนาทีจะเข้าวันใหม่อยู่แล้วแต่เงินของหล่อนมีแต่ออกกับออกอย่างเดียว ดูเหมือนวันนี้จะไม่ใช่วันของหล่อนจริงๆ

“จะรีบไปไหนละพิม อีกสักรอบสิ” หญิงรูปร่างท้วมที่จับจูงกันเข้ามาพร้อมกันเอ่ยขัดขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนจะเลิกเล่นก่อน

“ไม่ละ เชิญหล่อนเล่นต่อไปเถอะฉันไม่มีอารมณ์แล้ว” พิมพากระชากเสียงใส่ ร่างเพรียวลุกขึ้นจากวงกิจกรรมแทรกตัวผ่านคนที่รุมล้อมโต๊ะออกมา

ข้อดีอย่างหนึ่งของการเป็นคลาสิโนระดับไฮเอนด์นั้นคือทุกคนที่มาที่นี้จะไม่ค่อยสุงสิงกันมาเกินความจำเป็นแถมการบริการก็ยังยอดเยี่ยมจนบ่อยปลายแถมที่หล่อนเคยไปเทียบไม่ติด และเพราะไม่ค่อยมีใครยุ่งเกี่ยวกันมานี้แหละดีจะได้มีใครสนใจหล่อนนั้นกำลังจะหมดตัวเลยต้องออกมาทั้งๆ ที่ใจยังอยากจะอยู่ใช้บริการต่ออีก

“เดี๋ยวครับคุณผู้หญิง”

รองเท้าส้นสูงสีสดของพิมพาหยุดชะงักลงเล็กน้อยขณะกำลังเดินไปยังทางออก ใบหน้าสวยหันกลับมามองชายฉกรรจ์ที่มองจากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นการ์ดรักษาความปลอดภัยจากโซนเสี่ยงโชค

“มีอะไร” หล่อนถามพลางวางกระเป๋าลงให้พนักงานตรวจสอบ

“ช่วยมาด้วยกันหน่อยได้ไหมครับคุณผู้หญิง” อย่างที่บอกว่าวันนี้ไม่ใช่วันของหล่อนดังนั้นอะไรๆ จึงดูจะขัดหูขัดตาไปหมดยิ่งคำพูดที่ออกมามีเจตนาจะขัดขวางการกลับบ้านด้วยแล้วใบหน้าสวยก็ยิ่งบูดบึ้งไม่พอใจ

“ไม่ไป ฉันจะกลับแล้ว”

พิมพาว่าเสียงแข็ง มือบางคว้ากระเป๋าของตัวเองแล้วตั้งท่าจะเดินออกไปทางประตูแต่ดูท่าการ์ดที่อยู่อีกฝั่งของประตูจะไม่เห็นด้วยกับความคิดของลูกค้าสาวใหญ่คนนี้เท่าไร

“นี้พวกแก!” พิมพาวีดเสียงใส่

“ช่วยไปกับพวกเราด้วยครับ” การ์ดคนแรกที่เป็นคนทักพิมพาเดินเข้ามาใกล้พร้อมผายมือไปอีกทางหมายให้เจ้าหล่อนตามไปกับพวกตนด้วย

“ก็บอกว่าไม่ไง ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง”

“แต่..”

“อ้าว อ้าว มีอะไรกันหรือครับ”

เสียงเข้มของการ์ดตัวใหญ่เมื่อครู่ถูกเสียงขี้เล่นของบุคคลที่สามขัดขึ้นก่อนที่จะทันได้พูดอะไร พิมพามองดูชายหนุ่มร่างสูงโปร่งตัวขาวผมยาวถูกมัดหลวมๆ แล้วพาดไว้ที่ไหล่ดวงตาเรียวเล็กอย่างคนเชื้อสายจีนที่พอก้าวเข้ามาในวงสนทนาชายฉกรรจ์ที่ล้อมหล่อนอยู่เมื่อครู่ก็ตีวงออกห่างบ่งบอกได้ว่าคนมาใหม่ต้องมีตำแหน่งอะไรสักอย่างในที่นี้แน่

“” มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับคุณผู้หญิง” อาตี๋หน้าซนส่งยิ้มการค้าให้ลูกค้าตรงหน้าพร้อมถามไถ่

“ฉันกำลังจะกลับ แต่คนของคุณนี้สิไม่ยอมให้ฉันกลับ” พิมพาตอบ

“ไอหย๋า! ทำไมพวกนายทำแบบนี้กับลูกค้าละ หื้อ” คำตำหนิที่ดูจะไม่จริงจังเสียเท่าไรออกจะขบขันมากกว่าเสียด้วยซ้ำไปจนพิมพารู้สึกไม่ชอบใจ เพราะมันเหมือนว่าความเสียหายของเธอเป็นเพียงแค่เรื่องตลก

“ขอโทษครับ”

“อย่างให้เป็นแบบนี้อีกนะ ส่วนคุณผู้หญิงผมต้องขอประทานโทษด้วยจริงๆ นะครับ” ท้ายประโยคคือน้ำเสียงที่ถูกดันจนน่าสงสาร พิมพากลอกตาอย่างหน่ายๆ กับเรื่องตรงหน้าที่ทำให้หล่อนเสียเวลา

“ผมชื่อ ลี หย่งฟาง เป็น เออ.. ผู้จัดการของที่นี่ ถ้าไม่เป็นการเสียเวลาผมอยากจะขอรบกวนให้คุณผู้หญิงมากับผมหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากจะขอไถ่โทษกับความเสียมารยาที่ลูกน้องผมทำให้คุณต้องขุ่นเคืองใจ จะได้หรือไม่ครับ” อาฟางพยายามทำหน้าในน่าสงสารที่สุดเพื่อร้องขอความเห็นใจนั้น

“อย่านานนักแล้วกัน” ถึงจะทำทีเป็นไม่พอใจแต่พิมพาก็ไม่คิดปฏิเสธ

ฝ่ายผู้จัดการจำแลงเองก็ยิ้มร่าออกมาเมื่ออีกคนไม่คิดปฏิเสธ ร่างสูงโปร่งพลายมือเชิญก่อนจะออกเดินนำแขกพิเศษของตนไปยังห้องรับรองที่อยู่อีกทาง โดยไม่ลืมที่จะหันมายิ้มให้ลูกน้องทั้งสามที่ยืนมองตามหลังพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นจรดปากบางเป็นสัญญาณให้รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ต้องไม่รู้ไปถึงหูเจ้าของบ่อนแห่งนี้อย่างเด็ดขาด

เพราะเขาเองก็ยังไม่อยากจะโดนทำโทษทั้งคืนเหมือนกันนะ....

วันหยุดสุดสัปดาห์ก็คล้ายๆ สวรรค์บนดินขนาดย่อมของคนทุกช่วงวัย ยิ่งช่วงเช้าของวันหยุดที่ไม่ต้องรีบตื่นเพื่อเข้าสู่วัฏจักรของชีวิตอันเร่งรีบในสังคมเมือง โดยเฉพาะคนขี้เซาอย่างเปลวอรุณที่การได้นอนตื่นสายในวันที่ไม่รีบร้อนแบบนี้ดูจะเป็นอะไรที่เจ้าตัวโปรดปรานมากที่สุดจนแทบจะไม่อยากจะลุกออกจากเตียงจนกว่าจะถึงช่วงสาย

หลายคนมักเข้าใจในตัวเปลวอรุณอย่างผิดๆ ว่าเลขาหน้าสวยของท่านรองเป็นพวกจริงจังกับทุกเรื่องแอ็คทีฟกับทุกสิ่ง แต่เปล่าเลย มันไม่ใช่เลยสักนิดเพราะถ้าใครได้มาเห็นเขาตอนนี้จะรู้เลยว่าเปลวอรุณนะเป็นแค่จอมขี้เกียจคนหนึ่งเท่านั้น ไอ้ที่เห็นว่าจริงจังกับงานนั้นก็แค่ว่าจะรีบๆ ทำมันให้เสร็จแล้วกลับบ้านมานอนก็เท่านั้นถึงแม้ว่าช่วงหลังๆ มานี้จะเป็นเพราะอยากจะหนีให้ห่างจากเจ้านายหนุ่มของตนอย่างอัมริทร์ก็ตาม

เปลวอรุณเกลียดคนเจ้าชู้และอัมรินทร์เองก็เป็นคนแบบนั้น....

ทุกวันนี้นอกจากจะต้องรับมือกับงานมากมายที่ต้องรับผิดชอบอยู่ในแต่ละวันก็ว่าหนักแล้วแต่นี่เปลวอรุณเองก็ต้องคอยรับมือกับลูกเล่นลูกไม้ต่างๆ ที่อัมรินทร์สันหามาใช้กับเขาตลอดเวลาอีก และยิ่งอัมรินทร์เป็นผู้ชายที่มีความฉลาดในตัวเองสูงด้วยแล้วชายหนุ่มจึงรู้จักวิธีเข้าหาเขาว่าควรใช้มุกไหนหรือลูกไม้อะไรเพื่อที่ว่าคนอย่างเขาจะหมดหนทางปฏิเสธได้ ซึ่งหนึ่งในข้ออ้างหลักๆ ที่เปลวอรุณมักจะประสบอยู่ทุกวันเลยก็คือ ‘งาน’ งานที่เป็นเหมือนข้ออ้างให้อัมรินทร์นำมาใช้กับเขาเหมือนอย่างทุกวันและในวันนี้

“สีม่วงกับสีชมพูเปลวว่าสีไหนสวยกว่ากัน” น้ำคำที่ดูจะไม่ยินดียินร้ายกับใดๆ รอบตัวของอัมรินทร์ทำเอาคนที่ถูกปลุกออกมาจากบ้านตั้งแต่ช่วงสายออกอาการหงุดหงิด

“ผมไม่ชอบสีม่วง” เปลวอรุณตอบหน้าตึง ที่จริงเขาก็ไม่ชอบมันทั้งสองสีนั่นแหละ

“งั้นเอาสีชมพู”

“มันหวานไป” เขาขัด

“แล้วสีไหนดีละเปลว” อัมรินทร์ทำหน้ายู่ลงทันที

“ไม่รู้” เปลวอรุณสะบัดเสียงที่ดูจะเต็มไปด้วยความรำคาญอย่างเต็มทนแล้วเดินหนี

เมื่อช่วงสายตอนที่เขากำลังนอนเป็นตัวหนอนขี้เกียจอยู่บนที่นอนอันแสนสุขอยู่ๆ เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นพร้อมหมายเลขของสายที่โทรเข้ามาที่ระบุว่าคนที่เขาเข้ามาขัดจังหวะความสุขในตอนนี้ของเขาคือ อัมรินทร์

‘มีเรื่องด่วน’

คำสั้นๆ ที่เขาพอจะจับใจความได้จากเนื้อความกึ่งเล่นกึ่งจริงจังของอีกคนอันเป็นต้นเหตุให้เขาต้องรีบอาบน้ำแต่ตัวใหม่ให้เรียบร้อยแล้วขับรถออกไปหาอีกคนที่บริษัทในวันหยุดก่อนที่จะถูกจับยัดใส่รถของอีกคนแล้วมาโผล่ที่ศูนย์การค้าสำหรับสินค้าภายในบ้านแห่งนี้

“แต่ฉันเลือกไม่ถูกจริงๆนิเปลว ดูสิสวยไปหมดเลย” อัมรินทร์พูดด้วยสายตาละห้อยตามแผ่นหลังที่เล็กกว่าของคนที่เดินหนีทิ้งให้เขาต้องมาตัดสินใจเลือกสีผ้าม่านเอง

“ก็มันผ้าม่านห้องนอนคุณ คุณชอบแบบไหนก็เลือกเองสิจะมาถามผมทำไมผมไม่ได้ไปนอนด้วยสักหน่อย” เปลวอรุณว่าตัดรำคาญโดยที่สายตาเอาแต่มองตัวอย่างผ้าม่านสีน้ำเงินเข้มเนื้อหนาที่อยู่ตรงหน้าที่มันช่างถูกใจเขาเสียจริงถ้าเอาไปคงตัดกับห้องนอนโทรนขาวของเขามากแน่ๆ คนตัวขาวยืนพิจารณาดูม่านในมือจับพลิกซ้ายทีขวาทีเพื่อดูลายอย่างตั้งใจจนไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มร้ายของคนอัมรินทร์ที่มองมาจากด้านหลัง

“งั้นไปดูอย่างอื่นกันเถอะ”

ไม่ว่าเปล่ามือแสนซนของอัมรินทร์ก็รีบคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเปลวอรุณเอาไว้แล้วออกแรงฉุดเล็กๆ ให้คนที่ยังไม่ทันตั้งตัวเดินตามตนไปอีกโซน

“อะไรของคุณเนี้ย”

คนโดนดึงบ่นอย่างไม่ค่อยพอใจแต่เพราะทำอะไรไม่ได้จึงจำต้องกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามแรงจูงของอีกคนที่ดูจะมีความสุขกับการพาเข้าโซนนู้นออกโซนนี้เสียเหลือเกิน เขาไม่เข้าใจหรือเดาใจหรอกนะว่าคนอย่างอัมรินทร์กำลังมีความคิดที่จะทำอะไรอยู่ในหัวถึงได้เรียกเขาออกมาจากบ้านเพื่อมาเลือกซื้อของที่เจ้าตัวไม่แม้จะจริงจังกับการเลือกเลยสักนิด

เกือบสองชั่วโมงที่เปลวอรุณต้องมาเสียเวลาในไปอย่างสูญเปล่ากับการมาเป็นผู้ช่วยในการเลือกซื้อของแต่งบ้านกับอัมรินทร์ที่นอกจะไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปแล้วมันยังผลาญพลังงานของเขาจนเกือบหมดด้วยเหมือนกัน

“อะไรกันเปลว แค่มาซื้อของแค่นี้ทำไมถึงหอบละ”

อัมรินทร์ยิ้มล้อมองเจ้าของชื่อที่นั่งหอบหน้าแดงอยู่ที่เก้าอี้ยาวที่ทางห้างจัดไว้ให้สำหรับลูกค้าอย่างนึกขำแต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองแก้มขาวๆ ที่เริ่มแดงขึ้นจากการเหนื่อยหอบด้วยความสงสาร

“ผมแก่แล้ว” เปลวอรุณแย้ง

“ไม่จริงสักหน่อย” อัมรินทร์นั่งลงที่ว่างข้างๆ

ก็เปลวของเขายังสวยใสเอ๊ะๆ อยู่เลย..

“ว่าแต่คุณจะมาซื้ออะไร เดินกันมาตั้งนานผมยังไม่เห็นคุณจะได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง” ถ้าคนมันตั้งใจจะมาซื้อจริงๆ มันต้องได้ตั้งแต่สิบนาทีแรกแล้ว ไม่ใช่เดินไปเดินมาทรมานคนแก่อย่างเขาแบบนี้

“จริงๆ ก็ไม่ได้อยากจะซื้ออะไรหรอก” อัมรินทร์ว่านิ่งตามความจริง

“แล้วคุณโทรเรียกผมออกมาทำไม” เปลวอรุณโผงขึ้นยืนพร้อมขึ้นเสียงเสียงดังใส่อย่าเหลืออด ความอดทนของเขาเองมันก็มีขีดจำกัดเหมือนกันนะ...

“น่าๆ ๆ เสียงดังไปแล้ว”

แน่นอนว่าเมื่อครู่เสียงที่เปลวอรุณเป่งออกมามันดังพอที่จะทำให้คนบริเวณรอบๆ หันมามอง อัมริทร์จึงใช้โอกาสที่เปลวอรุณก้มหน้าขอโทษคนที่ผ่านไปมาฉุดมือขาวนั้นให้กลับมานั่งที่เดิมก่อนจะฉวยเอามือนั้นมากุมไว้แน่น

“ปล่อยได้แล้วครับ” เปลวอรุณพยายามบิดมือของตัวเองออกหากแต่อัมรินทร์เองก็ไม่อยากปล่อยโอกาสที่นานๆจะมีแบบหลุดมือออกไปเหมือนกัน

สุดท้ายความดื้อด้านของอัมรินทร์ก็เป็นผล

เปลวอรุณนั่งนิ่งปล่อยให้นิ้วมือข้างหนึ่งของเขาแทรกผ่านร่องนิ้วมือของอีกคนที่กุมมันเอาไว้แน่นโดยไม่พูดอะไร พวกเขาสองคนนั่งกันอยู่อย่างนั้นเงียบๆ มองดูผู้คนที่เดินมาเลือกซื้อของเข้าบ้าน อาจเพราะที่นี้เป็นห้างสรรพสินค้าที่เน้นขายอุปกรณ์และของแต่งบ้านเป็นหลักคนที่มาที่นี้ส่วนใหญ่จึงมากันเป็นครอบครัวหรือไม่ก็คู่รักที่กำลังมาช่วยกันเลือกซื้อของใช้สำหรับการเริ่มต้นชีวิตคู่ของพวกเขา

แต่สิ่งหนึ่งที่ดูจะดึงดูดสายตาของเปลวอรุณได้ดีที่สุดก็คนจะเป็นภาพพ่อแม่ลูกที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่เขานั่งอยู่เท่าไร

จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่ามันนานขนาดไหนแล้วที่เขาไม่ได้ออกมาซื้อของด้วยกันกับครอบครัวแบบนี้ อาจก่อนที่แม่เสียหรือไม่ก็อาจเป็นก่อนที่พ่อจะมีเมียน้อย...

“หิวยัง” หลังจากเงียบกันอยู่นานอัมรินทร์ก็เปิดการสนทนาขึ้น

“ยังครับ”

“แต่ฉันหิว”

อัมรินทร์ในคำนิยามของเปลวอรุณคือคนเอาแต่ใจตัวเองและแน่นอนว่าคนเอาแต่ใจคนนี้ไม่ฟังคำโต้แย้งใดๆ ของเขาทั้งสิ้น ทั้งยังจูงมือเขาเดินเข้าร้านญี่ปุ่นสไตล์ครอบครัวที่อยู่ชั้นล่างของห้างอย่างหน้าตาเฉยไม่แม้จะสนใจสายตาของใครต่อใครที่มองมาทางพวกเขาสองคนเลยสักนิด

“สั่งเลยเปลว มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง” อัมรินทร์ว่าพร้อมส่งเมนูอาหารในมือให้อีกคน

“คุณอยากกินอะไรคุณก็สั่งไปสิ” เปลวอรุณว่าปัด

“ไม่ได้ นี้เลยเวลากินข้าวของเปลวมานานแล้วนะ ถ้าเปลวเป็นอะไรขึ้นมาจะทำไง”

“ก็แค่ไปหาหมอ ไม่ก็นอนอยู่บ้าน”

“เปลวต้องกินเมื่อกี้ตอนดูของฉันเห็นเปลวหน้าซีดแถมยังทำท่าเหมือนจะเป็นลมตั้งหลายรอบ กินๆ เดี๋ยวฉันสั่งให้” สีหน้าทะเล้นของอัมรินทร์หายวับไปกับตาก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าที่ดูจริงจังสมกับตำแหน่งที่ทำอยู่ทันทีเมื่อเป็นเรื่องของเปลวอรุณ

อัมรินทร์ สังเกต จ้องมอง เปลวอรุณอยู่ตลอดเวลาทำไมเขาจะไม่รู้ถึงความผิดปกติเพียงเล็กน้อยของคนที่ชอบปั้นหน้านิ่งทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาอะไรนั้นเลยละ ที่เขาคอยเดินตามหลังเปลวอรุณก็เผื่อว่าถ้าหากอีกคนเป็นอะไรเขาจะได้เขาไปรับได้ทันและที่พยายามหยุดนั่งเป็นช่วงๆ ก็เพื่อไม่ให้คนที่ย้ำอยู่ได้ว่าตัวเองแก่รู้สึกเหนื่อยเกินไป

เพราะไม่รู้ว่าเปลวอรุณชอบกินอะไรอัมรินทร์จึงใช้วิธีหว่านแห่สั่งอะไรก็ได้ที่มีอยู่ในเมนูมาแทนเป็นอย่างๆ ให้อีกคนเลือก รออยู่สักครู่ใหญ่อาหารที่ถูกสั่งไปก็ถูกทยอยเอามาวางที่โต๊ะ

เปลวอรุณให้เกียรติเจ้านายของตนเป็นฝ่ายเริ่มตักอาหารก่อน ก่อนที่เขาเองจะเลือกหยิบจับอาหารที่พอกินได้เข้าปาก ส่วนใหญ่อาหารที่อัมรินทร์เลือกมาจะเป็นอาหารที่เขาพอกินได้แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด บางอย่างที่เขาไม่ชอบเขาแทบจะไม่เฉียดปลายตะเกียบเข้าไปใกล้เลยด้วยซ้ำ

เปลวอรุณนั่งกินเงียบๆ ท่ามกลางสายตาวาวระยับของอัมรินทร์ที่ดูจะให้ความสนใจกับการที่เขาเอาอาหารหาใส่ปากมากกว่าการที่จะเอาอาหารใส่ปากตัวเอง

“ทำไมไม่กิน” เขาเอ่ยทักขึ้นเมื่อคนตรงหน้ายังไม่แม้จะหยิบตะเกียบขึ้นมากินต่นอกจากคำแรกที่เปิดมื้ออาหาร

“อิ่มแล้ว”

“แต่คุณยังไม่ได้กินอะไรเลยสักอย่าง”

“อิ่มใจ”

“...”

เปลวอรุณนั่งกินเงียบๆ ท่ามกลางสายตาวาวระยับของอัมรินทร์ที่ดูจะให้ความสนใจกับการที่เขาเอาอาหารหาใส่ปากมากกว่าการที่จะเอาอาหารใส่ปากตัวเอง

“คุณต้องประสาทไปแล้วแน่ๆ”

“ทำไมคิดอย่างนั้น” อัมรินทร์ถาม

“คิดเอาสิ” เปลวอรุณตัดบท

ไม่ใช่ไม่รู้ถึงสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้าทำอยู่หมายความว่าอะไร ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าทุกเย็นหลังเลิกงานจะมีรถสีดำสนิทของใครบางคนขับตามไปส่งเขาถึงหน้าบ้าน จอดอยู่อย่างนั้นรอจนกว่าเขาจะขึ้นบ้านและเหนือสิ่งอื่นใดคือสายตาแพรวระยับเต็มไปด้วยความมั่นใจของอีกฝ่ายที่ใช้มองมาที่เขาตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน มันสามารถบอกให้เขารับรู้ความคิดที่อีกคนคิดอยู่ให้เขารู้ได้ไม่ยากถึงความปรารถนายามที่อีกคนมองมาทางเขาอย่างไม่คิดปิดบัง ถ้าเลี่ยงได้เขาก็ไม่คิดจะอยู่กับอัมรินทร์มาไปเกินความจำเป็น

อาจเป็นเพราะเขาอายุมากกว่าเจอคนมาหลายรูปแบบเขาจึงสามารถรู้ความต้องการของอีกคนและมักหาท่าหลีกเลี่ยงได้เสมอ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเหนื่อยอยู่ดี แต่เพราะนอกจากการแทะโลมทางสายตากับคำพูดคำจาที่ดูจะส่องถึงความต้องการที่อัดอั้นอยู่ในใจของอีกคนแล้วเขาก็ไม่เห็นว่าอัมรินทร์จะทำอะไรที่เป็นการล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวเขามากจนเกินไป เขาจึงไม่ปริปากพูดอะไรออกไป

เขาแค่อยากรู้ว่าถ้าเขายังทำเป็นนิ่งเฉยแบบนี้ต่อไป คนอย่างอัมรินทร์จะทำยังไงต่อไป

จะเดินหน้าหรือถอยหลัง

แต่ถ้าให้เขาเลือก เขาจะเลือกให้อัมรินทร์ถอยหลังกลับไปสะเขาไม่พร้อมสำหรับความต้องการที่อีกฝ่ายมี

เขาไม่พร้อมและยังไม่ต้องการ...

“ใจร้ายจังเลยนะเปลว” อัมรินทร์ตัดพ้อทำหน้าเศร้า

“ผมก็เป็นของผมแบบนี้”

“ฉันอยากจะอยู่กับเปลวนะ ทำไมเปลวไม่ลองให้โอกาสฉันบ้างละ” อัมรินทร์วางตะเกียบในมือลงก่อนจะประสาทมันเอาไว้ที่ใต้คางจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาจริงจังที่น้อยครั้งจะได้เห็นเวลาอยู่ด้วยกัน

“ที่คุณเรียกผมออกมาเพราะเหตุผลนี้หรอครับ” เปลวอรุณเปลี่ยนเรื่อง เขาไม่อยากตอบคำถามนี้

“ถ้าฉันตอบว่า ใช่ เปลวจะลุกแล้วเดินหนีฉันออกจากร้านไปเลยไหม”

คำตอบที่ได้ไม่ได้ไกลจากการคาดเดาของเปลวอรุณเท่าไร นัยน์ตาเฉยชาปรายตามองอัมรินทร์นิ่งก่อนจะลงมือทางอาหารตรงหน้าต่อเงียบๆ ไม่พูดอะไร ซึ่งแค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้อัมรินทร์ยิ้มกริมอย่างพอใจที่อีกคนไม่ลุกหนีเขาไปไหน

อาหารมื้อนี้อร่อยอย่าบอกใคร...

“คุณส่งผมที่บริษัทพอเดี๋ยวผมขับรถกลับเอง” เปลวอรุณชิงพูดขึ้นเมื่ออัมรินทร์ หมุนพวงมาลัยรถออกจากห้างสรรพสินค้า

“ทำไมละ ให้ฉันไปส่งบ้านก็ได้นะ” อัมรินทร์ถาม

“คุณรู้หรอว่าบ้านผมอยู่ไหน” เปลวอรุณถามดักทางจนคนถูกถามชะงักเล็กน้อย

“ก็.. ขับไปแล้วให้เปลวบอกทางไง” อัมรินทร์รีบแก้ต่าง

“ไม่อยากรบกวน แค่นี้ผมขับกลับเองได้อีกอย่างถ้าไม่ไปเอารถพรุ่งนี้ผมจะไปทำงานยังไง” เปลวอรุณให้เหตุผล จากบ้านเขาไปที่บริษัทใช่ว่าจะใกล้แถมรถที่จะไปยังไม่มีต้องต่อหลายต่ออีกเขาว่ามันวุ่นวายแถมเสียพลังงานไปเปล่าๆ

“ก็เดี๋ยวฉันมารับไง ไปทำงานพร้อมกันประหยัดดี”

“ไม่จำเป็นครับ” เปลวอรุณตัดไมตรีที่ถูกหยิบยื่นให้อย่างไม่เหลือเยื่อใย

อัมรินทร์ยกยิ้มกับคำปฏิเสธที่แสนจะตรงไปตรงมาของอีกคน

ถึงตอนอยู่ในร้านอาหารจะทำตัวเหมือนเปิดโอกาสให้เขาแต่จริงๆ แล้วก็แค่ถนอมน้ำใจเท่านั้นแหละ แต่ก็ดีได้มายากๆ แบบนี้สิเขาชอบยิ่งยากแบบนี้สิดีเพราะถ้ายอมกันง่ายๆ ก็คงไม่ใช่เปลวอรุณและแผนที่เขาอุตส่าห์วางเอาไว้ก็คงเสียเปล่า

“แน่ใจนะว่าจะไม่ให้ไปส่ง” อัมรินทร์ถามขึ้นมาอีกครั้งหลังขับมาส่งอีกคนที่บริษัทแล้ว

“ครับ ขอบคุณนะครับที่มาส่ง” เปลวอรุณรับคำสั้นๆ ก่อนจะจัดการปลดเซฟตี้เบลออกจากตัวแล้วหันมาขอบคุณอีกคนเพื่อที่จะลงจากรถ

หมับ

แต่แรงรั้งที่ข้อมือทำให้คนที่กำลังจะก้าวลงจากรถต้องหันกลับมามองคนขับที่คิดจะรั้งเขาเอาไว้ด้วยความสงสัย

“มีอะไรครับ”

“เปล่า แค่จะบอกว่ากลับดีๆ นะ” ใจจริงก็อยากจะพูดอะไรที่มันพอจะช่วยให้เปลวอรุณเปลี่ยนใจแล้วยอมกลับมานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้เขาต่ออยู่เหมือนกัน แต่คิดไปคิดมาวันนี้ได้เท่านี้ก็พอแล้ว

“ครับ”

เปลวอรุณก้มหัวเล็กน้อยแทนคำขอบคุณพร้อมกับบิดข้อมือออกจากมือหนาของอัมรินทร์ที่จับอยู่ โชคดีที่อีกคนไม่ได้คิดจะรั้งอะไรเขาไว้ทำให้พอแขนข้างนั้นเป็นอิสระเขาก็ตรงไปขึ้นรถของตัวเองที่จอดอยู่แล้วขับออกไปโดยไม่รอ

“หนีได้ก็หนีไปนะเปลว จับได้เมื่อไรจะไม่ปล่อยให้ดิ้นเลย”

รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นพร้อมกับคำหมายมั่นของเจ้าของดวงตาคมที่เฝ้ามองเป้าหมายสำคัญของตัวเองขับรถหายออกไป อัมรินทร์นั่งอยู่อย่างนั้นสักพักแล้วจึงหยิบโทรศัพท์ส่วนตัวของตนขึ้นมากดเข้าทำรายการบางอย่างในโทรศัพท์ก่อนจะวางมันลงตรงที่วางของแล้วขับรถตามอีกคนออกไป

แต่อัมรินทร์ไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นที่เกิดขึ้นในบริเวณลานจอดรถระหว่างเขากับเปลวอรุณจะอยู่ภายใต้การเฝ้ามองของใครบางคนที่คนแอบมองพวกเขาอยู่พร้อมกับรอยยิ้มอย่างคนนึกสนุก

“น่าสนุกแล้วสิ”

ไหนๆ ก็ได้ออกมาจากบ้านทั้งทีเปลวอรุณเลยถือโอกาสนี้แวะซุปเปอร์มาเก็ตแถมบ้านเพื่อเลือกซื้อของใช้ในบ้านที่ใกล้หมดกับพวกของสดสำหรับทำอาการเข้าไปด้วยเลยอีกทั้งเมื่อกี้อัมรินทร์ยังส่งข้อความมาบอกว่าพรุ่งนี้เจ้าตัวอยากจะกินอะไรเขาจึงต้องซื้อเข้าไปด้วย

นอกจากหน้าที่ของเลขาที่ต้องดูแลงานเรื่องเอกสารกับชีวิตประจำวันแล้วเขายังมีอีกตำแหน่งหน้าที่ที่อัมรินทร์มอบหมายมันให้กับเขาเมื่อหลายเดือนก่อนนั้นก็คือการเตรียมอาหารกลางวันใส่กล่องมาให้อีกคนกินที่บริษัทในช่วงพักเที่ยงโดยเจ้าตัวจะเป็นคนรีเควสเมนูมาให้เขาในตอนเย็นแต่ถ้าไม่ได้บอกอะไรไว้ก็ถือแล้วแต่ว่าวันนั้นเขาจะหยิบจับเอาอะไรมาทำให้ก็ตามแต่

หลังจากเลือกซื้อของที่ต้องการได้ครบแล้วเปลวอรุณก็ขับรถตรงกลับบ้านทันที แต่พอกลับมาถึงบ้านเขาก็ต้องขมวดคิ้วแน่นเป็นเชิงสงสัยพลางเหลือบมองเวลาจากนาฬิกาข้อมือไปด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้เข้าใจผิดไป แต่เมื่อเข็มสั้นของหน้าปัดยังคงอยู่ที่เลขห้ากับเข็มยาวที่อยู่ใกล้เลขสิบสอง เวลาใกล้ห้าโมงแบบนี้พิมพาต้องอยู่บ้านสิ

เปลวอรุณตั้งคำถามในใจเมื่อรถยนต์สีขาวของเจ้าตัวก็ยังคงอยู่อีกทั้งรองเท้าส้นสูงคู่โปรดก็ยังคงวางเตรียมรออยู่ที่หน้าประตูบ้านแต่ทำไมเขาถึงได้ไม่ได้ยินเสียใดๆ ออกมาจากในตัวบ้านเลย

มันผิดวิสัยคนอย่างพิมพา...

เขาไม่ชอบความไม่ปกติเพราะนั้นมันหมายถึงสัญญาณบอกเหตุอะไรสักอย่าง

หัวคิ้วสวยถูกกดให้ต่ำลงอย่างใช้ความคิด เปลวอรุณเดินเอาถุงที่บรรจุของที่ซื้อมาจากซุปเปอร์วางเอาไว้ที่โต๊ะทานอาหารก่อนจะเดินตรงไปทางบันไดเพื่อเอาของขึ้นไปเก็บ แต่ยังไม่ทันทีเท้าของเขาจะสัมผัสกับขั้นบันไดขั้นแรกคนที่เขามองหาอยู่ก็กำลังลงบันไดมาด้วยท่าทีรีบร้อนพอดี

“ปะ เปลวกลับมาแล้วหรอ” น้ำเสียงของพิมพาดูจะตกใจอย่างเห็นได้ชัดที่เดินลงบันไดมาเจอกับเขาทั้งยังกอดกระเป๋าสะพายของตัวเองเอาไว้แน่นจนน่าสงสัย

“จะไปไหน” นัยน์ตาเรียบหรี่มองกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมที่อยู่ในมืออีกข้าง

“อ๋อ พอดีฉันถูกรางวัลนะเลยจะไปต่างจังหวัดสักอาทิตย์หนึ่ง” พิมพาตอบกลับ

“หรอ”

“อือ ไปนะ”

พิมพาบอกอย่างร้อนรนก่อนจะรีบยกกระเป๋าลงบันไดแล้วเอาไปเก็บไว้ในรถของตนเองที่จอดอยู่นอกบ้านแล้วขับออกไป โดยมีเปลวอรุณยืนมองตามหลังเงียบๆ อย่างจับผิด

บ่อนการพนันหรืองานชิงโชคถึงได้ถูกรางวัล...

เปลวอรุณคิดกับตัวเองก่อนจะเดินขึ้นบันไดบ้านไปที่ห้องของตัวเองตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก กุญแจห้องนอนถูกไขขึ้นก่อนที่มือเรียวจะบิดที่ด้ามจับก้านโยกของห้องเข้าไปมองสำรวจห้องนอนอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าข้าวของในห้องของเขายังอยู่ดีไร้การเคลื่อนย้ายใดๆ ก่อนจะกลับลงไปข้างล่างอีกครั้ง

ที่เขาต้องล็อกห้องทุกครั้งที่ออกจากบ้านนั้นไม่ใช่เพราะเขาต้องการความเป็นส่วนตัวแต่เพื่อป้องกันไม่ให้ของ ‘สำคัญ’ ของเขาหรือของมีค่าใดๆ ตกไปถึงมือของพิมพา

เพราะไม่งั้นต่อให้มีเงินกองสูงเท่าภูเขาแต่ถ้าอยู่ในมือผีพนันอย่างพิมพามีเท่าไรก็คงไม่พอ

________________________________________________________

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel