บทย่อ
เมื่อไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล เมื่อไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องเอาด้วยคาถา แต่คนอย่าง อัมรินทร์ ไม่ใช่พวกเล่นของคงไม่มีทั้งมนต์ทั้งคาถามาเสกให้ เปลวอรุณ รัก แต่ถ้าเป็นเรื่องเล่ห์เรื่องกลก็คงพอไหว!!
บัญชีหนี้
หลายครั้งที่เคยได้ยินประโยคที่ใครต่อใครใช้เปรียบเปรยชีวิตหนึ่งชีวิตของมนุษย์ที่เกิดมาบนโลกนี้ว่าเป็นเหมือนตัวละครในบทละครของหนังเรื่องหนึ่งที่ถูกเรียกว่า ละครชีวิต.........
นักแสดงหลายล้านชีวิตเริ่มต้นงานแสดงของตนตั้งแต่ครั้งแรกที่ลืมตาขึ้นมาในโรงละครขนาดใหญ่ที่เรียกว่า ‘โลก’ ตัวละครต่างๆ ดำเนินชีวิตไปตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับหลายฉากสวยงามดั่งความฝันยามลืมตา หลายฉากสุขสมยากที่จะลืม แต่บางบทมันกลับโหดร้ายจนเหมือนตายทั้งเป็น หลายครั้งที่บทชีวิตจะกำหนดให้เราโศกเศร้ากับเรื่องที่โถมเข้ามาใส่แล้วก็จะกลับมายิ้มอีกครั้งเมื่อเวลาหมุนผ่าน วนเวียนซ้ำกันไปอย่างนั้นจนกว่าผู้เล่นจะหมดแรงลง
เหมือนกับความรู้สึกของเขาในตอนนี้ที่ความเย็นของเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำไม่ช่วยให้ความร้อนรุ่มในอกบรรเทาลง จนทำให้ขอบชายเสื้อสูทเนื้อดีที่เขาอุตส่าห์เก็บเงินมาร่วมแรมปีกว่าจะได้มันมาไว้ครอบครองต้องการมาเป็นที่ซับความชื้นจากฝ่ามือทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยเหงื่อจากแรงกดดันที่กำลังเผชิญอยู่
ไม่มีใครหรือสัญญาณอะไรที่บอกให้เขารู้สึกตัวก่อนล่วงหน้าถึงภัยร้ายที่ซ้อนอยู่ภายใต้ความโชคดีที่เขากำลังประสบ หลายครั้งที่เขาเฝ้าถามว่าเมื่อไหร่บทชีวิตของเขาจะเจอกับฉากที่สงบสุขสักที
“ยืนนิ่งทำไมละ ฉันบอกให้มานี่ไง” น้ำเสียงทุ้มที่แฝงความหฤหรรษ์เรียกสติที่กระจายหายของคนตัวขาวที่หน้าเครียดอยู่ให้หันกลับมาสนใจเจ้าของเสียงที่กำลังฉีกยิ้มอยู่ไม่ไกล
“มานี่” อัมรินทร์ ย้ำอีกครั้ง
เหยื่อของเขากำลังกลัว...
ความรื่นรมย์อย่างหนึ่งของการเป็นผู้ล่านั่นก็คือการได้เห็นเหยื่อที่ตนหมายตามองกำลังจนมุม โดยเฉพาะเมื่อเหยื่อของเขาคือ เปลวอรุณ เลขาหน้าเดียวของเขาที่แทบจะเรียกได้ว่าไม่เคยเปลี่ยนสีหน้าหรือแสดงท่าทางอะไรออกมาให้เขาได้เห็น
แต่ไม่ใช่กับนาทีนี้ ...
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนหลังกรอบแว่นจ้องมองคนพูดด้วยอารมณ์ที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เปลวอรุณหลับตาข่มใจตัวเองให้นิ่งลงก่อนจะลืมขึ้นใหม่อีกครั้งแล้วยอมที่จะก้าวขาเดินตรงไปข้างหน้าตามที่อัมรินทร์สั่งออกมาอย่างจำนน
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ เปลวเป็นคนเลือกเองนะ”
“แต่ผมไม่ได้เลือกที่จะทำแบบนี้” เปลวอรุณเถียงสุดใจ ใช่ เขาไม่เคยคิดจะเลือกให้มันเป็นแบบนี้เลยสักนิด ไม่เลย
“อ่า นั่นสินะ นายไม่ได้เป็นคนเลือกเพราะคนที่เลือกมันคือ ฉัน” รอยยิ้มร้ายที่ปรากฏขึ้นเสริมให้ใบหน้าหล่อคมคายของรองประธานหนุ่มวัยยี่สิบแปดดูมีเสน่ห์ชวนมองมากขึ้น แต่ต้องไม่ใช่กับเปลวอรุณในตอนนี้แน่ที่คิดจะมองมันด้วยความรู้สึกเคลิ้มฝันแบบนั้นเพราะไม่ว่าจะมองยังไงรอยยิ้มนั้นก็ไม่ต่างกับปีศาจร้ายเจ้าเล่ห์ที่ล่อหลอกผู้คนให้ตายใจด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจกับท่าทีแสนดีเช่นนักบุญ
“ไหนดูสิ มีอะไรที่ฉันจะเรียกเก็บจากนายได้บ้าง”
อัมรินทร์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก้าวเดินเข้ามาหาคนที่จงใจเว้นระยะห่างหยุดยืนอยู่ก่อนถึงตัวเขาถึงหนึ่งช่วงแขน เปลวอรุณไม่ได้ตัวเล็กหากแต่ความสูงที่ 175cm.ของเจ้าตัวมันห่างกับความสูงของเขาอยู่เกือบสิบเซนติเมตรก็เท่านั้น แถมรูปร่างที่ไม่ใช่คนออกกำลังกายของอีกคนด้วยแล้วเวลายืนคู่กันเปลวอรุณเลยดูจ่อยร่อยไปเลยในสายตาของเขา
ชายหนุ่มจงใจที่จะยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้เน้นย้ำให้ลมหายใจอุ่นร้อนของตนเป่ารดลงข้างแก้มยามที่ตนโน้มตัวลงมาพิจารณาเรือนกายของที่ตัวเล็กกว่าโดยเฉพาะกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวที่โชยกลิ่นออกมาจากผิวกายยิ่งกระตุ้นอารมณ์ดิบของเขาให้อยากฝากฝังความเป็นเจ้าของเอาไว้ที่ผิวกายสะอาด
เขาต้องอดทน...
และเพื่อเก็บกักความต้องการที่มีอยู่มากจนแทบจะถลันออกมาเมื่อเจอสิ่งยั่วยุอัมรินทร์จึงเลือกที่จะกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้งแล้วสะกดใจตัวเองให้อดทน
“เปลวคิดว่าจะเอาหาเงินหนึ่งร้อยล้านมาคืนฉันทันภายในสองเดือนไหม” โดยเขาเลิกที่จะตั้งคำถามขึ้นมาแทนในการเบี่ยงความสนใจของตัวเอง
“ผมขอเวลาเพิ่มได้ไหม”
“ไม่”
“แต่เวลาแค่นั้นผมก็บอกแล้วว่ายังไงก็หาไม่ทัน” เปลวอรุณโผงขึ้นอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด มันไม่มีทางทันอยู่แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นฉันคงจะต้องเอาบ้านนายไปขายแล้วเอาเงินนี้มาใช้หนี้” อัมรินทร์เปรยถึงวิธีเรียกชำระหนี้ตามกฎหมาย ที่แน่นอนว่าคนอย่างเปลวอรุณไม่มีทางยอมแน่
“ไม่ได้นะ คุณจะขายบ้านของผมไม่ได้”
“ทำไมละ ในเมื่อนายเอาบ้านมาเป็นหลักประกันให้ฉัน ฉันก็มีสิทธิที่จะเอามันมาทำประโยชน์อะไรก็ได้ในเมื่อนายไม่มีเงินมาคืนฉัน”
“แต่ผมไม่ให้ขาย” แน่ละ..นั้นมันบ้านของเขานะ ใครมันจะยอมกันง่ายๆ
“แล้วจะเอาไง คนทำธุรกิจเงินมันต้องหมุนอยู่ตลอดเวลานะเปลวก็รู้” อัมรินทร์ทำเสียงคล้ายคนจนปัญญาแก้
การทำงานในแวดวงธุรกิจมานานหลายปีทำไมคนอย่างเปลวอรุณจะไม่รู้กันละว่าสำหรับนักธุรกิจโดยเฉพาะผู้ผลิตแล้วการเงินถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องนำมาใช้เพื่อหมุนเวียนค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำเนินการผลิต
เขารู้ดี
เพียงแต่เขาไม่มีปัญญาที่จะหาเงินจำนวนหนึ่งร้อยล้านที่ว่ามาคืนเพื่อหมุนเป็นค่าใช้จ่ายภายในบริษัทภายในเวลาที่อัมรินทร์กำหนดมาได้
อัมรินทร์ทอดสายตามองเลขาตัวขาววัยสามสิบห้าปีตรงหน้าด้วยรอยยิ้มจางๆ ที่ยากจะคาดเดาความนึกคิด เขามองท่าทีเหมือนคนเคร่งเครียดของเปลวอรุณก่อนจะพูดบางสิ่งออกมาให้ใจคนฟังกระตุกเล่น
“ถอดกางเกงออกสิ”
!
ม่านตาของเปลวอรุณเบิกกว้างพอๆ กับร่างกายขาวของเจ้าตัวที่นิ่งค้างไปเมื่อเจอเข้ากับคำพูดที่ดูสองแง่สองง่าม แต่เมื่อดูจากรูปการณ์และความต้องการของคนพูดแล้วทำไมคนแก่กว่าจะไม่รู้ถึงความหมายที่แฝงออกมาด้วยกันเล่าว่ามันส่อเจตนาไปทางแง่มุมไหน
“ว่าไง จะถอดเองหรือจะให้ฉันถอดให้ละ” อัมรินทร์ถามย้ำอีกครั้งอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า
“แต่ฉันอยากจะเป็นถอนมันออกมาเองมากกว่า นายว่าดีไหม”
“ไม่ ไม่ต้อง ผม ผมถอดเอง” เปลวอรุณรีบส่งเสียงห้ามเมื่ออัมรินทร์มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาจากเก้าอี้อีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นก็ถอดสิ ฉันรออยู่”
อัมรินทร์ผายมือออกเชื้อเชิญให้อีกคนทำตามที่ออกปากมา มือขาวกำชายเสื้อสูทแน่นอย่างนึกอดสูในชะตาชีวิตของตนเองในตอนนี้ นึกสมเพชตัวเองที่หลงผิดคิดเชื่อใจคนตรงหน้าว่ามีจิตเมตตากรุณาลูกนกตกยากอย่างเขา แต่ไม่ใช่ คนคนนี้ทำอะไรหวังผมเสมอและสิ่งที่อัมรินทร์หวังจากตัวเขาก็คือ ร่างกาย
“เร็วๆ สิเปลว” อัมรินทร์เร่งเร้า เมื่อไม่เห็นว่าเปลวอรุณจะขยับเขยื้อนกายจากเดิมเลยสักนิด
เปลวอรุณขบริมฝีปากตัวเองเน้นจนขึ้นสีช้ำ มือสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ยามที่ต้องปลดเข็มขัดที่คาดอยู่ออกแล้วทิ้งมันลงพื้นก่อนจะตามด้วยกางเกงสแล็คสีดำกับถุงเท้าที่สวมอยู่ด้วยความรู้สึกสังเวชตัวเองในใจที่ต้องมาประสบกับสิ่งที่เป็นอยู่โดยไม่คิดที่หันมองหน้าของคนสั่งแม้หูของเขาจะได้ยินเสียงลอบกลืนน้ำลายจากอีกคนก็ตาม
“มานั่งนี้”
อัมรินทร์ปรับสีหน้าของตัวเองให้เป็นปกติดีก่อนจะตบฝ่ามือลงที่หน้าขาของตนเองเป็นเชิงเรียกให้คนที่พยายามดึงเสื้อเชิ้ตสีอ่อนลงมาปิดบังส่วนสงวนตรงกลางตัวที่อยู่ภายใต้กางเกงชั้นในยี่ห้อดังที่ยังไม่ถูกถอดออก
“ตรงนี้”
เขาย้ำอีกครั้งเมื่อเปลวอรุณมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาแต่ไม่ยอมที่จะทำตามที่เขาสั่ง เปลวอรุณทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก่อนจะยอมขึ้นไปนั่งคร่อมที่ตักของอีกคนตามความต้องการ
เปลวอรุณเป็นคนขาวยิ่งผิวใต้ร่มผ้าที่ไม่เคยโดนแดดแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งสว่างยามต้องแสง ผิวพรรณหรือก็นุ่มมือจนอดไม่ได้ที่จะเผลอบีบจับเนื้อนุ่นที่ต้นขาอ่อน
“ฮึก”
อัมรินทร์เหลือบตามองคนที่นั่งอยู่บนตักยกมือขึ้นปิดปากแล้วหันหน้าหนีไปอีกทางเมื่อเผลอส่งเสียงบางอย่างออกมา ชายหนุ่มยกแขนข้างหนึ่งขึ้นสูงกดให้อีกคนซบลงที่ไหล่เพื่อที่ว่าเขาจะได้สูดดมความหอมจากลำคอนั้นได้ถนัด ส่วนมืออีกข้างก็ยังคงสนุกอยู่กับการลูบไล้ไปตามต้นขาสวยลากยาวขึ้นสูงไปถึงช่วงเอวบาง เมินเฉยต่ออาการสั่นของลูกนกตัวน้อยที่นั่งนิ่งให้เขาลูบจับ
“คุณอัมรินทร์ หยุดเถอะ” เปลวอรุณร้องขอเสียงสั่น ให้เจ้านายหนุ่มของตนหยุดการกระทำอันน่าอับอายนี้ต่อตนสักที
“แล้วถ้าฉันตอบว่า ไม่ ละ” อัมรินทร์กระซิบที่ข้างหู
“ผมขอร้อง ผม..”
คำร้องขอที่ผู้ฟังไม่แม้จะสนใจถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่ออัมรินทร์เชยปลายคางของอีกคนขึ้นมองใบหน้าสวยที่แดงก่ำเต็มไปด้วยความอายและน้ำตาที่คลอหน่วงอยู่ที่ขอบตา กดจูบไปยังริมฝีปากบางสีอ่อนเรียกความตกใจให้กับเปลวอรุณเป็นอย่างมากจนเริ่มที่จะดิ้นขัดขืนแต่มีหรือที่อัมรินทร์จะยอมเขาใช้แขนข้างหนึ่งกดรั้งที่หลังคอของอีกคนเอาไว้ไม่ให้ขยับหนีส่วนอีกข้างก็รวบเอวบางเอาไว้แน่นไม่ให้หลุด
จังหวะที่พยายามหนีออกจากท่อนแขนแข็งแรงเปลวอรุณเผลออ้าปากออกมาเล็กน้อยจนกลายเป็นช่องทางให้คนที่รออยู่อาศัยโอกาสนี้สอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของอีกคน
ความแปลกใหม่ที่ได้รับทำให้เปลวอรุณรีบถกตัวหนีตามสัญชาตญาณเอาตัวรอดเช่นเดียวกับลิ้นเล็กที่พยายามถอยหนีจากผู้บุกรุกที่พยายามพุ่งเข้ามาเกี่ยวรัดแต่ก็ไม่ได้ผล แม้จะอายุมากกว่าอีกคนอยู่กว่าเจ็ดปีแต่ความชำนาญนั้นต่างกันในเมื่อเปลวอรุณที่แทบไม่เคยผ่านมือใครแม้แต่ความรักยังไม่เคยมีหรือจะรู้ซึ้งในรสรักได้ดีเท่าอัมรินทร์ที่เคยเปลี่ยนคนข้างกายเป็นว่าเล่นเหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า
ปลายลิ้นหนาลากไล้ไปตามขอบข้างของลิ้นเล็กกวาดไล่ไปทั่วทั้งช่องปากเกิดเป็นความเสียวซ่านให้คนอ่อนเดียงสาในเรื่องเช่นว่าได้รู้สึกสะท้านไปทั่วกาย ความมึนเบลอจากการที่เส้นประสาทหลายเส้นถูกปิดกันทำให้สมองของเปลวอรุณเริ่มขาวโพลนและหลุดลอยจนไร้การขัดขืนเหมือนตอนแรกซ้ำยังกำปกเสื้อของอีกคนเอาไว้แน่นเป็นที่ยึดเมื่อรู้สึกเหมือนตัวเองจะละลายไปกับรสจูบที่ได้รับ
อัมรินทร์ดูดดึงริมฝีปากบางของเปลวอรุณจนบวมช้ำอาศัยจังหวะที่คนแก่กว่ามึนเบลอกับรสรักที่มอบให้เลื่อนมือข้างที่โอบกระชับรอบเอวต่ำลงเรื่อยๆ ลูบไปมาตามความโค้งมนของบั้นท้ายกลมได้รูปผ่านชั้นในสีเข้มแบบมีขา ก่อนจะแทรกปลายนิ้วหนาเข้ามาด้านในลากผ่านตามร่องกลางของเนื้อนิ่มเต็มกำมือ
เปลวอรุณเกร็งกายแน่นเบี่ยงใบหน้าหนีสัมผัสดูดดื่มที่คนตัวใหญ่กว่าสร้างขึ้นเมื่อนิ้วมือของอัมรินทร์กดย้ำอย่างจงใจตรงปากทางของช่องทางเล็กที่ด้านหลัง และมันยิ่งสั่นระริกมากขึ้นเมื่อคนเจ้าเล่ห์เริ่มกดแทรกปลายนิ้วเข้ามาด้านในจนเขารู้สึกเจ็บความหวาดกลัวเกาะกุมทั่วทั้งใจดวงน้อยให้เต้นระรัวไร้จังหวะเช่นเดียวกับเสียงหอบหายใจหนักๆ ยามที่อ้าปากร้องขอความเมตตา
“ฮึก..พอเถอะ..ขอร้อง..คุณอัมรินทร์..ผมขอร้อง”
เมื่อคนรับฟังไม่คิดจะสนใจคำอ้อนวอนนั้นก็เป็นเพียงแค่เสียงลอยลมที่ลอยผ่านข้างหู
หน้าด่านแรกของบทละครฉากใหม่ของเขาเริ่มขึ้น
ฉากที่เขาไม่อยากเล่น...
ถ้าในวันนั้นเขาไม่หลงกลเล่ห์เหลี่ยมเอาแต่ได้ของอัมรินทร์
บทบาทในวันนี้จะไม่มีทางมีผู้เล่นที่ชื่อ
เปลวอรุณ