บท
ตั้งค่า

เป็นหนี้ ครั้งที่ 1

“นี่คือน้าพิมพา ต่อจากนี้ไปเขาจะมาอยู่กับเราที่บ้านหลังนี้”

เสียงพูดของชายวัยกลางคนที่เขาคุ้นเคยเอ่ยขึ้นมาจากส่วนลึกของความทรงจำ แม้จะไม่ได้พบพานกันมานานหรือแม้แต่ภาพใบหน้าในความทรงจำจะพร่าเลือนจนเหมือนมีหมอกบางๆ กั้นไม่ให้เห็นใบหน้านั้นได้แต่น้ำเสียงแบบนี้เขาไม่เคยลืมมันไปได้จากความทรงทำที่หลงเหลืออยู่

เสียงของพ่อในวันที่พาใครคนหนึ่งมาแนะนำให้รู้จัก

“พิม นี่ลูกชายฉันเองชื่อเปลวอรุณ”

รอยยิ้มสวยจากริมฝีปากที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสดยิ้มรับคำที่ผู้ชายข้างกายแนะนำ ถึงตอนนั้นเขาจะยังเด็กอยู่มากแต่ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ความจนมองไม่ออกว่ารอยยิ้มนั้นมันไม่ได้สวยหวานเหมือนที่พ่อเขาเห็น

เขาไม่ชอบผู้หญิงคนนี้...

“ต่อจากนี้น้าพิมจะมาอยู่ดูแลพ่อ และก็จะมาเป็น แม่ ของเปลวด้วยเข้าใจไหม”

ชายวัยกลางคนพูดอย่างมีความสุขพร้อมโอบร่างอรชรของภรรยาคนใหม่อย่างรักใคร่ แต่นั่นไม่ใช่กับเปลวอรุณในวัยสิบขวบที่มองมายังทั้งคู่ด้วยสายตาว่างเปล่า

เดิมทีพ่อของเขาเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ ที่ไม่ใหญ่โตอะไรมาแต่ก็มีเงินเหลือใช้ไม่ขัดสนอะไรส่วนแม่ของเขาก็เป็นเพียงแม่บ้านธรรมดาที่คอยดูแลลูกและสามี ในสายตาของเด็กอย่างเขาเขารู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นเด็กที่โชคดีที่สุดคนหนึ่งที่มีแม่ที่ทั้งสวยทั้งใจดีคอยให้ความรักมีเคยขาดทั้งยังมีพ่อที่ขยันทำงานคอยดูแลเขากับแม่

เขาเคยคิดอย่างนั้นจนกระทั่งความจริงบางอย่างเผยออกมาเมื่อเบื้องหลังความขยันขันแข็งของผู้เป็นพ่อกลับซ้อนสิ่งเลวร้ายที่สุดในชีวิต

พ่อของเขามีเมียน้อย

ผู้หญิงจัดจ้านที่แย่งเอาความรักที่พ่อเคยมีให้กับแม่ไป ผู้หญิงที่เป็นเหมือนมารร้ายในเรื่องเล่าที่แม่เคยเล่าให้เขาฟังก่อนนอนที่พรากเอารอยยิ้มของแม่ไปให้เหลือเพียงแต่คราบน้ำตาในมุมมืดที่ต่อให้พยายามซ้อนมันเท่าไรก็ไม่อาจซ้อนเอาไว้ได้และในที่สุดมันก็พรากเอาแม่ไปจากเขาตลอดกาล

ห้าปีเต็มกับความทรมานของแม่กับความทุกข์ในใจที่ต้องเห็นว่าคนที่รักมีคนอื่นขนาดในวันสุดท้ายของชีวิตคนที่แม่เฝ้าเพียรรอก็ไม่มาหา เขาที่เฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างเงียบๆ เก็บสั่งสมทุกความเจ็บปวดและความเศร้าของแม่มองดูวาระสุดท้ายที่อ้างว้างไร้คนรักเก็บง่ำทุกความโกรธเมื่อต้องมองพ่อตัวเองพาตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดอย่างผู้หญิงที่ชื่อพิมพาเข้ามาในบ้านของแม่

พาเข้ามาในบ้านที่แม่รัก

เขาเกลียดพ่อ เกลียดพิมพา และเกลียดความรัก...

เปลือกตาสีอ่อนปรือเปิดขึ้นเล็กน้อยก่อนกะพริบถี่เพื่อปรับการรับรู้ของภาพ ผ้าม่านสีน้ำเงินเข้มอย่างที่เขาชอบถูกเลื่อนออกจนชิดขอบเพื่อให้แสงจากข้างนอกสาดส่องเข้ามาได้ ดวงตาสีอ่อนเหม่อออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะปิดลงอีกครั้งเมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวในความฝันได้แน่ชัดมากคิด

ฝัน..หรอ..

ความอ่อนล้ายามที่ต้องมาฝันเห็นเหตุการณ์เดิมๆ ที่แม้จะผ่านมายี่สิบกว่าปีคล้ายกับว่ากำลังตอกย้ำให้รู้ว่าชีวิตของเขามันไม่เคยพบกับความสุขได้ยืดยาว

เปลวอรุณลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพร้อมพลิกกายนอนหงาย ดวงตากลมจ้องมองเพดานสีขาวด้านบนที่พร่าเบลออย่างเหม่อลอยด้วยไม่คิดที่จะขยับตัว

ห้องนอนของเขาไม่เคยมีผ้าม่านสีเข้มและเพดานห้องของเขาไม่อยู่สูงขนาดนี้

ที่นี้ไม่ใช่ห้องของเขา

ลำดับเหตุการณ์เมื่อวานฉายขึ้นมาอีกครั้งเป็นลำดับฉาก เขาไม่อยากลุกแต่อยากที่จะหลับตาลงอีกครั้งเผื่อว่าสิ่งที่เขาได้เห็นเมื่อครู่จะเป็นอีกหนึ่งความฝันที่ซ้อนทับอยู่อีกชั้น ก็อยากหวังให้มันเป็นเช่นนั้นแต่แรงยวบของพื้นผิวบนเตียงนอนด้านข้างกับความหนักของท่อนแขนที่พาดทับช่วงท้องของเขานี้ต่างหากที่ช่วยยืนยันความจริงให้เขาได้ยอมรับว่าตัวเขาในตอนนี้ไม่ได้ติดอยู่ในวังวนความฝันอย่างที่ต้องการ

“คิดอะไรอยู่หรอ”

คำถามง่ายๆ ที่ดูเหมือนคำถามที่คนรักกันใช้ถามไถ่กันในช่วงเช้าดังออกมาจากปากของอัมรินทร์พร้อมกับท่อนแขนหนาที่รั้งเอาร่างใต้ผ้าห่มของเปลวอรุณเข้ามากอดเอาไว้ด้วยใจที่อยากจะแนบชิดแต่เปลวอรุณกลับเลือกที่จะพลิกตัวหนีเตรียมจะลุกขึ้นจากที่นอน

“จะรีบไปไหนละเปลว วันนี้วันหยุดนอนต่อกันเถอะ” อัมรินทร์ถามอีกครั้งพร้อมรั้งตัวเปลวอรุณให้เขามาใกล้กว่าเดิม

“ผมจะไปอาบน้ำ” เปลวอรุณตอบอย่างนึกรำคาญ

“ฉันอาบด้วย”

“ไม่ต้อง” เปลวอรุณตวัดสายตาดุ

อัมรินทร์ยิ้มขำ ชายหนุ่มเลื่อนตัวไปซ้อนหลังโดนที่ท่อนแขนยังไม่ละออกจากช่วงเอวบางทั้งยังซบหน้าลงกับแผ่นหลังเล็กของเจ้าตัวอย่างอารมณ์ดีพร้อมสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำยาปรับผ้านุ่มที่เขาไม่เคยสนใจเลยแม้แต่น้อยว่ามันจะมีกลิ่นหอมอย่างไรจนกระทั่งมันมาอยู่บนเสื้อผ้าของเขาที่นำมาให้เปลวอรุณสวมใส่ในตอนนี้

“คุณอัมรินทร์ปล่อย” เปลวอรุณพยายามดิ้นให้หลุด

“ไม่”

แต่ยิ่งเปลวอรุณพยายามดิ้นหนีอัมรินทร์ก็ยิ่งทวีแรงกอดรัดให้มากขึ้นกว่าเดิมจนเปลวอรุณเริ่มที่จะตระหนักรู้ได้เองแล้วว่าต่อให้ตนพยายามมากไปเท่าไรก็มีแต่คำว่า ‘เหนื่อยเปล่า’ และมันก็ยิ่งทำให้ร่างกายของเขาจมลงกับแผ่นอกของอีกคนมากขึ้นเรื่อยๆ

“อ้าวหยุดดิ้นแล้วหรอ” อัมรินทร์เลิกคิ้วถามเมื่อเห็นอีกคนนิ่งไป

เปลวอรุณทำเสียงฮึกฮักในลำคอก่อนจะร้องเสียงหลงออกมา “เฮ้ย! ”

เสื้อนอนตัวหลวมใหญ่ที่ได้รับอภินันทนาการมาจากเจ้าของห้องถูกปลายจมูกโด่งรั้นของอัมรินทร์ไล่เปิดทางจนหัวไหล่มนของเขาเผยออกมาด้านนอกพร้อมริมฝีปากของอีกคนที่กดจูบลงที่ลานไหล่

“จะทำอะไรของคุณ” คนตัวขาวเบี่ยงตัวหนี ใบหน้าขาวแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอาย

“ทำไมละ ทีเมื่อคืนเรายัง...”

“ยังอะไร อย่ามาพูดจาพร้อยๆ นะคุณอัมรินทร์” เปลวอรุณขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจขณะดึงคอเสื้อขึ้นมาปิดจนถึงลำคอก่อนจะส่งสายตาคาดโทษให้อัมรินทร์

อัมรินทร์ทำสีหน้าไม่พอใจ ถึงจะไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไรก็เถอะแต่นอกจากกอดจูบลูบคลำแล้วเขาไม่ได้อะไรอย่างอื่นที่เกินเลยกับเปลวอรุณเลยสักอย่างทั้งๆ ที่รอเวลาแบบนี้มาตั้งสามปีกลับต้องมาพ่ายแพ้ให้กับสำนึกดีในตัว

“ชิ”

เขาทำเสียงที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจของตัวเองให้อีกคนรับรู้ก่อนจะล้มตัวลงแล้วตะแคงกายหันหน้าไปอีกทาง

เปลวอรุณถอนหายใจพลางส่ายหน้าให้กับท่าทีคล้ายเด็กโดนขัดใจของชายหนุ่มที่อีกเพียงแค่สองปีก็จะอายุเข้าเลขสามอย่างอัมรินทร์เล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำ

กลอนประตูห้องน้ำถูกปิดล็อกป้องกันไม่ให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาก่อนสองเท้าจะก้าวพาร่างของเขามายังตรงหน้าอ่างล้างหน้า บานกระจกบานใหญ่ตรงหน้าสะท้อนตัวของเขาแม้สายตาจะมองเห็นไม่ชัดแต่รอยแดงๆ ตั้งแต่ช่วงคอกลับเด่นชัดยิ่งปลดกระดุมออกรอยที่ว่าก็ยิ่งปรากฏออกมาจนใบหน้าของเขาขึ้นสีชัดเมื่อภาพวาบหวิวของตนกับอัมรินทร์เมื่อคืนฉายขึ้นในโสตประสาทอีกครั้ง

“บ้าชะมัด”

เปลวอรุณขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตัวเองอย่างอดกลั้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ละก็เปลวอรุณอยากจะย้อนเวลากลับไปเมื่อสองเดือนก่อน อ๋อ ไม่สิ.. เอาก่อนหน้านั้นสักยี่สิบปีเลยแล้วกันเพราะถ้าเรื่องเมื่อยี่สิบปีไม่เกิดขึ้นละก็ชีวิตของเขาก็คงจะมีแต่ความสงบไม่วุ่นวายเหมือนที่ผ่านมา และแน่นอนว่าเรื่องเมื่อสองเดือนก่อนก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นด้วยเหมือนกัน...

2 เดือนก่อน

“ฉันบอกให้เอาเงินมาแกก็เอามาสิ”

น้ำเสียงแหลมเล็กติดจะเหวี่ยงยามที่ไม่ได้ดั่งใจดังขึ้นด้วยคำพูดเดิมๆ ที่ไม่ว่าได้ยินมันสักกี่ครั้งก็ทำให้คนที่ฟังมันมาร่วมสิบปีนึกสมเพชในตัวคนพูดที่แม้จะแก่จนวัยใกล้เข้าโลงเต็มทีแต่ก็ยังคงแบมือของเงินจากคนอายุคราวลูกอย่างเขาอยู่ได้อย่างไร้อย่างอาย

“แต่เงินสำหรับเดือนนี้ผมก็ให้คุณไปแล้วไง” เปลวอรุณตอบกลับอย่างละอาเมื่อวันหยุดอันแสนสุขของเขาต้องมีเจอกับมลพิษทางเสียงตั้งแต่เช้าแบบนี้

“ก็ฉันใช้มันไปหมดแล้ว”

“แต่ผมเพิ่งให้ไป” เขาย่ำโดยไม่ละความสนใจไปจากต้นไม้ตรงหน้าที่เขากำลังรดน้ำอยู่

“หมดก็คือหมด แกมีหน้าที่แค่เอาเงินมาให้ฉันจะพูดมากทำไม”

พิมพากอดอกแน่นอย่างเอาแต่ใจ นึกต่อว่าต่อขานลูกเลี้ยงอยู่ในใจที่ทำตัวบ่ายเบี่ยงไม่ยอมที่จะให้ในสิ่งที่ตนต้องการ

คิดว่าเงินแค่สามหมื่นมันจะไปพออะไรใช้ไม่ถึงอาทิตย์ก็หมดแล้ว...

เปลวอรุณกลอกตากับเหตุผลประจำที่เจ้าหล่อนยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างขอเงินเพิ่มจากเงินประจำที่ขูดเลือดขูดเนื้อจากปูแรงงานอย่างเขาอยู่ทุกเดือน

ให้ตายเถอะ เงินเดือนที่เขาอุตส่าห์ทำงานเอาเป็นเอาตายอย่างหนักมาทั้งเดือนเกินครึ่งต้องแบ่งให้อีผีนี่ใช้จ่ายมือเติบจนเขาแทบจะไม่เหลือเงินเก็บอยู่แล้วยังจะมีหน้ามาของเพิ่มอีก มือเรียวเอื้อมไปปิดก๊อกน้ำที่ใช้รดต้นไม้อยู่ก่อนจะหันกลับขึ้นมาเผชิญหน้ากับพิมพาตรงๆ เป็นครั้งแรก

“จนกว่าจะถึงเดือนหน้าผมจะไม่ให้เงินคุณอีก เพราะผมถือว่าเดือนนี้ผมให้แล้ว”

เขายื่นคำขาดพร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้คุณป้าข้างบ้านที่โผล่หน้าออกมาดูเหตุการณ์เล็กน้อยก่อนจะเดินผ่านหญิงวัยกลางคนปลายๆ เข้าบ้านไปอย่างไม่ค่อยจะอยากสนทนาด้วยเสียเท่าไร

แต่มีหรือที่คนอย่าพิมพาจะยอม

ร่างของหญิงวัยห้าสิบตอนกลางไม่รอช้ารีบหมุนกายตามผู้ที่มีศักดิ์เป็นลูกเลี้ยงของตนที่เดินหนีเข้ามาในบ้าน หล่อนคว้าท่อนแขนเล็กที่ขนาดไม่ได้แตกต่างจากผู้หญิงของเปลวอรุณเอาไว้แทบจะทันทีที่เข้าถึงตัวอีกคน

“แต่ฉันเป็นแม่แก ฉันสั่งอะไรแกก็ต้องทำ” หล่อนตะคอกเสียงกร้าว

“ก็แค่ แม่เลี้ยง พูดให้หมดด้วย”

เปลวอรุณสะบัดเสียงสะบัดมือของอีกคนออกอย่างไม่ไยดีแล้วเดินกระแทกเท้าหนีความวุ่นวายนั้นขึ้นไปบนห้องของตัวเองทันที ไม่สนด้วยว่าคนที่เดินตามรังควานทวงหนี้บุญคุณเขามาจะโดนบานประตูห้องของเขากระแทกหน้าหรือไม่

เขาไม่สน...

ใบหน้าที่เคยนิ่งเรียบไม่ค่อยแสงอารมณ์ออกมามากนักในตอนนี้กำลังฉายชัดถึงความไม่พอใจที่เต็มไปด้วยความโกรธ เพราะตั้งแต่เกินมาจนถึงตอนนี้คนอย่างเปลวอรุณไม่เคยที่จะรู้สึกโกรธใครได้อย่างเป็นจริงเป็นจังได้เท่ากับความรู้สึกโกรธเกลียดที่ทีให้กับผู้หญิงที่ชื่อพิมพา

ตั้งแต่วันแรกที่เห็นหน้า ตั้งแต่วันแรกที่รู้จัก เขาเกลียดผู้หญิงคนนี้ และยิ่งเกลียดเมื่อพ่อพามันเข้ามาเย้ยแม่เขาถึงในบ้านยังไม่พอมันยังชูคอทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของบ้านกดขี่แม่เขาอย่างกับเป็นขี้ข้าทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นผู้อยู่อาศัย พ่อเขาก็เหมือนกันหลงแต่นางลายดอกนี่จนหน้ามืดตามัวบอกอะไรก็ไม่เชื่อ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างว่าทุกคืนแม่ต้องนอนร้องไห้ขนาดไหน ไม่รู้เลยว่าไอ้เมียน้อยตัวดีของตัวเองมันรีดไถ่เมียในทะเบียนของตนเหมือนกุ๊ยข้างถนนขนาดไหนเพื่อเอาเงินไปเล่นพนันกับซื้อของประโคมตัวเอง เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าแม่ทนอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไงกัน

“แม่ทนผู้หญิงคนนี้ได้ไงยังไง เปลวไม่เข้าใจ”

ดวงตาสีสวยจ้องมองกรอบรูปสีอ่อนที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานที่มุมห้องอย่างไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงยังยิ้มอยู่ได้อีกทั้งๆ ที่พ่อพาผู้หญิงคนอื่นเข้ามาในบ้าน ทำไมถึงยังอยู่ได้อีกในเมื่อข้างในเจ็บเจียนตายขนาดนั้น

“เพราะรักไงเปลว”

“..”

“เพราะพ่อคือคนที่แม่รัก ไม่ว่าอะไรที่ทำให้คนที่แม่รักมีความสุขแม่ทนได้ทั้งนั้นแหละ”

พอคิดถึงคำที่แม่พูดมันก็อดไม่ได้จริงๆ ที่เขาจะทำเสียงขึ้นจมูก แน่ละ ถ้าต้องยิ้มทั้งๆ ที่ในใจร้องไห้จะเป็นจะตายมันจะยังเรียกว่าความสุขได้ยังไง

เปลวอรุณส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย มือบางยกขึ้นลูบหน้าตัวเองแรงๆ ไปทีหนึ่งก่อนจะคว้าเอาของที่จำเป็นยัดใส่กระเป๋าสะพายอันเล็กๆ ที่เขามักชอบสะพายไปไหนมาไหนเวลาออกจากบ้าน

ไหนๆ ก็ไหนๆแล้วออกไปหาอะไรทำข้างนอกดีกว่า...

เขาชื่อ เปลวอรุณ ปีนี้ก็อายุครบสามสิบห้าปีพอดี เขาทำงานเป็นเลขาของรองประธานบริษัทส่งออกอัญมณีรายใหญ่ของประเทศไทยที่ส่งออกทั้งเครื่องประดับที่เจียระไนแล้วและยังไม่เจียรระไน ตอนแรกเขาทำงานเป็นผู้ช่วยเลขาของประธานบริษัทแต่เมื่อสามปีก่อนเขาถูกย้ายให้มาเป็นเลขาของลูกชายคนเดียวของท่านประธานที่เพิ่งเข้ามาทำงานที่บริษัท หน้าที่หลักๆ ของเขานอกจากช่วยสอนงานต่างๆ ให้แล้ว ยังต้องช่วยดูแลเรื่องอื่นๆ ของเจ้าตัวอีกด้วย ซึ่งนั้นก็ไม่ใช้ปัญหาอะไรขอแค่งานที่เขาทำมันจะช่วยให้เขาได้เงินเพิ่มมากขึ้นไม่ว่าอะไรเขาก็ไม่เกี่ยงหรอก...

“ทำไมทำหน้าเครียดอย่างนั้นละ”

เสียงทุ้มต่ำในลำคอที่กระซิบอยู่ข้างหูเรียกสติการรับรู้ของเขาให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน พร้อมกับกับใบหน้าคมคายของเจ้านายหนุ่มรุ่นน้องที่ใบหน้าอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่เซนยามที่เขาหันไปตามเสียงเรียกจนเผลออุทานเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาอย่างตกใจ

“คุณอัมรินทร์”

เจ้าของชื่อยิ้มกว้างจนตาหยีให้อีกคนโดยไม่ยอมละใบหน้าออกจากตำแหน่งเดิมแถมดูเหมือนจะพยายามเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าสวยชวนมองนั้นเรื่อยๆ และเป็นเปลวอรุณทนต่อสภาพความใกล้ชินเกินความจำเป็นนี้ของตัวเองกับอัมรินทร์ไม่ไหวจึงเป็นฝ่ายที่ผละออกจากตำแหน่งที่นั่งอยู่โดยการเลื่อนเก้าอี้ออกไปด้านหลังเพิ่มแล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง

อัมรินทร์ มองการตีตัวออกห่างของเปลวอรุณอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เสียเท่าไรแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะแสดงความไม่พอใจออกทางสีหน้าให้อีกคนได้เห็นเก็บมันซ้อนเอาไว้ใต้รอยยิ้มก่อนจะยืดหลังให้ตั้งตรง

หากมองภายนอกแล้วอัมรินทร์ถือว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาจัดได้ว่าหล่อเหลาน่าดูชมอีกทั้งรูปร่างที่สูงใหญ่อย่างคนชอบออกกำลังกายไหนจะพ่วงตำแหน่งทายาทนักธุรกิจอัญมณีอีกแน่นอนว่าย่อมทำให้ชายหนุ่มวัยยี่สิบตอนปลายที่ยังคงไร้คู่ครองอย่างเขาตกเป็นที่หมายปองของหญิงสาวจำนวนมาก

เว้นแต่เปลวอรุณ

เปลวอรุณไม่ชอบคนเจ้าชู้และแน่นอนว่าคนที่มีรูปเป็นทรัพย์อย่างอัมรินทร์ย่อมมีคนเข้าหาอย่างมากหน้าหลายตาทั้งชายหญิงและอัมรินทร์ก็ไม่เคยคิดปฏิเสธมิตรไมตรีที่ว่าเลยสักครั้ง หลายครั้งที่มิตรสหายที่อัมรินทร์ชอบอ้างว่าเป็น ‘เพื่อน’ มักจะมาสร้างความปวดหัวให้คนที่มีหน้าที่เป็นเลขาหน้าห้องอย่างเปลวอรุณได้ปวดหัวอยู่ร่ำไป แม้ช่วงสองปีหลังมานี้อัมรินทร์จะเลิกผูกไมตรีแบบทิ้งขว้างไปบ้างแล้วแต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เปลวอรุณหายใจหายคอได้สะดวกมากขึ้นเมื่อไร้เพื่อนข้างกายสายตาที่อัมรินทร์ใช้มองเขาก็ยิ่งชัดเจนในเจตนามากยิ่งขึ้น ความวาววับอย่างมีเล่ห์นัยนั้นไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าเจ้าของดวงตาคมต้องที่จะสื่ออะไรแต่เพราะเขารู้ต่างหากล่ะ เขาจึงพยายามหนีเหมือนอย่างทำอยู่ทุกวันนี้และในตอนนี้เป็นตน

“คุณอัมรินทร์มีอะไรหรือเปล่าครับ” เปลวอรุณเอ่ยถาม

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก แค่นั่งอยู่ในห้องแล้วมันเบื่อๆ เลยออกมาข้างนอกนะ” อัมรินทร์ว่าด้วยสายตาพราวประกายยามมองไปที่ใบหน้าขาวของคนตรงหน้าที่อยู่ต่ำกว่าในยามที่เขายืดตัวตรงเป็นปกติ

“ว่าแต่เปลวเถอะ นั่งเหม่อแบบนี้คิดถึงใครอยู่” เขาเอ่ยถามคล้ายแกล้งจับผิดจนคนถูกถามรีบโบกมือปฏิเสธทันควัน

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ก็แค่....” ปัญหาเดิมๆ ก็เท่านั้น เปลวอรุณพึมพำในใจ

“หือ ว่าไงปัญหาอะไร”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” เปลวอรุณทำสีหน้าปั้นยาก ดวงตาสีออกกวาดมองไปทั่วโต๊ะทำงานอย่างหาทางออกก่อนจะไปสะดุดเข้ากับแฟ้มเอกสารแฟ้มหนึ่ง

“เดี๋ยวผมขอตัวเอาแฟ้มเอกสารไปคืนที่แผนกออกแบบก่อนนะครับ” เขาว่าพลางหยิบแฟ้มที่ว่าขึ้นมาให้อีกคนดู

อัมรินทร์หรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะยินยอมที่จะเปิดทางให้อีกคนเดินผ่านออกไป

เปลวอรุณก้มหัวเล็กน้อยก่อนจะเดินผ่านตัวอัมรินทร์ออกไป ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคนเลี้ยงแกะจำเป็นอย่างเขาที่เจ้านายหนุ่มไม่เอ่ยซักถามอะไรออกมาเพราะเอกสารที่จะเอาไปคืนอะไรนั้นไม่ได้มีอยู่จริงอย่างที่ปากว่าเพราะมันเป็นเพียงข้ออ้างที่เขาเอามาโป้ปดเพื่อหาทางหนีออกมาก็เท่านั้น แต่ไหนๆ ก็ได้ลุกออกมาแบบนี้แล้วเจ้าตัวเลยถือโอกาสไปหาอะไรกินรองท้องเลยก็แล้วกัน

ดวงตาคมที่พราวระยับยามมองตามแผ่นหลังเล็กนั้นแปลเปลี่ยนกลับเป็นความเรียบนิ่งทันทีที่ร่างขาวสว่างของเลขาส่วนตัวหายเข้าไปในตัวลิฟต์ อัมรินทร์จับจ้องไปทางที่เปลวอรุณเดินไปก่อนจะกลับเข้าไปในห้องทำงานของตัวเองอีกครั้ง ร่างสูงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หนังสีดำตัวใหญ่ที่ประจำของเขาอีกครั้งพร้อมกับทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ที่กว้างมากพอที่จะทำให้เขาสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของตึกสูงด้านนอกได้เป็นวงกว้างอย่างใช้ความคิด

แต่เปลวอรุณไม่มีทางรู้หรอกว่ายิ่งเจ้าตัวพยายามหลบหนีมากเท่าไรมันก็ยิ่งไปกระตุ้นสัญชาตญาณความอยากเอาชนะของอัมรินทร์มากขึ้นเรื่องๆ เพราะตั้งแต่เกิดมาอัมรินทร์มีทุกอย่างที่ใครๆ ก็ปรารถนา ทั้งลาภยศ เงิน ทอง หน้าที่การงาน ไหนจะรูปร่างหน้าตาที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต่างต้องเหลียวมามองซ้ำหากแต่นั้นมันเอามาใช้กับเปลวอรุณไม่ได้เลย

เปลวอรุณไม่เหมือนคนอื่นที่เขาเคยรู้จัก อีกฝ่ายไม่ได้สนใจไยดีอะไรในตัวเขาสักอย่างแต่กลับเป็นเขาที่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันเขายอมรับอยู่ลึกๆ ในใจเลยว่าเขาสนใจกุหลาบดอกนี่มากขนาดไหน มากขนาดที่เอ่ยปากขอผู้ช่วยเลขาของพ่อมาเป็นของตนเพียงเพื่อหวังจะได้เชยชมดอกไม้งามดอกนี้ แต่เขาก็คิดผิด...

เพราะหากเปรียบเปลวอรุณเป็นดอกกุหลาบแสนสวยแล้วก็คงเป็นกุหลาบน้ำแข็งสีขาวแสนบริสุทธิ์ เพราะนอกจะไม่เคยยิ้มมาให้เขาแล้วใบหน้าสวยนั้นยังเรียบนิ่งเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับโลกภายนอกคล้ายคนปิดกั้นตัวเองจากทุกสิ่งและสิ่งที่หลอมรวมกันมาเป็นเปลวอรุณอย่างนี้แหละคือความสวยงามที่กระตุ้นความกระหายอยากของนักล่าเช่นเขา

แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจตัวเองมาถึงทุกวันนี้คือเพราะอะไรเขาถึงยังไม่ยอมที่จะจัดการกับมันให้เด็ดขาดทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็สามารถทำมันได้ง่ายๆ แล้วต้องมาทำตัวเหมือนเด็กวิ่งไล่จับกันอยู่อย่างนี้

“อยากหนีก็หนีไป แต่ถึงเวลาเมื่อไรนายหนีฉันไม่พ้นแน่”

………………………………………………………

เวลาสี่โมงตรงคือเวลาเลิกงานของพนักงานคนอื่นๆ ในบริษัทแต่ไม่ใช่กับเปลวอรุณที่ตอนนี้เวลาเลิกงานลากเลยมาจนเกือบถึงเวลาหกโมงเย็น ถึงจะอยากเอ่ยปากพูดเกี่ยวกับการทำงานที่เหมือนว่าเจ้านายโดยตรงของเขาจะพยายามถ่วงมันให้ยาวนานกว่าเดิมโดยการมาเริ่มจริงจังกับงานที่อยู่ตรงหน้าในเวลาใกล้บ่ายสามโมงครึ่งของทุกวันจนกลายเป็นว่ากว่าที่ทุกอย่างจะเรียบร้อยก็ล่วงเลยมาจนท้องฟ้าเริ่มหรี่แสงลง แต่เขาก็เป็นแค่พนักงานคนหนึ่งคงจะพูดหรือเจ้ากี้เจ้าการอะไรกับคนเป็นนายมากไม่ได้

“นี้เป็นตารางงานของวันอาทิตย์หน้า ถ้าคุณอยากจะเพิ่มหรือยกเลิกอะไรก็เขียนเพิ่มเข้าไปได้เลยเดี๋ยวผมจะเอามาจัดตารางให้ใหม่อีกที”

ปฏิทินแบบกระดาษของเดือนนี้ที่ถูกทำเครื่องหมายในสัปดาห์ที่จะถึงถูกส่งมาตรงหน้าพร้อมระบุวันสำคัญหรือนัดหมายเอาไว้ อัมรินทร์รับมาดูเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย

ทุกวันศุกร์ในตอนเย็นเปลวอรุณจะนำปฏิทินที่ระบุรายละเอียดงานประจำวันในสัปดาห์ถัดไปมาให้เขาดูเพื่อที่จะได้รับทราบถึงกำหนดการที่จะถึงรวมถึงให้เขาเพิ่มเติมสิ่งที่จะทำหรือยกเลิกกำหนดการเดิมที่มีอยู่ซึ่งถือว่าเป็นงานสุดท้ายของวันและสัปดาห์นี้

“ตามนี้เลยแล้วกันนะ” เขาพูดขึ้นยิ้มๆ พร้อมส่งปฏิทินคืน

เปลวอรุณพยักหน้ารับแล้วจึงจะเอ่ยขอตัวกลับพร้อมกันก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานของอัมรินทร์ไป

อัมรินทร์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อลับหลังอีกคนไปแล้วพร้อมทั้งทิ้งกายลงพิงพนักเก้าอี้ ที่จริงแล้วเขาอยากหาเรื่องอะไรสักอย่างสองอย่างเพื่อรั้งเปลวอรุณให้อยู่กับเขาต่ออีกสักนิดก็ยังดีแต่ถ้าขืนเขาหาข้ออ้างที่ไม่มีมูลขึ้นมานั้นก็ยิ่งทำให้อีกคนระแวงตัวมากขึ้นเลวร้ายหน่อยก็คือเขาอาจโดนอีกคนโกรธยิ่งเปลวอรุณคือคนที่รู้ตารางงานและเอกสารทั้งหมดของเขาด้วยแล้วเป็นไปไม่ได้เลยสักนิดที่เขาจะเอาของพวกนี้มาอ้าง นี้ยังไม่รวมถึงข้ออ้างต่างๆ นานาที่เขาเคยยกมาอ้างแต่ถูกอีกคนรู้ทันแล้วไหวตัวทันตลอดอีกนะ

เชื่อสิ เขาลองมาทุกรูปแบบแล้ว

ยิ่งเขาพยายามรุกเข้าไปมากเท่าไรเปลวอรุณจะยิ่งระแวงและระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าจนมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาแทบจะเข้าหาอีกคนไม่ได้เลย

มือหนายกขึ้นมานวดที่ขมับเมื่อเริ่มรู้สึกตึงเครียดกับสิ่งที่คิด อัมรินทร์ลุกขึ้นเก็บเอกสารเข้าที่เข้าทางให้เรียบร้อยบางส่วนที่ตั้งใจว่าจะเอากลับไปอ่านต่อที่บ้านก็นำใส่กระเป๋าเอกสารก่อนจะคว้าเอากระเป๋าเงินโทรศัพท์มือถือกุญแจรถยนต์มาแล้วเดินออกจากห้องไป

เส้นทางที่จุดหมายปลายทางหลังเลิกงานไม่ใช่เส้นทางที่เขาใช้กลับบ้านของตัวเองแต่อย่างใดทั้งยังเป็นเส้นทางที่อยู่ตรงกันข้ามเลยก็ว่าได้ หากแต่เขากลับคุ้นชิน พวงมาลัยหักเลี้ยวไปตามซอยของชุมชนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งอย่างชำนาญทางขับผ่านตลาดกลางชุมชนเข้าสู่เส้นทางของหมู่บ้านเครื่องยนต์เริ่มชะลอตัวลงก่อนจะจอดสนิทลงที่ข้างกำแพงบ้านหลังหนึ่งที่ทำให้ตัวเขาสามารถมองเห็นเข้าไปในตัวบ้านของบ้านหลังหนึ่ง

บ้านปูนขนาดสองชั้นรั้วสีขาวร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่รอบบริเวณ ไฟตรงกำแพงสีส้มนวลถูกเปิดพอให้เห็นทางเข้าโรงรถมีรถยนต์ขนาดเล็กสีเหลืองลูกเจี๊ยบจอดอยู่ภายในบ้านที่เปิดไฟสว่างปรากฏเงาของเจ้าของบ้านที่เดินไปมาเรียกรอยยิ้มของผู้ที่เฝ้ามอง

บ้านของเปลวอรุณ

อาจฟังดูเหมือนเป็นพวกโรคจิตแต่เพราะนอกจากการแอบตามอีกคนกลับมาถึงบ้านแล้วจอดดูอยู่เงียบๆในความมืดมองเงาที่เคลื่อนไหวไปมาแล้วก็กลับถือเป็นความสุขอีกอย่างหนึ่งที่คนอย่างอัมรินทร์พอจะทำมันได้และเขาทำมันมาได้สามปีแล้วตั้งแต่รู้จักกับเปลวอรุณมา เขาไม่รู้ว่าอีกคนรู้หรือไม่ว่าเขาแอบตามมาแต่ในเมื่อเปลวอรุณไม่เคยพูดเกี่ยวเรื่องนี้ออกมาเขาก็จะถือว่าอีกคนไม่เคยรู้แต่ถึงรู้เขาก็จะถือว่าอีกคนอนุญาตให้เขาได้ทำมัน

อัมรินทร์นั่งอยู่เงียบๆ อย่างนั้นเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้งแล้วขับออกจากบริเวณดังกล่าวเพื่อกลับบ้านของตน

ตลอดทางเขามักจะถามตัวเองทุกครั้งว่าเพราะอะไรถึงได้ทำแบบนี้ เขาถามคำถามเดิมๆ แบบนี้มานานและถามตัวเองทุกครั้งที่ขับรถกลับบ้านแต่ไม่ว่าเขาจะถามตัวเองกี่ครั้งเขาก็ไม่เคยได้คำตอบ

วันนี้เองก็เช่นกัน

คำถามเดิมๆ ถูกถามขึ้นมาในหัวอีกครั้งแต่ยังไม่ทันได้คำตอบของคำถามที่ว่ารถยนต์ของเขาก็เข้ามาจอดยังโรงจอดรถของบ้านหลังใหญ่กลางเมือง อัมรินทร์พับเก็บคำถามกวนใจนั้นไว้ที่เดิมก่อนจะเปิดประตูรถออกพร้อมส่งกระเป๋าเอกสารให้กับสาวใช้ที่ออกมารอรับ

มือหนาปลดเนกไทที่ผูกอยู่ที่คอให้คลายออกเพื่อลดความอึดอัดขณะก้าวขาขึ้นบันไดทางเข้าบ้านโดยไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครมารอรับเขาอยู่

“กลับบ้านดึกทุกวันอย่างนี้ถ้าพ่อแกรู้เข้าจะเป็นยังไงนะ” คนถูกทักชะงักก่อนจะหันมองเจ้าของคำพูดจิกกัดที่ดังออกมา

อัมรินทร์หันมองแล้วหรี่ตามองชายหนุ่มผิวเข้มรูปกายหนาที่ยืนกอดอกพิงกรอบประตูทางเข้าบ้าน ใบหน้าหล่อคมถูกล้อมกรอบด้วยหนวดที่เจ้าตัวบรรจงตัดแต่งเป็นอย่างดี

“ไอ้รุทธ์”

รุทธ์ หรือ อนิรุทธิ์ ลูกชายคนเดียวของน้องสาวแท้ๆ ของบิดาของเขาที่เสียไปเมื่อหลายปีก่อน ลูกพี่ลูกน้องหนุ่มที่เกิดและโตขึ้นมาพร้อมๆ กันกับเขาถ้าหากให้นับตามศักดิ์อนิรุทธิ์ที่แก่เดือนกว่ามีสถานะเป็น ‘พี่ชาย’ ของเขา แต่ด้วยความที่โตมาด้วยกันจึงสนิทกันในฐานะเพื่อนมากกว่าความเคารพซึ่งกันจึงไม่ค่อยจะมี

“ว่าไงไอ้เสือ ทำไมกลับบ้านดึก” อนิรุทธิ์ถามขึ้นอีกครั้งก่อนละตัวออกจากกรอบประตูเข้ามายกแขนกอดคอน้องชายแต่อัมรินทร์กลับเลือกที่จะปัดแขนข้างนั่นออกอย่างนึกรำคาญแล้วเดินนำเข้าไปด้านใน

อนิรุทธิ์ยกยิ้มขำกับปฏิกิริยาตอบรับดังกล่าวก่อนจะรีบเดินตามอัมรินทร์เข้าไปด้านในบ้านก่อนจะเอ่ยอะไรออกมาเพื่อเป็นการเกริ่นนำถึงสิ่งที่เขาได้รับมา

“หน้างอมาแบบนี้อย่าบอกนะว่ายังจับพ่อเลขาคนสวยนั้นมาเป็นของมึงไม่ได้อีกละสิ” ถึงมันจะดูเป็นการค่อนขอดน้องชายตัวเองก็ตาม แต่อนิรุทธิ์ไม่ถือหรอกมันหนัก

ผิดกับคนที่ได้ยินมันไม่ได้คิดอย่างนั้นนะสิ

อัมรินทร์ตวัดสายตาเอาเรื่องใส่ญาติของตนเอง

“เรื่องของกู! ” ก่อนจะเดินกระแทกส้นเท้าเข้าไปในห้องของตัวเองอย่างหัวเสีย

อนิรุทธิ์อาศัยช่วงขาที่ยาวของตนเองยื่นออกไปขัดไม่ให้บานประตูถูกปิดลง อัมรินทร์ดูจะหัวเสียหนักกว่าเดิมก่อนจะสะบัดมือออกจากลูกบิดประตูเปิดโอกาสให้อนิรุทธิ์ที่ยืนยิ้มร่าก้าวเข้ามาในห้อง

จริงอยู่ที่ช่วงนี้เขากลับบ้านดึกจริงอย่างที่อนิรุทธิ์ว่าแต่มันก็เพราะใครกันเล่าที่ทำให้ระบบความคิดเขาปั่นป่วนถ้าไม่ใช่เลขาหน้าสวยของเขาอย่างเปลวอรุณที่ป่านนี้คนขึ้นบ้านนอนสบายใจไปแล้วผิดกับเขาที่ยังคงหัวหมุนกับการหาแผนการร้อยแปดมาถ่วงเวลาให้คนตัวขาวอยู่กับเขาที่ทำงานนานขึ้นกว่าเดิม เพราะด้วยนิสัยของอีกคนที่ทำงานมาด้วยกันสักระยะทำให้เขารู้ว่าเปลวอรุณจะไม่กลับบ้านจนกว่าเขาจะออกจากบริษัท แต่นอกจากจะไม่ได้ทำอะไรแล้วเขายังทำตัวเหมือนเป็นพวกโรคจิตที่คอยตามดูอีกฝ่ายถึงบ้านและสุดท้ายก็เลยจบด้วยการที่เขากลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ให้ญาติผู้พี่จ้องจับผิดแล้วเขามาเป็นเรื่องตลกเอาไว้ล้อเลียนเขาได้เกือบทุกวัน ให้ตายเถอะ...

“มึงนี้ดูๆ ไปก็น่าสงสารวะ จะมีใครรู้ไหมนะว่าไอ้เสือแดกไม่เลือกที่ใครเขาว่ากันจริงๆ แล้วมันล่าเหยื่อที่ต้องการไม่ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า” อนิรุทธิ์หัวเราะลั่นเสียงดังอย่างขบขันกับความจริงตรงหน้าที่ผิดกับเจ้าของห้องที่นั่งหน้าเครียดไม่สบอารมณ์

แม้ตัวเขาจะไม่ได้ทำงานอยู่ที่บริษัทแต่ใช่ว่าเรื่องราวซุบซิบภายในเขาจะไม่เคยรู้ โดยเฉพาะเรื่องของรองประธานหนุ่มกับเลขาคนสวยที่มักจะตกเป็นหัวข้อสนทนาของเหล่าพนักงานหญิงในช่วงพักเที่ยงด้วยแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาที่นานๆ ที่จะโผล่ไปจะไม่รู้ในเมื่อการตามติดเรื่องราวความรักของญาติผู้น้องของเขาถือเป็นเรื่องน่าติดตามมากกว่ารายการเรียลลิตี้ตามโทรทัศน์เสียอีก และมันยิ่งน่าติดตามมากขึ้นไปอีกเมื่อเลขาคนสวยที่ว่าไม่มีท่าทีที่จะหันมาสนใจอะไรในตัวอัมรินทร์ของเขาเลยแม้แต่น้อยจนเขาละเป็นห่วงเหลือเกินว่าชาตินี้น้องชายของเขาจะได้ลิ้มลองหญ้าแก่ที่มันเที่ยวบ่มมานานได้จริงอย่างที่หวังหรือเปล่า

“ถ้ามึงจะซ้ำเติมมึงกลับห้องของมึงไปเลยไอ้รุทธ์” ไอ้โคอ่อนของเขาออกอาการกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจใส่เมื่อหันมาเห็นหน้าเขา

“อย่าเพิ่งไล่กันสิ” อนิรุทธิ์กอดอกยิ้ม “มึงไม่อยากได้แนวทางในการทำให้คุณเลขาของมึงมาเป็นของมึงสักทีหรอวะ” ไอ้เขามันก็พี่ชายที่แสนดีเสียด้วยสิ

อัมรินทร์นิ่งก่อนจะหรี่ตามองอนิรุทธิ์อย่างไม่ไว้วางใจ

“อะไร มองแบบนี้หมายความว่าไงวะ” อนิรุทธิ์ขมวดคิ้วมุ่น

“ที่มึงพูดมันหมายความว่ายังไง” อัมรินทร์ถามขึ้น แม้น้ำเสียงจะเต็มไปด้วยกระแสความไม่ไหววางใจกับสิ่งที่อยู่ในหัวสมองของพี่ชายแต่ตัวเขาเองก็อยากที่จะรู้

“อยากรู้หรอ” อนิรุทธิ์ยิ้ม

“เออ” อัมรินทร์กระชากเสียงตอบห้วน

อนิรุทธิ์ยิ้มพอใจก่อนจะเดินออกจากห้องไปทิ้งให้อัมรินทร์มองตามหลังอย่างไม่เข้าใจ เขาปล่อยให้อีกคนชะเง้อคอมองหาเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะเดินกลับเข้ามาในห้องของอีกคนอีกครั้งพร้อมกับบางสิ่งที่ถือพกติดมือมาด้วย

“นั่นอะไร” อัมรินทร์ขมวดคิ้วถามอย่างไม่ไว้ใจกับสมุดปกแข็งในมือของอนิรุทธิ์

“ก็ของที่จะทำให้คุณเลขาเป็นของมึงไง”

________________________________________

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel