เป็นหนี้ ครั้งที่ 2
เวลาคนมีความสุขมักจะเลือกที่จะแสดงออกแตกต่างกันออกไปแต่สิ่งหนึ่งที่จะเห็นได้ชัดเลยว่าคนคนนั้นมีความสุขคือท่าทางการแสดงออกที่ดูเกินกว่าปกติ โดยเฉพาะรอยยิ้มและอารมณ์ดีๆ ที่แสดงออกมาให้เห็นได้ง่ายกว่าปกติเหมือนอย่างในตอนนี้ที่อนิรุทธิ์สามารถพบมันได้ในตัวของอัมรินทร์ แต่จะเรียกว่าอารมณ์ดีกว่าปกติคงดูน้อยไปเพราะตอนนี้เขากำลังคิดว่าน้องชายเพียงคนเดียวของเขากำลังเป็นบ้าเสียมากกว่า
มันก็จะมีอยู่ไม่กี่เรื่องหรอกที่จะทำให้คนอย่างอัมรินทร์ยิ้มได้ทั้งหน้าได้แบบนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องคอลเลคชั่นใหม่ที่กำลังจะออกมาได้ผลตอบรับที่ดีเกิดคาด ก็คงเป็นราคาหุ้นสักตัวในบริษัทที่ขึ้น แต่บังเอิญว่าที่กล่าวมาทั้งหมดดูจะไม่ใช่เรื่องที่ทำให้คนตรงหน้าเขาในตอนนี้มีความสุขได้ เพราะหนึ่งคอลเลคชั่นใหม่ที่ว่ายังไม่มีและสองราคาหุ้นก็ยังคงเท่าเดิม
แล้วอะไรกันที่ทำให้น้องชายคนเดียวของเขามันเข้าใกล้คำว่าคนไข้ของโรงพยาบาลจิตเภทได้ขนาดนี้ มันเกิดอะไรขึ้นหลังจากเขาส่งของให้น้องแล้วออกจากห้องมาเมื่อคืน!
อาการสติแตกของอนิรุทธิ์ในตอนนี้ช่างดูน่าขันในสายตาของอัมรินทร์เป็นอย่างยิ่ง เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพี่ชายของเขาถึงทำหน้าเหมือนกับว่าโลกกำลังจะถล่มแผ่นจะสลายเอาให้ได้กับอีแค่ว่าตอนนี้เขากำลังมีความสุขอย่างที่สุด
จะว่าไปแล้ววันนี้เขาก็รู้สึกว่าการตื่นตอนขึ้นมาในตอนเช้าช่างสดใสและสดชื่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อเช้านี้เขาตื่นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเลยหาอะไรทำฆ่าเวลาเมื่อไม่อยากที่จะข่มตานอนต่อโดยการเปิดโน้ตบุ๊กคู่ใจเข้าเว็บนู้นออกเว็บนี้หาบางสิ่งที่เขาต้องการ ก่อนจะกลับมานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับเอกสารที่เพิ่งได้รับมาจากอนิรุทธิ์พร้อมกับแผนการบางอย่างที่ถูกวางเอาไว้ในหัวเขาตั้งแต่เมื่อคืนนี้ตั้งแต่ได้ฟังความจากอนิรุทธิ์ และความรู้สึกตื่นเต้นที่มีมากกว่าทุกวันดูจะทำให้เขารู้สึกแอ็คทีฟมากกว่าปกติอยู่หลายเท่ามองอะไรก็ดูจะสวยงามไปหมดอย่างเช่นอาหารเช้าวันนี้ที่เขาลงมือทำมันตัวเอง
“มึงแน่ใจนะว่าจะแดก”
แต่เหมือนว่าอนิรุทธิ์จะไม่ได้รู้สึกเหมือนกับเขาในตอนนี้ คิ้วเข้มของเซฟมือสมัครเล่นเลิกสูงขึ้นอย่างแปลกใจกับคำถามที่ว่านั่นก่อนจะหันกลับลงมามองที่จานอาหารตรงหน้าของตน
ขนมปังปิ้งไหม้เกรียมกับไข่ดาวที่ เออ ดูไม่ค่อยจะน่ากินเท่าไรหากเทียบกับอาหารเช้าที่แม่บ้านของเขาทำให้กินอย่างเช่นทุกวันแน่นอนว่าอย่าได้ถามไถ่ถึงสภาพของไส้กรอกในจานเลยว่ามันจะไหม้เกรียมขนาดไหนเมื่อเขาเผลอปล่อยมันทิ้งเอาไว้ในกระทะที่เปิดไฟแรงนานจนเกินไป
“แน่นอน” แต่เขาก็ยังคงยิ้มแล้วตัดสิ่งที่ไม่น่าจะเรียกว่าอาหารเช้านั่นเข้าปาก
อนิรุทธิ์ลอบกลืนน้ำลงคอก่อนหันไปหาแม่บ้านที่ยืนเหงื่อตกอยู่ที่มุมห้องอย่างหาทางออกแต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ช่วยอะไรเขาได้เลยนอกจากพยายามทำไม้ทำมือบอกให้เขายอมกินสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาไป อนิรุทธิ์ปาดเหงื่อก่อนจะเริ่มตักสิ่งที่อยู่ตรงน่ากินอย่างจำใจ
เอาว่ะ อย่างน้อยก็เพื่อรักษาน้ำใจไอ้อันมัน...
เขาพยายามปลอบตัวเองอย่างนั้น
“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จมึงออกไปข้างนอกกับกูด้วยละ” มือที่กำลังยกส้อมที่เสียบไส้กรอกขึ้นเตรียมจะกินหลังจากทำใจมาสักพักชะงักนิ่งเมื่อได้ยินคำชวนออกมาจากปากของอัมรินทร์
“ออกไปข้างนอก ? ” เขาถามย้ำ
“เออสิ พอดีกูมีของที่อยากจะได้สักหน่อย” อัมรินทร์ตอบอย่างอารมณ์ดี
และเป็นอีกครั้งที่อนิรุทธิ์ต้องรู้สึกเหงื่อตกคิดหนักกับสิ่งที่อัมรินทร์ทำให้เขาในเวลาไล่เลี่ยกันไม่ถึงสามชั่วโมง
“มึงแน่ใจหรอวะ ที่จะมาทั้งสภาพแบบนั้น” เขาถามออกมาอย่างไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ถึงตัวเขากับอัมรินทร์จะอยู่ด้วยกันมาตลอดตั้งแต่ยังเพิ่งหันคลานแต่บางครั้งเขาเองก็รู้สึกเหมือนไม่เข้าใจอะไรในตัวของผู้ชายที่เกิดที่หลังตัวเองเพียงสามเดือนอย่างอัมรินทร์เหมือนกันว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่าเมื่อวานหลังจากที่เขาเดินออกจากห้องของอีกคนมาแล้ว ท่านรองประธานเจ้าของตำแหน่ง เสืออดเหยื่อ ที่เขามอบให้มันไปหัวกระแทกพื้นหรือนอนตกเตียงจนประสาทกลับกันแน่ถึงได้ เอ่อ.. เสื้อบานเย็นกับกางเกงขาสามส่วนสีเขียวตานีดูจะเป็นอะไรที่เข้ากันจังเลย
“ทำไมละ วันนี้ออกจะท้องฟ้าสดในเราก็ต้องแต่ตัวให้เข้ากับบรรยากาศสิ”
หรอ สดใสหรอ.. ร้อนบัดซบละสิไม่ว่า
“คือกูก็ไม่ได้ว่าอะไรกับรสนิยมการแต่งตัวของมึงที่วันนี้มันออกจะหลุดโลกไปหน่อยหรอกนะ เพียงแต่กู..” กูอายวะ เอาจริงๆ
“ทำไมๆ”
“ก็ไม่ทำไมหรอกนะ แต่ทำไมกูต้องแต่งแบบมึงด้วยวะ” ถึงจะคนละสีกับแต่ความแจ๋ม จะ แดม แจ๋ม ว้าว ของมันนี้ไม่ได้น้อยหน้ากันเลยสักนิด เหี้ยเอ๋ย! คนมองทั้งตลาดเลย...
“ก็เผื่อหลงไง มึงก็รู้จตุจักรคนเยอะจะตายชัก” อัมรินทร์ดึงแว่นกันแดดมาสวมไม่สนใจสีหน้าเหนื่อยหน่ายกับความคิดหลุดกรอบนั้นเท่าไร
“เอาจริงๆ บอกกูมาตรงๆ ดิว่ามึงลากกูมาทำไรที่นี้”
“ซื้อของ”
“ซื้อของ ? คนอย่างมึงนี่นะมาซื้อของที่นี่”
“ใช่ ทำไมมันแปลกหรือไง”
“เออ แปลก!! ”
เขาเคยชวนมันมาเป็นสิบๆ ครั้งมันก็ไม่แม้จะสนใจอ้างนู้นอ้างนี้ตลอด ที่สำคัญเลยคืออัมรินทร์เป็นคนจำพวกขี้ร้อนและมันเกลียดอากาศร้อนที่พร้อมจะเผาผิวมันให้ไหม้เป็นขนมปังปิ้งเมื่อเช้าอย่างกับอะไรดี มันต้องมีอะไรหรืออะไรสักอย่าง ที่ทำให้คนอย่างคุณชายอัมรินทร์มายืนอยู่ที่นี่ในเวลาเที่ยงตรงได้แบบนี้
“กูมาซื้อต้นไม้” เจ้าตัวว่าพร้อมหันซ้ายหันขวามองหาร้านเป้าหมาย
“ห๊ะ”
“ต้นไม้ไง มึงหูตึงหรือไงเนี้ย” อัมรินทร์หันมาทำเสียงหงุดหงิดใส่
“กูไม่เห็นเคยรู้ว่ามึงชอบต้นไม้ใบหญ้าหรืออะไรที่ออกดอกได้มาก่อน” ถ้าเป็นพวกของที่มันส่องแสงได้อย่างพวกเพชรพลอยนี้เขาพอจะเชื่ออยู่หรอก แต่นี่ ต้นไม้ คนที่ปลูกอะไรไม่เกินสามวันก็ตายอย่างมันจะมาซื้อต้นไม้ไปฆ่าหรือไง ? ไม่ได้การละเขาต้องรีบพามันไปหาหมอเดี๋ยวนี้เลย
“กูจะซื้อให้เปลว”
“ห๊ะ”
“ตามนั้น มึงจะไปซื้ออะไรก็เรื่องของมึงจะกลับแล้วเดี๋ยวกูโทรหา”
“เฮ้ย! เดี๋ยว ! ไอ้อัน ไอ้อัน”
อัมรินทร์โบกมือลาทำเป็นไม่สนใจเสียงเรียกของอีกคนก่อนจะกลืนหายไปกับฝูงชนมากมายที่เดินเบียดเสียดกันตามทางเดินแคบๆ เพื่อไปหาซื้อของที่ตนเองต้องการ
มันก็จริงอยู่ที่เขากับต้นไม้ดูจะเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้ จำได้ว่าตอนนั้นเคยซื้อต้นไม้ต้นเล็กๆ มาตามคำแนะนำของแม่มาตั้งไว้ที่โต๊ะทำงานแต่สุดท้ายมันก็ตายเพราะเขาลืมให้น้ำมัน
แต่ถึงมันไม่เหมาะกับเขาแต่มันเหมาะกับเปลว...
และเหตุผลง่ายๆ ที่เขามาที่นี้ก็เพราะเปลวอรุณ..
ช่วงปีแรกๆ ที่เขารู้จักเปลวอรุณเขาติดตามการใช้ชีวิตหลายๆ อย่างของคนตัวขาว ชอบไปไหน ชอบกินอาหารร้านไหน นอนดึกขนาดไหน แม้กระทั่งของใช้ที่ใช้ประจำยี่ห้ออะไรเขารู้หมด และที่สำคัญเปลวอรุณชอบต้นไม้
ไม่เจาะจงว่าต้องเป็นไม้มงคลหรือไม้ประดับขอแค่สามารถแต่สวนหลังบ้านให้สวยได้เจ้าตัวจ่ายไม่อัน แต่จะมีอยู่อย่างหนึ่งที่เขาสังเกตดูว่าอีกฝ่ายจะซื้อบ่อยที่สุดก็คงเป็นแคคตัส
กิจกรรมยามว่างในช่วงวันหยุดของเปลวอรุณคือการจัดสวนถาด เจ้าตัวจะเผลออมยิ้มเล็กๆ ทุกครั้งที่กำลังได้วางก้อนหินหรือกรวดเล็กๆ ลงไปประดับอาณาจักรเล็กนั้น ดวงตาสวยใต้กรอบแว่นจะหรี่ลงเล็กน้อยตอนกำลังเล็งว่าต้นไม้ต้นน้อยต้นนี้ควรจะวางอยู่มุมไหนของถาดดี พอเสร็จจากอันนี้ก็หันไปดูแลอาณาจักรแห่งอื่นๆ ไปเรื่อยๆ และนั่นแหละคือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงต้องหาซื้อขาตั้งมาวางแว่นส่องทางไกล เพราะเปลวอรุณมักจะหมดเวลาเป็นวันๆ กับการสร้างอาณาจักรของตัวเองและเขาจะไม่มีทางพลาดโอกาสที่จะได้เห็นใบหน้าสวยๆ นั่นแสดงอารมณ์แบบอื่นแน่ ถึงช่วงหลังๆ มานี้จะไม่ได้ไปแอบดูอะไรแบบนี้ในวันหยุดแล้วก็เถอะแต่เขาก็ยังเชื่ออยู่ว่าเจ้าตัวจะต้องกำลังจัดสวนน้อยๆ ของตัวเองอยู่แน่
“สนใจถามได้นะพี่” ใบหน้าหล่อพยักรับคำถามของคนขายโดยไม่ละไปจากพืชใบเขียวที่มองยังไงเขาก็แยกมันไม่ออกอยู่ดีว่าอันไหนคือพันธ์อะไร
“ซื้อให้แฟนหรอพี่”
“ใช่ เอ๊ย ไม่ใช่ซื้อปลูกเอง”
คนขายร่างอวบทำหน้าล้อเลียนลูกค้าหนุ่มที่รีบปฏิเสธคำถามของเขาทันควันอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไร ก็นะเขาขายของมานานทำไมจะมองไม่ออกว่าคนที่มาซื้อของต้องการอะไร อย่างเช่นลูกค้าหนุ่มที่ดูจะตึงเครียดกับการเลือกซื้อของในร้านเขาแบบนี้โดยไม่สนใจรอบข้างเลยว่าจะถูกสาวๆ ที่ผ่านไปมามองหรือแอบถ่ายรูปยังไง ถ้าไม่ซื้อให้แฟนแล้วจะให้ซื้อให้ใครได้
“ผมจะเชื่อนะ”
อัมรินทร์เหลือบมองคนขายเล็กน้อยก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาเดินดูต้นแคคตัสต้นน้อยในร้านอยู่หลายรอบ แต่ไม่ว่าจะมองยังไงเขาก็ว่ามันก็เหมือนกันไปหมดและเชื่อเถอะว่าเปลวอรุณมีมันครบทุกแบบแล้วแน่ๆ
“ให้ผมช่วยเลือกไหม” เป็นอีกครั้งในรอบเกือบสิบห้านาทีที่คนขายเอ่ยทักขึ้น ซึ่งมันเป็นข้อเสนอที่ดีมากเพราะเขาเองก็ไม่รู้จะเอาต้นไหนเหมือนกัน
“ก็ดี”
“อยากได้แบบไหนว่ามา”
“แบบไหน คือ” ไม่ใช่ว่าซื้อๆ ไปก็ได้หรอ
“ก็แบบ ซื้อไปปลูกเดียวๆ หรือเอาไปจัดใส่รวมๆ กันนะ”
“อ๋อ เอาแบบจัดใส่ถาด”
คนขายพยักหน้ารับทราบถึงความต้องการของลูกค้าก่อนจะเดินเข้ามาใกล้พร้อมหยิบจับต้นน้อยๆ ขึ้นมาให้ดูพร้อมอธิบายรายละเอียดเล็กๆ น้อยให้มือใหม่อย่างอัมรินทร์เข้าใจพร้อมแนะนำการเลือกต้นแต่ละต้นมาจัดรวมกันด้วยก่อนจะปล่อยให้ชายหนุ่มเดินเลือกต้นที่ชอบอีกรอบ
ไอร้อนจากแสงแดดตอนบ่ายเริ่มทำให้คนที่เริงร่ามาตั้งแต่เช้าเริ่มที่จะหงุดหงิดบวกกับไม่ว่าเขาจะเดินวนอีกสักกี่รอบเขาก็ยังหาต้นไม้ที่เขาต้องการไม่ได้สักที เขาเกือบจะทอดใจแล้วจริงๆ ว่าควรจะหาซื้ออย่างอื่นแทนถ้าไม่เพราะหางตาของเขาเหลือไปเห็นต้นแคคตัสต้นหนึ่งที่ซ้อนตัวจากสายตาใครต่อใครอยู่ด้านล่างสุดของชั้นวาง มุมปากยกยิ้มอย่างพอใจ ในที่สุดเขาก็หาเจอ
“ฉันเอาต้นนี้”
………………………………………………..
“กูจะไปบอกเด็กๆ ให้รีบเก็บของ” อนิรุทธิ์ลากเสียงครางยานเหน็บแนมน้องชายด้วยสีหน้าที่จะเหนื่อยหน่ายใจขณะนั่งเท้าคางมองคนอารมณ์ดี
หลังจากถูกพาไปปล่อยทิ้งเอาไว้ในพื้นที่ค้าขายที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่ออกมาจับจ่ายใช้สอยกันในวันหยุดนี้ยังไม่นับรวมนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่พากันมาเลือกซื้อของอีก ไอ้ตัวเขาที่ถูกปล่อยทิ้งไว้กลางกลุ่มคนจำนวนมากก็ได้แต่หันรีหันขวางมองหาไอ้คนที่พามาปล่อยด้วยความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนก่อนจะจบลงด้วยการตั้งสติตัวเองให้มั่นแล้วเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าและของแฮนด์เมดที่น่าสนใจติดไม้ติดมือกลับมาด้วยก่อนจะจบลงด้วยการเลี้ยงไอติดหลอดเด็กนักเรียนของตนที่เดินเข้ามาทักทาย ซึ่งดูจากรูปการณ์แล้วเด็กๆ ของเขาคนกลับมาจากเรียนพิเศษแล้วมาเดินเล่นที่นี้เขาเลยได้เพื่อนคุยฆ่าเวลาระหว่างรออัมรินทร์ไปพลางๆ
“ทำไม” คนถูกเหน็บถามขึ้นพลางเปรยตาขึ้นมองอย่างขบขัน
“พายุจะเข้า” อนิรุทธิ์ตอบก่อนจะปิดปากหาว
“ไม่เห็นมีข่าวเลย มึงมั่วเปล่า” อัมรินทร์เลิกคิ้วสูงอย่างสงสัยมือก็ง่วนอยู่กับกิจกรรมตรงหน้า ถ้าจำไม่ผิดพยากรณ์อากาศวันนี้บอกว่าท้องฟ้าจะปลอดโปร่งอุณหภูมิแตะเลขสามเลยด้วยซ้ำไม่เห็นมีว่าพายุจะเข้าอย่างที่อีกคนว่าเลยสักนิด
“ไม่ ไม่ ไม่มีทางมั่วแน่นอน” อนิรุทธิ์แบ้ปากส่ายหน้า “กูยืนยัน”
“ทำไม”
“เพราะมึงกำลังจัดสวนถาดไงไอ้อัน มึงกำลังปลูกต้นไม้” อนิรุทธิ์พูดหน้าเครียดพร้อมพลายมือไปตรงหน้าเป็นการประกอบ
อัมรินทร์เหวอไปเล็กน้อยก่อนจะหลุดขำออกมากับสิ่งที่อนิรุทธิ์พูดและแสดงออกมาแล้วก็ก้มหน้าก้มตามองดูดินสีดำถูกเทลงจากถุงลงถูกถ้วยกระเบื้องสีสะอาดตาให้พอประมาณก่อนจะถูกมือหนาทั้งสองของเขากดลงให้ราบเสมอกันก่อนจะหยิบถุงที่บรรจุหินกรวดขึ้นมาพิจารณา
เทตรงไหนดี...
อนิรุทธิ์ยังคงกอดอกจ้องมองอย่างจับผิด
“ทำไม แค่กูกำลังทำสิ่งใหม่ๆ บ้างมึงจะแตกตื่นทำไม” อัมรินทร์พูดเหมือนสิ่งแปลกใหม่ที่ว่าคือสิ่งที่เขาทำมันเหมือนเป็นปกติ “หรือมันดูผิดปกติ”
“ใช่ไง มันไม่ปกติ” และแน่นอนว่าสิ่งที่อัมรินทร์กำลังทำอยู่ถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติมากถึงมากที่สุดเท่าที่อนิรุทธิ์เคยเห็นมันมาก่อน
“ตรงไหนวะ”
“ก็ตรงที่มึงซื้อมาทำเองไง” ถ้าเปลี่ยนจากการซื้ออุปกรณ์ทุกอย่างมานั่งพรวนดินแต่งต้นไม้เองเป็นการซื้อแบบสำเร็จมาเลยอนิรุทธิ์คงไม่ทำทีท่าตกอกตกใจยกใหญ่เหมือนอย่างตอนแรกที่เห็นหน้าญาติผู้น้องอีกครั้งหลังผ่านไปสองชั่วโมงที่กลับมาพร้อมถุงอุปกรณ์และต้นไม้เต็มสองมือแบบนี้และในตอนนี้ที่เห็นอีกคนตั้งใจทำมันเหลือเกินด้วย
“กูก็แค่อยากลองทำ” อัมรินทร์ตอบกลับอย่างไม่ยี่หระเท่าไร
อนิรุทธิ์หรี่ตามอง “อยากลองหรือยากเอาใจ” ก่อนจะว่าดักทาง
อัมรินทร์ชะงักมือที่กำลังเทถุงบรรจุหินกรวดนิ่ง
“อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะว่าที่มึงทำอยู่นี่มันหมายความว่ายังไง” อนิรุทุธิ์กดเสียง
“มึงไม่คิดว่ากูแค่อยากจะลองทำอะไรใหม่ๆ บ้างหรือไง” อัมรินทร์บ่ายเบี่ยง
“คนที่แม้แต่ต้นไม้ยังลืมรดน้ำแล้วปล่อยให้มันแห้งตายอย่างมึงเนี้ยนะจะอยากลองจัดสวนถาด กูเชื่อมึงกูก็คงไปเป็นลาโง่ๆ แล้วละไอ้อัน”
“เรื่องของกู” อัมรินทร์ตัดบทเอาดื้อๆ เมื่อถูกต้อนจนจนมุม “มึงไม่มีงานมีการมีอะไรที่จะไปทำหรือไงถึงได้มาส่งเสียทำลายสมาธิกูแบบนี้” ก่อนจะออกปากไล่ด้วยน้ำเสียงกึ่งไม่พอใจแก้เก้อเพื่อซ้อนใบหน้าที่เริ่มจะขึ้นสีอย่างอายๆ
แต่ท่าทางแบบนั่นมีหรือที่อนิรุทธิ์จะรู้ไม่ทัน
“ถ้ากูเป็นเลขามึงกูคงซึ้งใจฉิบหายที่คนอย่างมึงยอมทำอะไรที่มึงไม่ชอบเพื่อให้เขาแบบนี้” เขาว่าพลางชี้มือลงที่สวนถาดตรงหน้า
“อะไรของมึง กูทำของกูเองต่างหาก” แต่อัมรินทร์ก็ยังคงทำตัวเป็นผู้ร้ายปากแข็งเช่นเดิมแม้จะถูกจับได้แล้วก็ตาม
“มึงอยากให้กูเชื่อแบบนั้นหรอ” อนิรุทธิ์ย้อน
อัมรินทร์นิ่งเงียบ
“มึงคิดอะไรได้แล้วใช่ไหมเกี่ยวกับของที่กูให้ไปเมื่อคืน”
อัมรินทร์พยักหน้าก่อนจะวางมือจากสิ่งที่ทำอยู่แล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตาอนิรุทธิ์
“งานนี้กูต้องการให้มึงช่วยด้วย” เขาพูด
“ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงกูก็พร้อมช่วย” อัมรินทร์ยิ้ม “แต่.”
“อะไร”
“กูขอถามมึงคำถามหนึ่ง”
“..”
“มึงจริงจังมาแค่ไหนกับคนทีชื่อเปลวอรุณ”
“ถามทำไม”
“กูต้องการรู้ว่ากูควรที่จะช่วยมึงดีไหม” เขาจ้องหน้าอัมรินทร์นิ่งอย่างต้องการคำตอบประกอบการพิจารณาตัดสิน
“กูต้องการที่จะเอาชนะเขา มึงไม่คิดว่ามันท้าทายดีหรอวะที่จะได้เห็นสีหน้าอย่างอื่นที่ไม่ใช่หน้าเดียวแบบเดิมๆ ของเปลวเขาน่ะ” อัมรินทร์ตอบแกนๆ
“หรอ”
“ก็เออสิ” ก่อนหลบสายตา
“เหอะ” อนิรุทธิ์ทำเสียงขึ้นจมูก “มึงคิดว่ากูกับมึงอยู่ด้วยกันมากี่ปีวะ” ก่อนจะตั้งคำถามใหม่
“มึงคิดว่ากูดูมึงไม่ออกหรอวะว่าตั้งแต่ที่คนคนนั้นเข้ามาในชีวิตมึงตัวมึงมีอะไรเปลี่ยนแปลกไปบ้าง”
“อะไรที่มึงว่าเปลี่ยน” เขาถามขณะถอดถุงมือยางที่เปื้อนดินออก
“ตัวมึง การใช้ชีวิตของมึง”
“...”
“มึงเลิกกับคู่ขาของมึงแทบทุกคนหลังเจอเปลวอรุณแถมมึงยังทำตัวเหมือนพวกโรคจิตแอบดูเขา ทำตัวดีอยู่ในกรอบทั้งๆ ที่เมื่อก่อนมึงไม่ใช่ มึงเปลี่ยนไปเยอะอัน เปลี่ยนไปเยอะมาก” การเปลี่ยนแปลงที่เขาไม่รู้ว่าอีกคนจะรู้ตัวไหมแต่มันคือความจริงที่เขาสัมผัสได้ตลอดสามปีที่ผ่านมา
“แล้วไม่ดีหรือไง” อัมรินทร์ถาม
“เพราะมันดีไงกูถึงถามมึง”
“ก็ยอมรับว่าที่ทำอยู่เนี้ยเพราะอยากเอาใจเปลว”
“แล้ว..”
“กูอยากได้เปลวแถมอีกไม่นานเปลวก็จะมาเป็นของกู กูก็ต้องเอาใจเขาหน่อย”
“มึงมั่นใจแผนมึงขนาดนั้นเลยหรือไง”
“ที่สุด”
คนเจ้าเล่ห์ยิ้มร่าให้กับแผนการในหัวอะไรที่เขาคิด สามปีเลยนะสำหรับการเฝ้ามองของเขาทั้งๆ ที่เป็นคนอื่นแค่สามนาทีก็แทบจะแก้ผ้าเดินมาหาเขาแล้วแต่นี้อะไรขนาดขาอ่อนยังไม่เคยได้เห็นเลยนี้ถ้าเขาไม่แอบตามไปดูที่บ้านเขาคงไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างเปลวอรุณจะมีเสื้อผ้าแขนขาสั้นอย่างชาวบ้านเขาแน่
“ถ้ามึงจะมั่นขนาดนี้นะ ถ้าไม่ได้ขึ้นมากูนี้จะขำให้”
“ไม่มีทาง กูวางแผนมาเป็นอย่างดีแล้วมึงก็ต้องช่วยกูด้วย”
“แล้วกูจะได้อะไรตอบแทน” ถึงจะเป็นญาติพี่น้องกันแต่เรื่องผลประโยชน์มันก็ไม่เข้าใครออกใครเหมือนกัน อย่างน้อยการช่วยครั้งนี้เขาก็ขอค่าแรงหน่อยจะเป็นไรไป
“เดี๋ยวถึงเวลากูหาให้มึงเองน่า ไม่ต้องห่วง”
มือหนาเอื้อมออกไปตบบ่าอีกคนสองสามที่ก่อนจะกลับมาเก็บเอาไว้ที่ข้างลำตัวอีกครั้งเพื่อพูดต่อ
“มึงก็รู้ว่ากูอยากได้เปลวมาสามปี กูไม่เคยรอใครนานขนาดนี้มาก่อนถึงจะไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องรอทั้งๆ ที่กูจะบังคับให้เขานอนกับกูเลยตั้งแต่วันแรกก็ได้ แต่กูก็ไม่ทำ”
“เหมือนจะเป็นคนดี” อนิรุทธิ์ค่อนขอด
“ก็นิดหนึ่ง” อัมรินทร์ไหวไหล่
“...”
“แต่จะให้รอเปลวใจอ่อนยอมกูง่ายๆ ถามจริงเถอะชาตินี้กูจะได้ไหม”
“ก็คงไม่”
ใช่ เพราะมันคงไม่มีทางแน่....
เพราะรู้ดีไงว่าคนอย่างเปลวอรุณไม่มีทางที่จะยอมให้เขาง่ายๆ แน่ดังนั้นมันก็จำเป็นต้องมีลูกเล่นกันบ้าง เพราะมันคงไม่มีใครหรอกที่จะทนมองเหยื่อของตัวเองลอยไปลอยมารอให้หมาคาบไปกินตัดหน้าหรอก ไม่มีทาง...
“กูอยากได้เปลวมาสามปี ต่อให้ถึงเวลานั้นเปลวจะเป็นของกูแค่สามวิกูก็จะทำให้เขาประทับใจกูให้ได้มากที่สุดเหมือนกัน”
__________________________________________________