เป็นหนี้ ครั้งที่ 5
“เกิดอะไรขึ้น”
เสียงห้าวติดจะหอบหนักๆ ของคนที่พรวดเข้ามาหยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้านทำให้คนที่กำลังเคลิ้มไปกับบรรยากาศรอบตัวอย่างเปลวอรุณได้สติกลับมา ความกระด้างอายที่พอมารับรู้ว่าตอนนี้ตนเองกำลังนอนทับอยู่บนตัวของอัมรินทร์ในท่าที่ดูล่อแหลมกันอยู่หน้าประตูทำให้เจ้าตัวรีบดีดตัวลุกขึ้นจากคนที่เขานอนทับต่างหมอนอย่างรวดเร็วจนเซเล็กน้อย
“เปลว! ”
เสียงเรียกชื่อเขาอย่างตกใจของอัมรินทร์ดังขึ้นพร้อมๆ กับร่างของเขาที่เกือบจะวูบลงไปกับพื้นอีกครั้งแต่โชคดีที่ลูกตาลยืนอยู่ไม่ไกลจึงเข้ามารับเอาไว้ได้ทัน
“เป็นอะไรไหมฮะ” เด็กหนุ่มถามขึ้น ยิ่งความซีดเซียวของใบหน้าและความออกแรงของร่างกายก็ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงก่อนจะตวัดสายตามามองใครอีกคนที่อยู่ในบ้านอย่างเอาเรื่อง
“แกทำอะไรเขา” เด็กหนุ่มว่าเสียงลอดไร้ฟัน กล้าดียังไงมาทำรุ่มร่ามแบบนี้กลางบ้านคนอื่น
“แล้วแกเป็นใคร” อัมรินทร์ไม่ตอบแต่เลือกที่จะถามกลับพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลด้วยความเจ็บ
“ปล่อยเปลวเดี๋ยวนี้ไอ้หนู” ดวงตาคมจ้องเขม็งอย่างไม่ค่อยจะพอใจเท่าไรที่เห็นเด็กเมื่อวานซืนที่ไหนก็ไม่รู้กำลังโอบกอดคนของเขาอยู่แบบนี้
“ทำไมผมต้องทำตามที่คุณพูดด้วย” ตาลเองก็ไม่ยอม ซ้ำยังเบี่ยงตัวบังร่างของเปลวอรุณเอาไว้จนแทบจะจมอกของเด็กหนุ่ม
“นี้แก”
เปลวอรุณเป็นพวกห่วงตัวมีเพียงไม่กี่คนหรอกที่เจ้าตัวจะยอมให้จับเนื้อต้องตัวได้อย่างสนิทสนม แล้วไอ้เด็กนี้มันเป็นใครมาจากไหนทำไมถึงกล้าที่จะเข้ามากอดคนของเขาแบบนี้ได้
อัมรินทร์กับลูกตาลมองหน้ากันอย่างเอาเรื่อง แต่ก่อนที่จะเกิดสงครามประสาทขนาดย่อมของสองหนุ่มต่างวัยเสียงของระฆังห้ามทัพอย่างเปลวอรุณก็ดังขึ้น
“พอเถอะน่าทั้งคู่เลย”
น่าจะเพราะความอึดอัดที่เกิดจากความเครียดเมื่อครู่ทำให้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากปากสีอ่อนดูจะเหวี่ยงวีนติดจะเหนื่อยกว่าปกติ แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองคนก็ให้ความร่วมมือกันอย่างดีโดยการเปลี่ยนจากการจ้องตาหาเรื่องกันมาเป็นเข้ามาถามไถ่อาการของเขา
ลูกตาลประคองเปลวอรุณไปนั่งที่โซฟาก่อนจะผละออกไปหายาดมกับน้ำมาให้ในขณะที่อัมรินทร์ก้มล้มเก็บเศษกระเบื้องของกระถางที่เป็นเหยื่อจากลูกกระสุนปืนเมื่อครู่ให้พ้นทางเพื่อไม่ให้ใครเผลอมาเหยียบมันเข้าโดยเฉพาะเปลวอรุณ
“เอาไว้อย่างนั้นแหละครับเดี๋ยวผมเก็บเอง” เจ้าของบ้านว่า
“ไม่เป็นไร” อัมรินทร์ว่าพร้อมกันโกยเอาเศษเล็กๆ ใส่กระดาษทิชชูแล้วห่อเอาไว้ก่อนนำไปทิ้งที่ถังขยะแล้วกลับมานั่งตรงที่ว่างข้างๆ คนที่นั่งหลับตาอยู่บนโซฟา
“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง” เขาถามพร้อมกับท่อนแขนหนาที่สอดเขาที่หลังคอขาวแล้วค่อยๆ โน้มหัวของเปลวอรุณให้มาซบที่ไหล่ของตน
“เวียนหัว” เจ้าตัวตอบตามความเป็นจริง
ซึ่งก็น่าจะเป็นจริงอย่างที่เจ้าตัวว่าเพราะถ้าไม่งั้นป่านนี้เปลวอรุณได้ผละออกจากเขาแล้วไม่มีทางที่จะมานอนซบอกให้เขาโอบเล่นอยู่แบบนี้แน่
“ยาดมฮะ”
เปลือกตาสีอ่อนปรือขึ้นเล็กน้อยแล้วค่อยๆ เอื้อมมือออกไปรับหลอดยาดมสีขาวที่อยู่ในมือของลูกตาลมาเปิดปลอดออก กลิ่นหอมเย็นๆ ของเป๊ปเปอร์มิ้นท์ช่วยทำให้สมองของเปลวอรุณโล่งขึ้นยิ่งได้น้ำเย็นๆ เข้าสู่ร่างกายด้วยแล้วก็ยิ่งรู้สึกสดชื่นขึ้นกว่าเดิม
“ดีขึ้นไหมฮะ” ลูกตาลถาม
เปลวอรุณพยักหน้ารับทั้งยังให้ช่วงไหล่ของอัมรินทร์ต่างหมอน
“แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นฮะ ทำไมแจกันแตกแบบนั้นแถมยัง....” ลูกตาลเว้นวรรคเอาไว้ในฐานที่เข้าใจ ขณะตวัดสายตามองบุคคลที่ไม่น่าจะเป็นคนในบ้านอย่างอัมรินทร์ที่นั่งอยู่อย่างคาดคั้นแทน
“มีโจรเข้ามา” เปลวอรุณตอบเสียงเนือง
“แล้วพวกมันทำอะไรคุณหรือเปล่า” ลูกตาลตาโตกลับประโยคที่ได้รับ
ตอนแรกก็เอะใจอยู่หรอกเพราะตอนที่เขาเดินเข้าซอยมาเขาเจอเข้ากับผู้ชายแปลกหน้าสองคนที่พากันซ้อนรถมอเตอร์ไซค์สีดำคันใหญ่ออกไป และด้วยความคิดมากจึงรีบวิ่งมาที่บ้านเพราะเป็นห่วงจนมาเจอเข้ากับเหตุการณ์เมื่อครู่
แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนว่าเขามาขัดจังหวะยังไงก็ไม่รู้
“ฉันไม่เป็นไร โชคดีที่คุณอัมรินทร์เข้ามาทัน” คนได้ความดีความชอบยิ้มรับลอยหน้าลอยตาใส่เด็กหนุ่ม
“แล้วทำไมเขาถึงเข้ามาทันเวลาละฮะ” อัมรินทร์ชะงักมือข้างที่กำลังลูบต้นแขนของเปลวอรุณทันที
ยิ่งอัมรินทร์มีปฏิกิริยาตอบกลับมาแบบนี้ด้วยแล้วคนที่จ้องจับผิดอยู่อย่างลูกตาลก็ยิ่งพุ่งเป้าความสนใจในคำตอบที่จะมาจากปากของชายตรงหน้ามากยิ่งขึ้น
“ว่าไงครับ” ตาลย้ำ “คุณคงไม่ตอบว่าผ่านมาแถวนี้แล้วได้ยินเสียงแจกันแตกแล้วเข้ามาหรอกนะครับ” เด็กหนุ่มดักทาง เพราะถ้าเขาเดาไม่ผิด อัมรินทร์ คนนี้คงจะเป็นคนเดียวกับคนที่เปลวอรุณเคยเล่าให้ฟังว่าเป็นเจ้านายที่ชอบทำตัวเป็นสลอกเกอร์แอบตามดูตามมองอีกคนอยู่
คนที่เหมือนจะจนมุมเหลือบตามองคนที่ยังนั่งซบไหล่เขาดมยาดมนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ยิ่งเปลวอรุณไม่หือไม่อืออะไรกับคำถามที่ออกมาจากปากของเด็กหนุ่มผิวเข้มตรงหน้าเขาก็ยิ่งไม่แน่ใจว่าเรื่องที่เขาแอบตามเจ้าตัวมาตลอดเปลวอรุณจะรู้แล้วหรือยัง
“ว่าไงครับ”
“ฉันก็แค่...”
“ไปกินข้าวกันเถอะ”
ยังไม่ทันที่อัมรินทร์จะตอบของแคลงใจของเด็กหนุ่มเสียงเหนื่อยๆ ของเปลวอรุณก็ดังขัดขึ้นมาเสียดื้อๆ เขาไม่รู้หรอกว่าอัมรินทร์จะหาข้ออ้างอะไรมาตอบคำถามเด็กหนุ่มหรือจะตอบออกไปตรงๆ ว่านั่งอยู่ในรถหน้าบ้านเขาทำหน้าที่เป็นสุนัขเฝ้าบ้านเขาก็ไม่สน แค่ชายหนุ่มมาช่วยเขาทันเวลาแค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้วจริงๆ
“แต่..” ตาลพยายามจะแย้ง
“อาหารจะเย็นหมดแล้วตาล” เปลวอรุณปราม ก่อนจะเงยขึ้นมามองอีกคน “คุณเองก็มากินด้วยกันสิครับ”
“ได้หรอ” อัมรินทร์ถามกลับอย่างไม่ค่อยจะเชื่อหูแม้ในใจนั้นจะพองฟู่คับบ้านขนาดไหน
“ได้สิครับ ตอบแทนที่คุณช่วยผมไว้ไง” เปลวอรุณตอบกลับก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนโดยมีลูกตาลค่อยช่วยประคอง
รอยยิ้มที่ฉีกกว้างเหมือนคนบ้าของอัมรินทร์ที่มีประดับอยู่บนหน้าตลอดเวลาตั้งแต่ที่เจ้าของบ้านเอ่ยปากชวนเขาร่วมโต๊ะแต่พอเวลาผ่านไปยังไม่จะถึงสิบนาทีดีไอ้มุมปากที่ยกยิ้มอยู่นั้นก็คว่ำลงพร้อมใบหน้าบึ้งตึงทั้งๆ ที่เขาควรจะดีใจที่ได้กินข้าวกับเปลวอรุณ
เมื่อไรไอ้เด็กนี้จะกลับ
อัมรินทร์ได้แต่บ่นงึมอยู่ในใจไม่กล้าพูดออกเสียงไปให้เปลวอรุณที่กำลังตักต้มจืดร้อนๆ ที่เพิ่งไปอุ่นมาใหม่ใส่ถ้วยน้ำซุปขนาดเล็กให้เด็กหนุ่มที่นั่งยิ้มเยาะเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยไม่เกรงกลัวเลยว่าเปลวอรุณจะเงยหน้ามาเห็นความร้ายกาจของตัวเองหรือไม่
“พอกินได้ไหมตาล” น้ำเสียงนิ่งๆ ของเปลวอรุณเอ่ยขึ้น
“ได้ฮะ”
“ดีแล้ว กุ้งเกาะเองได้นะ”
“ฮะ”
และแน่นอนว่ายิ่งเปลวอรุณทำทีเป็นเอาอกเอาใจได้เด็กที่ชื่อลูกตาลมากเท่าไรคนที่ถูกเชิญให้มานั่งร่วมโต๊ะด้วยอย่างอัมรินทร์ก็ยิ่งตีหน้ายักษ์ไม่พอใจ
“เปลวตักแกงจืดให้ฉันบ้างสิ” พร้อมกับร้องขอความสนใจจากคนข้างกาย
“ตักเองสิครับ ช้อนตักก็อยู่ไม่ไกล”
“นะเปลว ตักให้หน่อยนะ” อัมรินทร์ออดอ้อนพลางเลื่อนถ้วยน้ำซุปตัวเองไปข้างๆ อีกคน
ลูกตาลมองการกระทำที่ดูจะขัดกับอายุของผู้ใหญ่ตัวโตตรงหน้าอย่างนึกขำก่อนจะก้มลงกินข้าวในจานของตัวเองจนหมดเงียบๆ ส่วนสายตาก็มองผู้ใหญ่ทั้งสองที่อีกหนึ่งดูจะตื้อร้องหาความสนใจในขณะที่อีกคนเอาแต่นิ่งเฉย
น่าสนุก...
“แล้วทำไมนายยังไม่กลับบ้านอีก”
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จอัมรินทร์ก็เปิดปากพูดกับเด็กหนุ่มขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าเวลาตอนนี้ก็ดึกมากแล้วถึงเด็กตรงหน้าจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้วก็เถอะ แต่กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้พ่อแม่ไม่ห่วงหรือไง
“อันนั้นผมต้องถามคุณมากกว่า ไม่กลับบ้านหรอครับ” ลูกตาลย้อนถามขณะก้มหน้าก้มตาเช็ดทำความสะอาดโต๊ะกินข้าว
“ดึกแล้วเด็กอย่างนายควรกลับบ้าน ส่วนฉัน ฉันโตแล้วจะไปไหนก็ได้” เขาว่าพลางรับเอาที่ประคบเย็นจากเปลวอรุณมาประคบที่ช่วงท้อง
“แต่ผมว่าคนที่ควรกลับคือคุณนะครับ” เปลวอรุณว่า ขณะประคบเย็นที่ข้างแก้มให้อัมรินทร์
“อ้าว ทำไมเปลวไล่แต่ฉันละ” ถ้าเขากลับไอ้เด็กนี้ก็ต้องกลับด้วย ใครจะยอมปล่อยปลาย่างเนื้อนุ่มกลิ่นหอมนี้ไว้กับแมวจรจัดกัน ไม่มีทาง...
“นี้ อ๋อ จริงสิ” เปลวอรุณที่ตั้งท่าจะท้วงคำพูดของอีกคนก็นิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเขาลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป
“จริง ? จริงอะไรหรอ” อัมรินทร์ถามหน้าเหลอมองเปลวอรุณที่กวักมือเรียกเด็กหนุ่มให้เข้ามาใกล้
“คุณอัมรินทร์ครับ นี่ลูกตาล ‘ลูกชายบุญธรรม’ ของผมเอง”
“สวัสดีครับ”
อัมรินทร์อ้าปากมือชี้ค้างไปที่คนถูกแนะนำที่กำลังยกมือไหว้อย่างนอบน้อมก่อนจะเปลี่ยนเป็นหยักคิ้วยียวนให้คนที่ดูจะนิ่งอึ้งไปกับสถานภาพของเจ้าหนุ่มหน้ากวนตรงหน้า
“ละ ลูก”
“ใช่ครับ ผมลูกตาลลูกชาย ‘แม่เปลว’ เองฮะ” ลูกตาลยิ้มกว้างตอกย้ำความสัมพันธ์ที่ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงนี้อย่างยินดี ผิดกลับคนเป็นแม่
“เดี๋ยวนะตาล ทำไมต้องเป็นแม่ด้วย” เปลวอรุณท้วงหน้าเครียด กับสรรพนามใหม่ที่เด็กหนุ่มใช้เรียก
ลูกตาลหยักไหล่ไม่สนใจคำทักท้วงนั้นแต่หันมามองอัมรินทร์ด้วยสายตารู้ทันแทน ผู้ชายเหมือนกันมองตากันทำไมจะไม่รู้ว่าคิดอะไรกันอยู่
“นี้ก็ดึกแล้วเมื่อไรคุณจะกลับสักทีละครับ” ลูกตาลกอดอกย้อนถามอมริทนทร์อย่างเหนือกว่า
ไอ้เด็กนี้...
“ผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าสำหรับใส่นอนผมวางเอาไว้ให้ตรงนี้นะครับ”
เสียงนิ่งของเปลวอรุณเอ่ยขึ้นพร้อมวางผ้าขนหนูสีขาวกับเสื้อยืดตัวใหญ่พร้อมด้วยกางเกงเอวยางยืดสำหรับใส่นอนไว้ที่ปลายเตียงนอนในห้อง
“แล้วเปลวจะไปไหน” อัมรินทร์เอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นอีกคนพลิกกายเตรียมจะเดินออกจากห้องไป
“ผมจะไปดูตาลที่ห้องหน่อยแล้วจะเอายาแก้อักเสบมาให้คุณด้วย” เปลวอรุณตอบ
“ฉันนึกว่าเปลวจะมาช่วยฉันอาบด้วยสะอีก” ชายหนุ่มเย้า
“ไม่ใช่เรื่อง คุณไม่ได้เป็นอะไรขนาดนั้น” เปลวอรุณว่าอย่างไว้ตัว แต่พอจะกลับตัวร่างสูงใหญ่ของเจ้านายหนุ่มอย่างอัมรินทร์ก็เข้ามาประชิดตัวทั้งยังกักตัวขาวๆ ของเปลวอรุณไว้ในอ้อมแขนแน่น
“ปล่อยครับ” เจ้าตัวขาวเอ่ยปากสั่งอย่างไม่ชอบใจเท่าไร
“ไม่”
“คุณอัมรินทร์” เขาขึ้นเสียง
“เปลวไม่คิดที่จะใจอ่อนให้ฉันจริงๆ หรอ” อัมรินทร์เอ่ยถามเสียงอ่อน
“...”
“ไม่เห็นใจฉันหน่อยหรอ” ใบหน้าคมซบลงกับไหล่เล็กเหมือนจะอ้อนวอนขอความเห็นใจ
“เห็นใจ ? เรื่องอะไรหรอครับ” เปลวอรุณย้อนถามอย่างคนแกล้งไม่รู้ความหมาย
“หลายๆ เรื่อง”
หลายๆ เรื่องที่ว่านี้คงจะรวมถึงเรื่องที่แอบสะกดรอยตามชีวิตเขาด้วยสินะ...
“ผมให้คุณค้างที่นี้ให้นอนในห้องของผมแค่นี้ผมก็อ่อนให้คุณมากพอแล้ว ถ้ายังจะเรียกร้องอะไรจากผมมากไปกว่านี้อีกละก็ผมจะไล่คุณกลับ” อัมรินทร์แอบยิ้มให้กับคำพูดแสนน่ารักที่ออกมาจากปากของคนหน้านิ่ง
“อย่าไล่ฉันเลยเปลว”
“ปล่อย” เปลวอรุณสั่งอีกครั้งพร้อมบิดตัวออก
“ตอนนี้ฉันจะปล่อยให้เปลวหนีฉันไปก่อน แต่ถึงเวลาเมื่อไรต่อให้เปลวหนีฉันไปไกลสุดขอบโลกแค่ไหนเปลวก็หนีฉันไม่พ้นหรอกนะ”
อัมรินทร์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนอย่างรักใคร่โดยที่มีรอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นชัดในแก้วตาใสสีอ่อนพร้อมๆ กับอ้อนแขนแข็งแรงที่โอบรอบตัวของเปลวอรุณจะค่อยๆ คล้ายออก
ครั้งพอเห็นว่าอัมรินทร์ไม่คิดจะรั้งตัวเขาเอาไว้เหมือนแต่แรกเปลวอรุณจึงผลักคนตัวใหญ่ออกแล้วเดินหนีออกจากห้องไป ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่หัวใจของเขามันเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่จริงๆ เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับน้ำคำหวานหูแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ไหนจะดวงตาคมที่สะท้อนเพียงแค่ตัวเขา
เขาเองก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหนที่จะไม่รู้สึกหวั่นไหวไปกับความใกล้ชิด
เขาแค่กลัว...
ยิ่งจ้องมองเข้าไปในนัยน์ตาสีเข้มนั่นมาเท่าไรความกลัวก็ยิ่งแล่นเข้ามาในใจของเปลวอรุณมากจนต้องหันหลบสายตา เขากำลังกลัว กลัวในความหมายบางอย่างที่ซ้อนอยู่ในแววตาที่จ้องมาสบ
อัมรินทร์มองตามแผ่นหลงเล็กที่เดินหนีออกไปจากห้องด้วยรอยยิ้ม ความหมายที่เขาต้องการสื่อมันออกมาให้คนตรงหน้ารับรู้มันก็ตรงตัวกับคำพูดที่เขาพูดออกมา
ตอนนี้เขาก็แค่รอเวลา...
คนเจ้าเล่ห์แสนกลเดินหายเข้าไปในห้องน้ำจัดการอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวจากความเหนื่อยล้าที่มีมาตลอดทั้งวันก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นเสื้อผ้าที่เจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้ กางเกงเป็นแบบยางยืดเขาพอจะใส่ได้อยู่แต่เสื้อยืดที่อีกฝ่ายเอามาให้นี้สิน่าหนักใจ
อัมรินทร์พลิกเสื้อยืดสีขาวในมือไปมาอย่างชั่งใจว่าควรที่จะใส่มันดีหรือไม่เพราะถึงเจ้าของบ้านจะบอกว่ามันคือเสื้อที่ตัวใหญ่ที่สุดแล้วก็ตามแต่สำหรับเขาแล้วมันก็ยังดูตัวเล็กกว่าตัวเขาอยู่ดี
ระหว่างที่กำลังคิดหนักอยู่นั้น อยู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่งของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเปลวอรุณก็ส่งเสียงเรียกร้องความสนใจจากเขาจากสิ่งที่อยู่ในมือให้มามอง
Rrrrrrr
อัมรินทร์วางเสื้อตัวที่วางลงกับเตียงนอนก่อนจะเดินไปยังโต๊ะทำงานของเปลวอรุณมองชื่อของปลายสายที่ปรากฏบนหน้าจอที่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากญาติผู้พี่หน้าเถื่อนที่ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าอะไรที่ไปดลจิตดลใจให้มันโทรหาเขาในเวลานี้ ถ้าไม่ใช่...
// เมื่อไรจะกลับ // นั้นไง
“อยู่บ้านเปลว”
//มึงจะนอนนั้นเลยหรือไงวะ//
“ก็เจ้าของบ้านเขาให้นอนกูก็ต้องนอนสิ” เขาว่ายิ้มๆ พร้อมกับถือโอกาสนี้โดดขึ้นเตียงนอนนุ่มของเปลวอรุณอย่างถือวิสาสะ
// หมายความว่าไง // อนิรุทธิ์ชะงัก
“ตอนนี้กูอยู่ในบ้านเปลวและที่สำคัญกูนอนอยู่บนเตียงของเปลวด้วย” ได้ทีอัมรินทร์ก็ไม่ลืมที่จะคุยอวด
// ตอแหล // ใครมันจะเชื่อ
ก็คิดอยู่แล้วว่าพี่ชายต้องไม่เชื่อดังนั้นอัมรินทร์จึงทำการเปลี่ยนโหมดการโทรใหม่เป็นแบบวีดีโอเพื่อให้คนที่ประณามเขาเมื่อครู่ถอนคำพูด
//เฮ้ย!!! //
อนิรุทธิ์ร้องสุดเสียง ยิ่งอัมรินทร์คว้าหมอนหนุนสีขาวที่วางอยู่ข้างๆ มากอดมาหอมให้เขาดูเพื่อยืนยันคำพูดด้วยแบบนี้เขายิ่งพูดไม่ออก
เอ าจริงดิ...
“เชื่อกูยัง” เจ้าตัวเยาะ
// ได้ไงวะ //
“คืนนี้กูไม่กลับนะ ฝากจุ๊ฟหัวบอกฝันดีคุณมณีนิลให้ด้วยละ บาย”
// ฮะ..ตู๊ดดดดดด //
อนิรุทธิ์สถบหยาบใส่น้องชายที่นอกจากจะไม่อธิบายถึงความเป็นมาว่าเพราะอะไรที่ทำให้จากสตอกเกอร์ฝึกหัดกลายมาเป็นแขกผู้ถูกรับเชิญให้เขาฟัง แล้วไหนจะยังยัดเยียดภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่มาให้เขาอีกต่างหาก
“สงสัยแกจะได้แม่แล้ววะคุณนิล”
ชายหนุ่มถอนหายใจขณะมองไปยัง คุณนิล หรือ คุณมณีนิล สุนัขพันธุ์โดเบอร์เมนเพศเมียวัยหนึ่งปีที่นอนหมอบอยู่บนโซฟากลางห้องนั่งเล่นที่นอนมองเขาอยู่
แล้วเรื่องที่จะถามก็ไม่ได้ถาม…
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจจากนักสำรวจตัวน้องที่กำลังใช้สายตาซุกซนมองนู้นดูนี้ให้หันกลับมาสนใจบานประตูห้องที่เปิดเข้ามาโดยเจ้าของห้องตัวจริง
“ช้าจังเลยเปลว” เขาหันไปพูด ดูจากการแต่งตัวของอีกคนแล้วท่าทางเปลวอรุณคงจะอาบน้ำเรียบร้อยแล้วแต่ถึงอย่างนั้นคิ้วเข้มของอัมรินทร์ก็ขมวดเป็นปมเน้นเมื่อพิจารณาเจ้าชุดนอนผ้าเนื้อลื้นสีขาวที่อยู่บนตัวของเปลวอรุณ
ชุดนอนผู้หญิง
ถึงจะเป็นเสื้อแขนยาวกางเกงขาสั้นแบบเข้าชุดก็เถอะแต่มองยังไงๆ มันก็ดูออกว่าเป็นชุดนอนผู้หญิงอยู่ดี คนถูกมองหรี่ตาใส่พร้อมๆ กับใบหน้าที่เริ่มแดง
“มองแบบนี้หมายความว่ายังไง” เปลวอรุณถามเสียงห้วนกลบเกลี่ยนความเขินอายบ่นโกรธของตน แน่ละใครที่โดยมองตั้งแต่หัวจรดเท้าแถมยังยิ้มขำแบบนี้อีกใครไม่โกรธจนหน้าร้อนก็ไม่รู้จะพูดไงแล้ว
ก็มันใส่สบายนิ...
“เปล่า” อัมรินทร์ยิ้มขำ “นั้นเอาผ้ามาประคบให้ฉันใช่ไหม มาๆ ๆ” ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเห็นว่าเปลวอรุณเริ่มจะหน้างอใส่เขาที่เอาแต่ยิ้มล่อ
“แล้วทำไมคุณถึงไม่ใส่เสื้อ” เปลวอรุณถามพลางมองแผ่นอกหนาและกล้ามหน้าท้องเป็นรอยของคนตรงหน้าที่แม้จะมีรอบช้ำเป็นวงกว้างก็ไม่ได้ทำให้มันดูน่าเกลียด ไหนจะกางเกงเอวยืดที่ดูจะโหลดต่ำจนน่าหวั่นใจนั้นอีก
“ก็มันใส่ไม่ได้ อีกอย่างเดี๋ยวพอเอาผ้าประคบก็ต้องถอดออกอยู่ดี” อัมรินทร์บอก ก่อนจะพาร่างกายสมส่วนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสมบูรณ์ของตนมาแอ่นกายเหยียดขาอยู่กลางเตียง
ถึงจะยังเคืองที่ถูกคนตัวโตกว่าล้อเลียนการแต่งตัวด้วยสายตาแต่เปลวอรุณก็ยอมที่เดินเข้ามานั่งที่ขอบเตียงส่งยาเม็ดเล็กให้อีกคนพร้อมน้ำดื่ม ก่อนจะเริ่มทายาและประคบในส่วนที่เริ่มช้ำจนเห็นชัด
มุมปากช้ำเล็กน้อยแค่ประคบสักสองสามวันก็น่าจะหายแต่ตรงท้องนี้สิที่น่าห่วง
“ขอบคุณ” เปลวอรุณว่าเสียงแผ่ว
“หื้อ”
“ผมบอกว่าขอบคุณ” เขาเพิ่มเสียงขึ้นอีก
“เรื่องอะไรครับ” อัมรินทร์ว่าเสียงหวาน ขยับใบหน้าหล่อที่มีเจลเย็นทาบอยู่ที่แก้มเข้าใกล้เลขาคนสวยของตนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาหลบหน้าเขา
“เรื่องวันนี้” เสียงอ้อมแอ้มของคนที่พยายามเบี่ยงหน้าหลบยามที่เขาเข้าใกล้มาน่ารักน่าแกล้งจนแทบอดในไม่ไหว
“เรื่องเล็กน่า ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะปกป้องเปลวเอง”
“...”
“ต่อจากนี้ถ้าเปลวมีปัญหาอะไรบอกฉันได้เลยนะ ฉันพร้อมเสมอถ้าเป็นเรื่องของเปลว”
ใบหน้าขาวค่อยๆ เงยขึ้นเล็กน้อยพอให้เห็นใบหน้าเจ้าของเสียงนุ่มที่อยู่ห่างไม่ถึงสิบเซน ถึงจะไม่รู้ว่าเขาควรจะเชื่อใจในน้ำคำของอัมรินทร์ได้มาน้อยแค่ไหนแต่เขาเองก็รู้สึกขอบคุณคนตรงหน้าอยู่ไม่น้อยในเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้
ถ้าอัมรินทร์ไม่แอบตามเขามาแล้วจอดอยู่หน้าบ้านเขาเองก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
ทั้งๆ ที่คิดว่าเมื่อคืนจะเป็นค่ำคืนแสนล้ำค่าที่เขาได้ร่วมเตียงเคียงหมอนกับเปลวอรุณแล้วแท้ แต่พอเอาเข้าจริงนอกจากจะไม่ได้กอดสมใจเขายังนอนไม่หลับทั้งคืนอีกต่างหาก
ก็มันตื่นเต้นนี้หว่า...
“ไหวหรือเปล่าลุง”
ตอนแรกก็ว่าจะไม่ทักหรอกแต่พอเห็นใบหน้าที่ดูจะอิดโรยกว่าเมื่อวานที่เจอกันไหนจะใต้ตาคล่ำๆ เหมือนคนอดนอนนั้นแล้วมันอดไม่ได้จริงๆ ที่จะถามออกไป
“ใครเป็นลุงแก” อัมรินทร์ส่วนกลับและอยากจะบอกเหลือเกินจริงๆ ว่า กูอ่อนกว่าแม่มึงอีก...
“เอ้า ไม่ให้เรียกลุงจะให้เรียกไร เรียก พ่อ หรอ” เด็กหนุ่มประชดก่อนจะยกแก้วนมในมือขึ้นดื่ม
“ได้ไหมล่ะ เรียก ‘พ่ออัน’ เร็วๆ ไอ้หนู” ให้เรียกพ่อก็เข้าทางสิ มีแม่แล้วไม่มีพ่อได้ไง
“รอให้แม่เปลวของผมเอาลุงเป็นผัวก่อนแล้วกันผมถึงจะเรียก” อัมรินทร์ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างไม่พอใจกับความรู้ทันของเด็กหนุ่มตรงหน้า
สองหนุ่มมองหน้ากันเหมือนก่อนจะยุติการสนทนาสั้นๆ ของพวกเขาลงแล้วก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าตรงหน้าที่เปลวอรุณเตรียมไว้ให้ วันนี้ตอนเช้าไม่มีอะไรที่เร่งด่วนทำให้อัมรินทร์จึงไม่จำเป็นต้องเร่งรีบกับการกินมื้อเช้าแสนอร่อยตรงหน้าเท่าไร
“เดี๋ยวจานผมล้างให้เอง แม่เปลวไปทำงานเถอะ” ลูกตาลอาสาขึ้นเมื่อเห็นเปลวอรุณกำลังยกจานกลับไปในครัว วันนี้เป็นวันหยุดของเขาเขาจึงมีเวลาว่างทั้งวัน
“เอางั้นหรอ”
“ฮะ”
“งั้นฝากด้วยละกัน จะออกไปไหนก็ล็อกบ้านให้ดีๆ ละ” เปลวอรุณกำชับพร้อมกับส่งกุญแจสำรองที่เขาเพิ่งเอาปั๊มมาใหม่ให้ลูกตาลรับไป
“ครับแม่” เด็กหนุ่มยิ้มรับ นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่มีใครมาให้เรียกว่า แม่ แบบนี้
อัมรินทร์ที่ไม่อยากจะขัดจังหวะสองแม่ลูกก็ทำเพียงแค่แตะเบาๆ ที่ข้างเอวของเปลวอรุณเป็นสัญญาณให้เจ้าตัวสิ้นสุดการล่ำลายามเช้า
ตอนแรกลูกตาลตั้งใจจะแค่เดินมาส่งคนทั้งสองที่หน้าประตูรั้วแล้วค่อยไปรดน้ำต้นไม้ แต่ยังไม่ทันที่เปลวอรุณกับอัมรินทร์จะเดินพ้นบานประตูบ้านไปขึ้นรถของอัมรินทร์ที่จอดรออยู่ รถยนต์สีขาวที่แสนคุ้นเคยก็ขับมาจอดหน้าบ้านอย่างรวดเร็วทำเอาคนหน้านิ่งดึงหน้าตึงอย่างไม่พอใจทันที
“นี้มันอะไรกัน”
พิมพาถามขึ้นเสียงดังทันทีที่ออกมาจากตัวรถนัยน์ตาที่แฝงความหงุดหงิดเอาไว้กวาดมองผู้ชายแปลกหน้าทั้งสองที่ยืนขนาบข้างเปลวอรุณอย่างนึกสงสัยก่อนที่เรียวปากบางจะเหยียดยิ้มออกมา
“อ๋อ นี้พอฉันไม่อยู่แกก็ลากผู้ชายมานอนกกในบ้านถึงสองคนเลยงั้นหรอ”
“หุบปากของเธอสะพิมพา” เปลวอรุณพูดเสียงนิ่งแต่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
หายไปตั้งสองวันกลับมาก็ปากหมาเลยนะ....
“ทำไม ฉันพูดแทงใจหรือไง” พิมพาเหยียดก่อนจะเดินเข้ามาใกล้อัมรินทร์เหมือนสำรวจ
“รสนิยมดีนิ เลือกผู้ชายรวยนี้กะจะสบายไปทั้งชาติเลยละสิ” หล่อนว่าด้วยสายตาเป็นประกายยามจ้องมองสูทอามานี่เนื้อดีกับนาฬิกาเรือนหรูที่แนบอยู่กับข้อมือหนาของอัมรินทร์
“ฉันนะไม่ใช่เธอที่คิดจะเกาะผู้ชายกิน” เปลวอรุณกอดอกมองหน้าพิมพานิ่ง
“นี้แก”
“อีกอย่างนะ นี้คุณอัมรินทร์เจ้านายของฉัน” พิมพาทำหน้าเหมือนไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไรกับคำแนะนำของเปลวอรุณ
ใครจะรู้...
“ส่วนนี้ลูกตาลลูกชายของฉัน”
“ลูก แกไปมีลูกตอนไหนทำไมฉันถึงไม่รู้” พิมพาหน้าเปลี่ยนกับคำแนะนำของลูกเลี้ยง
“แล้วทำไมฉันต้องบอกเธอทุกเรื่องด้วย แต่ไหนๆ ก็รู้แล้วจำเอาไว้อีกสักเรื่องก็ดีนะตั้งแต่วันนี้ไปตาลจะมาอยู่ที่บ้านนี้”
“อะไรนะ” พิมพาแว๊ดเสียงขึ้นสูงอย่างตกใจ
“นี้แกจะบ้าหรือไง ทำไมถึงคิดจะเอาเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนี้เข้ามาอยู่ที่บ้าน”
“แล้วเธอละมีหัวนอนปลายเท้าหรือไง”
“แก! ”
“นี้บ้านฉัน การที่ฉันจะเอาใครเข้ามาอยู่มันเรื่องของฉัน แล้วก็ไม่ต้องห่วงนะลูกชายฉันฉันเลี้ยงเองได้ไม่รบกวนเธอหรอกเพราะขนาดผีไร้ญาติที่คอยเกาะแข่งเกาะขาขอส่วนบุญจากฉันอย่างเธอฉันยังเลี้ยงมาได้ตั้งสิบปีกะอีแค่ลูกคนเดียวฉันไม่ตายหรอก ไม่ต้องห่วง”
_____________________________________________________