บทที่ 2 (1)
บทที่2
ร่างบางวิ่งเข้ามาในบ้านทันก่อนที่จะเปียก วางตัวเล็กลงก่อนจะหันกลับไปเพื่อจะดึงประตูปิดหลังจากที่ผู้เป็นพ่อได้ก้าวพ้นประตูเข้ามา แต่ประตูกลับติดปิดไม่ได้เมื่อมีมือใหญ่ยื่นมาดันเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนสิเธอ ฉันยังไม่ได้เข้าเลย” ร่างสูงใหญ่เปียกโชกยืนหนาวสั่นอยู่ด้านนอกส่งเสียงบอกหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านใน
“คุณก็กลับไปโรงแรมที่พักของคุณสิ บ้านของฉันมันหลังเล็ก คงไม่พอที่จะต้อนรับคุณชายอย่างคุณหรอก”
พูดจบไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มตั้งตัวหรือดึงประตูไว้ได้ หญิงสาวก็รีบดึงประตูปิดลงกลอนด้านในทันที ปล่อยทิ้งให้ชายหนุ่มได้แต่ยืนขบฟันอยู่ด้านนอก ‘ ยัยตัวแสบเอ้ย อย่าให้ถึงทีของฉันบ้างก็แล้วกัน ’
ร่างเปียกโชกของคำก้อนวิ่งมาหาเจ้านายหนุ่มด้วยสีหน้าที่วิตกกังวล
“ทำอย่างไรกันดีครับคุณภู ฝนตกหนักอย่างนี้ผมคิดว่าคงไม่หยุดง่ายๆหรอกครับ”
ภูวิชเสยผมที่มาปรกหน้าผากขึ้นไปลวกๆด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว
“ฉันจะรู้ไหมละคำก้อน หัดคิดเองบ้างสิ อย่าเอาแต่มาถามๆฉัน”
“อ้าว!! ” คำก้อนเกาศีรษะที่ค่อนข้างบางของตัวเองอย่างงงๆ
‘ไม่ถามก็ว่า พอถามก็บอกให้คิดเอง ไอ้คำก้อนจะรู้ไหมเนี่ยว่าจะเอาไง’ คำก้อนไม่มีเวลางงมากนัก เมื่อร่างสูงก้าวออกจากชายคาบ้านน้อยไปที่รถ
“ไปโรงแรมเลยใช่ไหมครับ” คำก้อนไม่ได้รับคำตอบเป็นคำพูดแต่..คำตอบมาเป็นสายตาขุ่นเขียวแทน
อย่างไม่รอให้ถูกด่าทางสายอีกต่อไป ชายสูงวัยเข้าประจำที่สตาร์ทรถเข้าเกียร์ออกจากบ้านหลังน้อยทันที แต่พอขับไปได้นิดเดียว ล้อหลังก็ตกลงไปในหล่มที่คนขับไม่ทันระวัง
“รถเป็นอะไรคำก้อน” เสียงที่ขุ่นเขียวของเจ้านายทำเอาคำก้อนยิ่งเงอะงะงกเงิ่น
“ไม่ทราบเหมือนกันครับคุณภู แต่คิดว่ารถน่าจะติดหล่มครับ”
“รถติดหล่ม?”
“ครับ”
“อ้าวครับอะไร ครับก็ไปดูสิ มัวนั่งทำซากอะไร นั่งอยู่อย่างนี้จะได้กลับไหม”
น้ำเสียงที่แม้จะไม่กระโชกโฮกฮาก แต่ก็ทั้งแข็งทั้งดุ คำก้อนทำคอย่นรีบลนลานเปิดประตูรถออกไปดูล้อที่ติดหล่มลึกยากที่จะพารถขึ้นมาได้ จากนั้นจึงเปิดประตูรถเข้าไปบอกคนเป็นนายที่นั่งหน้าตูมอยู่ในรถว่า
“คงต้องทิ้งรถไว้ที่นี่ แล้วกลับไปที่บ้านเด็กคนนั้นแล้วละครับ หล่มลึกมากต้องหาคนเอารถมาช่วยดึง”
คำก้อนเตรียมที่จะถูกนายด่า แต่ผิดคาดเมื่อชายหนุ่มยอมที่จะก้าวลงรถแต่โดยดี เดินนำหน้าคำก้อนย้อนกลับบ้านน้อยหลังนั้น
“พ่อว่าลูกจะใจดำกลับคุณคนนั้นไปหน่อยหรือเปล่าลูก” ประชาพูดเสียงอ่อยกับบุตรสาวอย่างเกรงใจ เหลือบมองเตือนใจเมียคู่ทุกข์คู่ยากที่ลำบากมาด้วยกัน ก็เห็นฝ่ายนั้นไม่ค่อยสนใจอะไรกับใครนอกจากร่างเล็กกลมป้อมที่อยู่บนตัก
หลังจากรู้ว่ามีคนมาอ้างสิทธิ์ในตัวหลานชาย นางเตือนใจก็เอาแต่นิ่งไม่พูดจากับใคร นอกจากจะกอดรัดร่างเล็กไม่ยอมให้ห่างกาย
“พ่อคิดว่าดาวใจดำหรือคะ ผู้ชายคนนั้นต้องการที่จะมาพรากน้องภาไปจากเรานะคะ เขาไม่ใจดำยิ่งกว่าหรือคะ”
“พ่อรู้ๆ แต่ดาวอย่าลืมสิ ที่ดาวบอกพ่อว่าเขามีเอกสารหลักฐานทุกอย่างว่าเป็นลุงของน้องภา และมันเป็นสิทธิ์ของเขาที่จะเอาน้องภาไปเลี้ยงดู”
“แต่เราก็เลี้ยงน้องภามานานแล้วนะคะพ่อ เขามีสิทธิ์อะไรมาพรากน้องภาไปจากเรา”
“ดาว ลูกฟังที่พ่อพูดหรือเปล่า เขาเป็นลุง เขามีเงิน เขามีฐานะดี ดีพอที่จะดูแลน้องภาให้สุขสบาย น้องภาอยู่กับเราไม่มีวันที่จะมีความสุขสบายได้เท่าอยู่กับเขาหรอกลูก เชื่อพ่อเถอะ”
ถึงจะเถียงไม่ออกต่อคำพูดของบิดา แต่หญิงสาวก็อดที่จะหวง ไม่อยากให้ใครมาพรากหลานชายไปจากอกของเธอ หันไปมองมารดาที่นั่งกอดหลานชายไม่ยอมห่าง หญิงสาวก็ถึงกับแอบกัดริมฝีปากบางไว้เพื่อกลั้นเสียงสะอื้นที่ตีตื้นขึ้นมา
ทำไมครอบครัวขอเธอถึงได้ยากจนอย่างนี้นะ ขนาดอยากจะเลี้ยงหลานชายสักคนหนึ่งก็ยังทำไม่ได้ ต้องยอมให้คนที่มีอำนาจและเงินตรามาพรากหลานรักขวัญใจของทุกคนไป
“ทำใจเถอะแม่เตือน ลูกดาว เราทำดีที่สุดได้แค่นี้แหละ”
สามคนพ่อแม่ลูกมองหน้ากันก่อนจะต่างคนต่างเมินมองไปคนละทาง ไม่ต้องพูดอะไรออกมาทุกคนก็รู้ว่าพวกเขาเสียใจไม่ต่างกันเลยสักนิด
ปังๆๆๆๆๆๆๆๆ