บทย่อ
เขามาบ้านไร่เพื่อตามหาหลานชายวัยสามขวบส่วนเธอคือผู้ปกครองจำเป็นของเด็กชาย เธอพยายามปกป้องไม่ให้หนุ่มจากเมืองกรุงมาเอาตัวหลานไปได้เมื่อศึกรบ กลายเป็นศึกรัก อุปสรรคที่มีช่างมากมาย พรหมจรรย์ที่เธอหวงแหนก็ถูกเขาช่วงชิงไปจนหมดสิ้น
บทที่ 1 (1)
บทที่1
‘หิวจังเลยเมื่อไหร่จะปล่อยพักกินข้าวเสียทีนะ’ ปรายดาวคิดพลางถอนใจ
“เฮ้อ!!” เกิดมาจน ต้องมาทำงานเป็นลูกจ้างเขาก็เป็นแบบนี้แหละ
ปรายดาวทำงานไปใจก็คิดสงสารตัวเองไป นี่ถ้าไม่เพราะเธอเป็นลูกสาวคนเล็กในจำนวนพี่น้องสองคนละก็เธอคงไม่อยู่หรอก บ้านนอกแบบนี้ ทำงานได้ค่าแรงวันละร้อยกว่าบาทแค่ค่ากับข้าววันๆก็แทบจะไม่พอ นี่ดีที่เธอทำนาไม่ต้องซื้อข้าวกิน ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงแย่
พี่ประภาพี่สาวคนโตไปทำงานกรุงเทพ แต่ไม่เคยติดต่อมาเลย นี่ก็เกือบสามปีแล้วหลังจากที่เอาเจ้าลูกชายวัยสองเดือนมาฝากให้เธอกับพ่อแม่เลี้ยงบอกว่าเป็นลูก แต่ปรายดาวก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าพี่สาวไปอยู่ที่ไหนเวลานี้ ไม่คิดถึงลูกบ้างเลยหรือ
“เอ้า ได้เวลาพักกินข้าวกลางวันแล้ว” เสียงเจ้าของไร่ข้าวโพดตะโกนบอกคนงานนับสิบ
ทุกคนรวมทั้งปรายดาวพากันหยุดวางมือจากงานที่ทำพร้อมกับพากันถอนหายใจ เฮ้อ!!ได้เวลาพักเสียที
“น้องดาวจ๋า วันนี้ห่อข้าวกับอะไรมาจ๊ะ” สมบัติหนุ่มใหญ่ในหมู่บ้านเดียวกันที่มาทำกะลิ้มกะเหลี่ยจีบปรายดาวทั้งที่ไม่ดูวัยตัวเองเดินป้อเข้ามาถามด้วยดวงตาเยิ้มฉ่ำ
“ไม่มีแกงหรอกผักต้มผักน้ำพริกนะน้า” ปรายดาวตอบพร้อมกับจะเดินจากไปเพราะกำลังหิว
“ เดี่ยวสิดาวจะรีบไปไหน” สมบัติพูดพร้อมกับเอื้อมมือมาจับแขนปรายดาวไว้ หญิงสาวหันขวับมามองสมบัติตาเขียวขุ่น
“ปล่อยมือฉันเดี๋ยวนี้น้าบัติ อย่าทำให้ใครนินทาว่าฉันลดตัวไปยุ่งกับคนอย่างน้า” ปรายดาวพูดใส่หน้าสมบัติอย่างไม่เกรงใจพร้อมกับสะบัดแขนให้หลุดจากการถูกเกาะกุม
“ทำไมนังดาว คนอย่างฉันสมบัติ มีอะไรให้น่ารังเกียจ แกถึงพูดกับฉันอย่างนี้ พูดถึงฐานะฉันก็อยู่ในขั้นดีกว่าแก”
สมบัติพูดด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเมื่อถูกเด็กสาวรุ่นหลานพูดจาดูถูก
“จะไม่ให้พูดอย่างนี้ได้ยังไง น้าดูตัวน้ากับฉันสิ น้าอายุเท่าไหร่ ฉันอายุเท่าไหร่ แก่แล้วยังไม่เจียม ฉันพูดด้วยก็ดีเท่าไหร่แล้ว ยังจะมาลามจับมือถือแขนฉันอีก อยากให้เด็กอย่างฉันถอนหงอกหรือน้า”
สมบัติได้ยินเด็กสาวพูดจาไม่ไว้หน้าแบบนั้นถึงกับตัวสั่นด้วยความโกรธ กระชากแขนเด็กสาวอย่างแรง โดยที่เด็กสาวไม่ทันตั้งตัว ร่างบางของเธอจึงเซไปปะทะร่างสูงใหญ่ อวบท้วมผิวเข้มค่อนข้างดำของนายสมบัติ และขณะที่ปรายดาวกำลังจะเสียท่าอยู่นั้น…
“เฮ้ย เกิดอะไรกันขึ้นวะ ไอ้สมบัติ นั่นเอ็งจะทำอะไรนังดาวมัน”
ตาวงศ์เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้บ้านปรายดาวที่สุด และเป็นลุงของนายสมบัติรีบวิ่งแหวกไทยมุงเข้ามา ตอนนี้เองที่ปรายดาวรู้ว่ามีกลุ่ม
คนงานด้วยกันยืนมุงดูกันอยู่ แต่ไม่มีใครคิดจะช่วยเหลือ เพราะทุกคนค่อนข้างจะกลัวนายสมบัติ ซึ่งทำตัวกร่างเป็นนักเลง ตีหัวหมาด่าแม่เจ๊กหาเรื่องเขาไปทั่ว จนชาวบ้านพากันเอือมระอาไม่มีใครอยากจะยุ่งด้วย
“ว่าไงไอ้สมบัติ ข้าถามทำไมมึงไม่ตอบ แล้วก็ปล่อยนังดาวมันด้วยตัวโตยังกับควายรังแกเด็กอย่างนังดาว มันน่าภูมิใจนักหรือมึง” ตาวงศ์ชายแก่วัย 60 กว่า ผมหงอกค่อนข้างจะขาวไปทั่วศีรษะเอ่ยแกมถามหลานชายจอมเกเรสมบัติได้ยินลุงด่าต่อหน้าชาวบ้านก็ถึงกับมีอาการหน้าตึง แต่ไม่กล้าโวยวายมาก เพราะตาวงศ์เองก็เคยเป็นนักเลงเก่าแถมหมัดยังหนักอีกต่างหาก ถ้าพูดไม่ถูกหูมีหวังโดนกำปั้นของคนแก่ๆอย่างตาวงศ์แน่ๆ
“โธ่ ลุง ฉันแค่คุยกับนังดาวมันดีๆ มันกลับด่าฉัน ลุงจะให้ฉันทำยังไง” สมบัติยอมปล่อยปรายดาวพร้อมกับพูดเสียงอ่อน
“อ๋อ ข้าเห็นนะว่าเอ็งแต๊ะอั๋งนังดาวมัน มันไม่ตบเข้าให้ก็อย่างดีแล้ว ลูกเขามีพ่อแม่ เอ็งมาทำอย่างนี้ได้ยังไง ไอ้บ้าเอ๊ย!!”
ตาวงศ์พูดอย่างมีอารมณ์ ถึงแกจะเคยเป็นนักเลงแต่แกก็มีศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายที่ไม่เคยทำร้ายผู้หญิง
“แล้วพวกเอ็งก็รีบแยกย้ายกันไปกินข้าวได้แล้ว มามุงดูอะไรกันวะเดี๋ยวได้เวลาทำงาน” หันไปบอกพวกไทยมุงด้วยเสียงเข้ม
“แล้วเอ็งก็เหมือนกันไอ้สมบัติ เลิกยุ่งกับนังดาวมันได้แล้ว เด็กไม่ชอบ เอ็งจะไปบังคับทำไม อีกอย่างเอ็งกับนังดาวมันคนละรุ่นกัน โตแล้วหัดมีหัวคิดบ้างนะ ไอ้หลานชาย” จากนั้นตาวงศ์จึงหันมาหาปรายดาว
“เอ็งไปกินข้าวเถอะดาวเอ้ย เดี๋ยวได้เวลาทำงานจะไม่มีเวลากินเอา ไอ้เจ้าของไร่มันยิ่งเขี้ยวอยู่” ตาวงศ์พูดจบก็เตรียมเดินจาก
“ขอบคุณตาวงศ์มากนะจ๊ะที่มาช่วยดาว ถ้าตาวงศ์มาไม่ทัน ดาวคงแย่แน่ๆเลย” ปรายดาวพูดพร้อมกับยกมือไหว้ตาวงศ์
“เฮ้ย!! ไม่เป็นไร ไอ้สมบัติมันหลานข้า มันทำไม่ดี ข้าก็ต้องช่วยสั่งสอนมันอยู่แล้ว โน่น! ขอบใจไอ้บุญมาเพื่อนเอ็งโน่นที่มันกระหืดกระหอบไปบอกข้าให้มาช่วยเอ็ง”
ตาวงศ์พูดพร้อมกับเดินจากไป ทุกคนไปกันเกือบหมดแล้วเหลือเพียงแก้วกับบุญมาชายผิวดำร่างสูง ซึ่งเป็นเพื่อนกันมานาน
“ขอบใจนะบุญมาที่ตามตาวงศ์มาช่วยดาว ถ้าไม่ได้บุญมาเราคงแย่แน่ๆเลย” ปรายดาวพูดพร้อมกับยิ้มให้เพื่อนหนุ่มอย่างหวานหยด บุญมายิ้มรับเพื่อนสาวอย่างคนอารมณ์ดี
“ไม่เป็นไรหรอกดาว ว่าแต่มาช่วยทันใช่ไหม”
“จ้ะ ทัน..ปะ ! บุญมา เราไปกินข้าวกันเถอะ หิวจัง”
จากนั้นหนุ่มสาวทั้งสองจึงเดินเคียงกันไปยังห่อข้าวของตนเองและเอาข้าวออกมาแบ่งกันกินอย่างเอร็ดอร่อย
พอถึงช่วงบ่ายได้เวลาทำงาน คนงานจึงทยอยกันออกไปทำงาน รวมทั้งปรายดาวและบุญมา ตกเย็นจึงเรียงแถวกันเพื่อรับเงินค่าจ้าง เสร็จแล้วจึงทยอยกันขึ้นรถอีแต๋นเพื่อกลับบ้าน