บทที่ 1 (3)
“เอ่อ..คุณภูครับ” เสียงคนขับรถวัยกลางคนดังขัดขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศที่น่าอึดอัดสำหรับทุกคน
“มีอะไรนายคำก้อน ฉันกำลังคุยธุระอยู่ไม่เห็นหรือไง” ส่งสายตาพิฆาตคนรับใช้เล็กน้อย ก่อนจะตวัดมาหาคนตัวเล็กตรงหน้าที่ยืนจ้องหน้าเขาไม่มีหลบ
“คือ..ผมจะบอกคุณภูว่ามันเย็นแล้วครับ ผมคิดว่ารีบๆคุยให้เสร็จๆไปดีกว่าจะมาทะเลาะกันนะครับ แล้วฝนก็ทำท่าจะตก หากคุณภูไม่รีบกลับโรงแรม ผมกลัวว่าจะไม่ทันฝนครับ”
ถึงจะกลัวสายตาที่มองมาประมาณว่าฝากไว้ก่อนเถอะแกของภูวิช แต่คำก้อนก็ต้องเตือนไม่อย่างนั้นพอเกิดอะไรขึ้นชายหนุ่มจะหาว่าเขาไม่เตือนอีก
“ ฉันรู้แล้ว ไปรอที่รถ เสร็จธุระแล้วฉันจะเรียกเอง” คำสั่งของชายหนุ่ม คำก้อนคนขับรถแปลได้ว่าให้เขาออกไปก่อนหากยังไม่ถูกเรียกชื่อเขาไม่ต้องเสือกมาเสนอหน้านั่นเอง
หลังจากตวาดคนขับรถเสร็จชายหนุ่มก็หันกลับมาหาหญิงสาวตรงหน้าด้วยรอยยิ้มหยัน
“ฉันไม่อยากอ้อมค้อม ขอบอกเธอเลยละกันว่าฉันจะมารับหลานชายฉัน”
ปากบอกมารับหลานชายแต่ตากลับมองตรงมาที่ร่างอ้วนกลมในอ้อมแขนของหญิงสาว ปรายดาวรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับน้ำเสียงและสายตาของผู้ชายยโสตรงหน้า
“จะรับหลานคุณที่ไหนก็ไปรับสิ มาบอกฉันทำไม” ปรายดาวตอบก่อนจะเบี่ยงร่างหันหลังให้เขาทำท่าจะเดินเข้าบ้านทันที
“เดี๋ยว!!! ตัวเธอจะไปไหนก็ไป แต่ช่วยวางนายตัวเล็กหลายชายฉันลงด้วย” คำพูดของหนุ่มแปลกหน้าทำให้เท้าของหญิงสาวชะงักไม่ต่างไปกับประชาที่กำลังก้าวเท้าตามลูกสาว
“ใคร!! หลานคุณนี่น้องภาหลานชายคนเดียวของฉัน” หญิงสาวหันกลับมาเถียงเสียงดัง
“จะใครที่ไหน ก็เด็กที่เธอถือสิทธิ์มาอุ้มอยู่นั่นไง นั่นแหละหลานชายคนเดียวของตระกูลอัครโยธิน”
คำพูดของชายหนุ่ม ทำเอาสองพ่อลูกพากันตกใจหันมามองหน้ากัน เลิกลัก
“เอ่อๆ คุณครับผมว่าคงมีการเข้าใจผิดกันแน่ๆเลยครับ นี่มันน้องภาหลานชายคนเดียวของผมที่เกิดจากประภาลูกสาวคนกลางของผมนะครับ ไม่ใช่หลานชายอะไรของคุณหรอก”
ประชาบอกเสียงหนักแน่น แต่สีหน้ามีร่องรอยแห่งความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่มีการเข้าใจผิดอะไรกันทั้งนั้น นี่คือหลานชายของฉัน ที่เกิดจากน้องชายคนเดียวของฉัน” ภูวิชบอกคนในตระกูลมีบุญด้วยสีหน้าที่เรียกว่ายิ่งกว่าหยิ่งในสายตาของคนมอง
“ไหนละหลักฐาน คำพูดลอยๆของคุณไม่มีใครเชื่อหรอก ถึงคนที่นี่จะบ้านนอก จะไร้การศึกษาในสายตาคุณ แต่พวกเราก็ไม่ได้โง่อย่างที่คุณคิด”
“ นี่เธอ!!”
“อะไร!! เรียกฉันทำไม ตกใจล่ะซี้ ที่ฉันฉลาดรู้เท่าทันคุณ”
ภูวิชปรายสายตามองคนตัวเล็กที่ประกาศปาวๆว่าตัวเองฉลาดด้วยสายตาที่หยามหยัน ฮึ!!ฉลาดจัดละแม่คุณ การศึกษาจะถึงปอหกหรือเปล่าเหอะ ซ่อมซ่อยากจนขนาดนี้ ไม่น่าจะถึง
“หลักฐานที่เธอถามหามีอย่างแน่นอน คนอย่างฉันไม่พูดอะไรพล่อยๆออกมาหรอกหากไม่มีหลักฐาน”
“มีก็เอามายืนยันสิ ฉันไม่มีเวลามาโต้คารมกับพวกโรคจิตที่ชอบแอบอ้างเอาลูกหลานคนอื่นเป็นลูกหลานของตัวเองหรอกนะ”
สันกรรไกรถูกขบบดเข้าหากันอย่างโกรธๆ หนอย...ยัยตัวแสบมาหาว่าเขาเป็นพวกโรคจิต ดีละเดี๋ยวจะรู้สึกว่าคนอย่างนายภูวิชไม่ใช่เพื่อนเล่นที่ผู้หญิงอย่างบ้านนอกเธอจะมาล้อเล่น หรือตีฝีปากด้วยได้
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปด้านหลังหยิบกระเป๋าสตางค์ใบย่อมออกมาเปิด หยิบบัตรประชาชนและบัตรอะไรอีกหลายใบส่งให้หญิงสาว รวมทั้งใบสุดท้ายคือใบเกิดของเด็กชายตัวน้อยนั้นด้วย
“นี่ไง หลักฐานที่เธอถามหา หลักฐานแค่นี้พอไหม หรือเธอต้องการที่จะดูมากกว่านี้ ฉันจะได้ให้คนของฉันกลับไปเอามาให้อีก”
แวบหนึ่งชายหนุ่มรู้สึกสะใจที่ได้เห็นแม่คนปากดีมีสีหน้าที่ซีดลงๆ แต่อีกแวบหนึ่งของความรู้สึกกลับบอกตัวเองว่า เขาสงสารเธอ รอยหม่นที่พาดผ่านดวงตากลมโตคู่สวยยามเงยขึ้นสบตาเขา ทำให้หัวใจที่เคยแข็งกระด้างของชายหนุ่มอ่อนยวบ
“หลักฐานที่คุณให้มา เห็นได้ว่าคุณเป็นลุงของน้องภาจริงๆ แต่ฉันไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือเปล่า” เสียงหญิงสาวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะเชิดหน้าพูดต่อว่า
“แล้วหากว่าเป็นของจริง ฉันขอถามหน่อยทำไมคุณทิ้งระยะเวลาในการตามหาตัวน้องภานานถึงสามปี หากคุณจะกรุณาช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหม”
ภูวิชยิ้มนิดๆที่มุมปาก ทุกคนในที่นั้นมองเห็นว่าเป็นรอยยิ้มของคนเป็นต่อ แต่สำหรับภูวิชแล้วมันคือรอยยิ้มชื่นชมที่เธอฉลาดทันคน “ได้สิ ถ้าเธออยากรู้ ฉันจะช่วยสงเคราะห์เล่าให้ฟัง”
ภูวิชก็ยังคงเป็นภูวิช ที่ชอบใช้คำพูดดูถูกคนที่ต่ำต้อยกว่าตัวเองไม่เปลี่ยน
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้..”
ครืนนน!!
ยังไม่ทันที่จะรู้เรื่องกัน ฟ้าก็พิโรธส่งน้ำลงมาชโลมพสุธาอย่างไม่ลืมหูลืมตา แถมยังส่งเสียงคำรามไม่หยุด ปรายดาวอุ้มเจ้าตัวเล็กวิ่งเข้าบ้าน โดยไม่ยอมเสียเวลาหันมามองคนตัวสูงเลยสักนิด