๒ ความสบายใจยามอยู่ใกล้กัน (๒)
และเมื่อเขาขอเป็นแฟน...ไม่แปลกเลยที่เขมิกาจะตอบรับ ความหวานผ่านมาเพียงสามเดือนก็เหมือนจะขมเสียแล้ว
“หือ อะไรเหรอ” เห็นดวงตากลมมองไปยังชายหญิงคู่หนึ่ง เขาจึงเพ่งมองด้วยก่อนพบว่าตนรู้จักกับหญิงผู้นั้นเป็นอย่างดี ถึงจะไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ก็ตาม
“รู้จักด้วยเหรอ”
“ผู้ชาย...เป็นแฟนของไข่” ตอบเสียงเบาเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง มือที่ถือแก้วน้ำอัดลมเอาไว้ปล่อยวางข้างลำตัว หล่อนไม่รู้ว่าตนเองควรรู้สึกอย่างไร เพราะเพื่อนก็เคยเตือนมาหลายครั้งว่าเขาดูไม่จริงใจ ทว่าเธอก็คอยแก้ต่างให้เสมอ
จนวันนี้ได้เห็นกับตาตัวเองว่าสิ่งที่เพื่อนพูดเป็นความจริง จารุพิชญ์นอกใจเธอและคบกับหญิงอื่นลับหลัง
อหัสกรเห็นแววตาเศร้าของเธอก็ทนไม่ไหว เขาวางของทั้งหมดลงบนโซฟาก่อนก้าวเท้ายาวเพื่อเข้าไปหาคนทั้งสองที่ออกมาจากแถวจองตั๋วหนังพอดี ถึงร่างหนาเลือกจะจ้องไปที่ผู้ชายที่สร้างความเสียใจให้แก่น้องสาวเพื่อน
แต่ก็เลือกจะฉีกยิ้มการค้าพลางทักผู้หญิงสาวที่ตนคุ้นหน้าค่าตาเป็นอย่างดี เพราะเจอกันบ่อยสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
“มินนี่!” ร้องเรียกเสียงดังจนหล่อนเหลียวมอง พลันริมฝีปากก็ยกยิ้มยินดี แล้วปล่อยมือจากแฟนเพื่อเข้ามาหาเพื่อนที่ไม่เจอกันนานหลังจากเรียนจบ
“อ้าวแมน ไม่เจอกันนานเลย สบายดีไหม” ด้วยความหล่อเหลาและกลุ่มเพื่อนผู้เป็นที่เลื่องลือ ใครบ้างจะไม่รู้จักพวกเขา อีกทั้งหน้าตาโดดเด่นทำให้สาวหลายคนเหลียวมอง ก็กลายเป็นจดจำยากลืมเลือน ไหนจะชื่อเสียงของเขาอีก
หนุ่มผู้รักสนุก...และไม่คิดจะหยุดที่ใคร
“สบายดี สบายดีมากเลย เธอล่ะ...มากับแฟนเหรอ” ยิ้มให้เธอแล้วมองร่างสูงที่ยืนข้างกัน สายตาที่ส่งมาไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ ทั้งที่เจอกันครั้งแรกเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดแฟนของเขมิกาถึงไม่ชอบตน
แต่ก็ไม่ค่อยแปลกใจแล้วล่ะ...เพราะเขาเองก็ไม่ชอบอีกฝ่ายเหมือนกัน ถึงตนจะเจ้าชู้คุยกับหญิงหลายคน ทว่าไม่เคยทำร้ายจิตใจใครด้วยการคบแล้วหักหลัง
“ใช่ แฟนฉันเอง..พี่จอห์นคะ นี่แมนเพื่อนสมัยเรียนมหา’ลัยของมินเอง” แนะนำคนทั้งสองให้รู้จักกัน หนุ่มผู้อัธยาศัยดีก็พยักหน้าแล้วยิ้มการค้าให้อีกฝ่าย แม้คนชื่อจอห์นแทบจะไม่ยิ้มให้ตนเองเลยก็ตาม
“สวัสดีครับ” เป็นเขาที่ทักแล้วค้อมศีรษะลงเล็กน้อย ความสูงที่ต่างกันทำให้แววตาอหัสกรยามมองแฟนของเพื่อนกดต่ำลง แล้วจารุพิชญ์ก็รู้สึกเสียเปรียบที่ความสูงของตนน้อยกว่า
“นายมาดูหนังคนเดียวเหรอ...เหงาเกินไปหรือเปล่า” ทักทายพอหอมปากหอมคอก็มองซ้ายขวา ไม่เห็นหญิงข้างกายเพื่อนจึงเกิดความสงสัย
คนอย่างอหัสกรผู้ป็อปปูล่าในหมู่รุ่นพี่รุ่นน้องมีหรือจะมาคนเดียว หล่อนไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่เพราะชื่อเสียงของเขาเลื่องลือ มีแต่คนที่อยากเล่นกับไฟเท่านั้นแหละถึงได้กล้าเข้ามาลองคุยกับเขา ซึ่งส่วนมากไม่ค่อยได้พัฒนาไปมากกว่าคนคุยหรอก
คำถามของเธอตรงกับสิ่งที่เขาต้องการพอดี ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากแล้วเหลือบมองจารุพิชญ์ คราวนี้สนุกแน่
“มาคนเดียวได้ไงล่ะ..แป๊บนะ” เดินกลับมาหาเขมิกาซึ่งนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม หล่อนเมินหลบสายตาของเขาที่กำลังจ้องมา ดูก็รู้แล้วว่าอหัสกรมีแผนบางอย่างในใจ
มือหนาคว้าเข้าที่ข้อมือเล็ก พยายามดึงให้หล่อนลุกจากโซฟาแต่ร่างบางก็ยื้อเอาไว้ เธอไม่ต้องการเข้าไปหาคนทั้งสองที่ยืนควงแขนกัน กลัวว่าจะบังคับตัวเองเอาไว้ไม่ได้ ทว่าต้านแรงของเขาไม่ไหวจึงทำได้เพียงเดินตามหลัง
หญิงสาวพยายามก้มหน้าให้มากที่สุด ไม่ต้องการเจอกับจารุพิชญ์ เพราะหล่อนเองก็ไม่ทราบว่าจะพูดอะไรกับเขา
“ฉันมากับแฟน นี่หนูไข่...แฟนของฉันเอง” เมื่อเห็นเธอก้มหน้าเหมือนตนเองเป็นฝ่ายผิด ก็จัดการโอบไหล่เล็กไว้ พลางดึงเข้าใกล้ตนเอง เหมือนเป็นการบังคับไม่ให้เธอเอาแต่ก้มหน้าก้มตาราวกับเป็นฝ่ายผิด
เพราะคนที่ผิดตัวจริงคือผู้ชายตรงหน้าต่างหาก
จารุพิชญ์เผยอปากค้างเมื่อเห็นหน้าผู้หญิงที่มากับอหัสกร ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากแล้วเผลอปลดมือของแฟนออกจากแขนตนเอง โดยที่เขาก็แทบไม่รู้ตัวว่าทำแบบนั้นทำไม จนมินนี่ต้องมองหน้าคนรักแล้วเลือกจะจับมือแทน
“โอ้ มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วเหรอ ดีใจด้วยนะคะ เขาไม่ค่อยคบใครจริงจังหรอก” เอ่ยล้อเลียนเพื่อนร่วมรุ่นแล้วแสดงความยินดีกับคนที่ได้หัวใจเขาไปครองสักที พวกตนก็ลุ้นเหมือนกันว่าคาสโนว่าหน้าหล่อจะตกลงปลงใจกับใคร
สาวสวยคนไหนกันนะ...จะมาพิชิตใจของเขาไว้ได้
เขมิกาไม่รู้จะตอบว่าอะไรจึงทำได้เพียงแค่ยิ้ม พยายามลืมตาเอาไว้อย่างนั้นกลัวว่าจะร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น หล่อนเลือกกัดฟันแน่นข่มอารมณ์เอาไว้
เพิ่งมีรักครั้งแรกก๊อกหักเสียแล้ว เพื่อนต่างเตือนให้ระวังผู้ชายหน้าซื่อแต่ตนไม่คิดจะเชื่อ วันนี้จับได้คาหนังคาเขา ถึงกับทำอะไรไม่ถูก
“เธอคบกับแฟนมานานหรือยัง”
“ปีกว่าแล้ว...ใช่ไหมคะ” ระยะเวลาทำให้เขมิกาตาสว่างทันที จากที่เคยคิดว่าผู้หญิงตรงหน้าแย่งแฟนกลับกลายเป็นหล่อนเองที่ไปแทรกกลางความสัมพันธ์ของคู่รัก ยิ่งสร้างความเจ็บปวดมากกว่าเดิมเสียอีก
เผลอจับชายเสื้อของอหัสกรแล้วกำแน่น เหมือนต้องการกำลังใจหรือที่พึ่ง ต้องขอบคุณมือหนาที่โอบไหล่ตนเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคงได้ร่วงลงไปกองกับพื้นแล้ว
เหมือนจารุพิชญ์จะรู้ว่าหล่อนคิดอะไร เขาพยายามจะพูดมากกว่านั้นแต่สุดท้ายพอเหลียวมองแฟนที่ยืนข้างกันก็พูดไม่ออก จำต้องตอบรับอย่างเสียไม่ได้
“ครับ” คำยืนยันยิ่งทำให้ร่างบางเจ็บราวกับโดนมีดกรีดแทง เธอหายใจเกือบไม่ได้มันจุกเสียดไปหมด จ้องหน้าคนรักอยู่อย่างนั้นพลางเสียใจกับการกระทำของอีกฝ่าย ที่ไม่ให้เกียรติหล่อนและผู้หญิงตรงหน้าเลย
ว่ากันตามความจริง...เพื่อนของอหัสกรน่าสงสารกว่าเธออีกที่ไม่รู้ว่าแฟนตัวเองนอกใจ
“เราไปกันเถอะค่ะพี่แมน” เอ่ยกับคนข้างกายเสียงเบา แต่รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ส่งผ่านจนเขาต้องพยักหน้าแล้วค่อยมองเพื่อนร่วมรุ่น
“ขอตัวก่อนนะ ไว้เจอกันใหม่” โบกมือลาเพื่อนแล้วพาหญิงสาวกลับไปโซฟา เพื่อรอเข้าไปดูหนังในโรงถึงตนจะไม่อยากดูก็เถอะ แต่วินาทีก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก เห็นเธอเงียบเป็นเป่าสากและดวงตาที่แดงก่ำบ่งบอกอารมณ์ทุกอย่าง
เขมิกาน่าจะเจ็บพอสมควรกับการถูกหักหลังซึ่งหน้า เขาอยู่กับเธอไม่ถึงครึ่งวันก็ต้องเซอร์ไพรส์หลายเรื่องเลย ชีวิตสนุกกว่าการนอนอยู่ห้องเสียอีก
“หนูไข่...ไม่เข้าไปดูหนังแล้วเหรอ” หล่อนเลือกจะเดินไปยังบันไดเลื่อนแทนเข้าโรงหนัง เขาจึงต้องรีบตามโดยไม่ได้หยิบของกินมาด้วย ทำเพียงขอโทษขอโพยพนักงานอยู่ในใจ
“ไข่อยากออกจากที่นี่ ไข่ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”
“โอเค เดี๋ยวพี่พาออกจากที่นี่เอง” ใครจะทนเห็นหญิงสาวร้องไห้ต่อหน้าต่อจาได้ล่ะ แล้วยิ่งเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิทอีก เธอก็เหมือนน้องของเขาอีกคน ชายหนุ่มจึงเลือกจับข้อมือเล็กแล้วจับจูงเพื่อพาออกจากสถานที่แห่งนี้
ดวงตากลมก้มมองมือของตนที่ถูกพันธนาการเอาไว้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมแผลสดที่ถูกกรีดเหมือนจะค่อยสมานเข้าหากัน ความเจ็บปวดราวหายใจไม่ออกค่อยถูกคลายอย่างรวดเร็ว
มันเร็วจนเธอเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน...ว่าเพียงแค่อหัสกรอยู่เคียงข้าง มองมาพร้อมแววตาแสนอบอุ่นจะทำให้ตนอุ่นซ่านไปทั้งหัวใจ
มายังชั้นจอดรถแล้วเปิดประตูให้หล่อน ค่อยอ้อมไปฝั่งตัวเองก่อนสตาร์ทแล้วพาหญิงสาวออกไปจากจุดเกิดเหตุ เขาไม่พูดอะไรหรือถามให้มากความ รู้ว่าหล่อนเสียใจจึงนั่งเงียบแล้วขับรถให้ปลอดภัยมากที่สุด
เหลือบมองร่างบางที่กลั้นร้องไห้เก่งมาก แต่สุดท้ายก็มาน้ำตาแตกเมื่อเห็นสายเรียกเข้า...เป็นชื่อของผู้ชายที่เป็นแฟนเธอ
ไม่สิ ตอนนี้ไม่น่าจะเรียกว่าแฟน นิสัยชอบคบซ้อนไม่ควรได้สมหวังกับใครหรอก อหัสกรด่าในใจโดยเพิ่งนึกได้ว่าตนเองก็ไม่ได้ดีเลิศมากนัก ทำร้ายจิตใจผู้หญิงมาหลายคนแล้ว ทว่าเขาก็บอกก่อนเริ่มคุยตลอดเรื่องที่ไม่คิดจะจริงจังกับความสัมพันธ์
เลือกจะชัดเจนในแบบของตัวเองแล้ว...
“พี่จะขับไปไหน” ขับไปได้สักพักเธอก็หันมาถาม ใช้ผ้าเช็ดหน้าของเขาซับน้ำตาจนแห้งเหือด ถือว่ามันมีประโยชน์พอสมควร
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน...ลองขับไปเรื่อยๆ ก่อน ถ้าง่วงนอนได้เลยนะ” จุดหมายปลายทางอาจเป็นที่ใดสักแห่ง ซึ่งตอนนี้ชายหนุ่มยังไม่ทราบ จึงเลือกขับรถไปเรื่อยๆ ก่อน หากเจอจุดสนใจค่อยแวะพักก็ได้
ส่วนรถยนต์ของเขมิกาที่กำลังซ่อม...ค่อยไปเอาพรุ่งนี้ก็แล้วกัน วันนี้ช่วยให้หญิงสาวคลายความเศร้าก่อนแล้วกัน
ไม่รู้เพราะเหนื่อยจากเรื่องที่เจอ หรือหนังท้องตึงหนังตาหย่อนทำให้หล่อนหลับอย่างง่ายดาย การขับรถของเขาที่นิ่มจนเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว และไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ถึงได้รู้สึกตัว พอดีกับรถยนต์ซึ่งวิ่งมาเกือบร้อยกิโลเมตรต้องหยุดลง
ท้องฟ้าทาสีเข้ม พอมองเวลาก็พบว่าสิบแปดนาฬิกาแล้ว ทันได้ยินเสียงเพลงชาติดัง โดยรายล้อมไปด้วยรถยนต์หลากหลายยี่ห้อที่จอดเรียงเป็นแถวยาว
“นะ นี่มันที่ไหนคะ” เป็นคำถามแรกที่ได้ยินจากปากเธอ ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบอย่างไร
“พี่คิดว่ามันเป็นงานวัดนะ” เห็นทางเข้าเขียนไว้แบบนั้น ทั้งยังมีเครื่องเล่นมากมาย ไหนจะผู้คนที่ออกมาเที่ยวอีกต่างหาก
เป็นครั้งแรกเลยที่ได้มางานวัด...น่าสนุกดี
“แล้วพี่ขับมาถึงนี่เลยเหรอ” หล่อนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย เผลอไว้ใจเขาทั้งที่เจอกันวันแรกไม่รู้จะถูกเอาไปต้มยำทำแกงหรือเปล่า ตนไว้ใจคนถูกไหมเนี่ย
“พี่ขับเพลินไปหน่อย รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นงานวัด...ก็เลยคิดว่าน่าจะมีอะไรสนุกให้เล่นเยอะ เราลงไปเดินเล่นกันดีกว่า” กลายเป็นอหัสกรที่ตาวาวกับงานวัด เพราะชายหนุ่มไม่เคยมาเลยสักครั้ง จากภายนอกเห็นว่ามันน่าสนุกดี
อยากลองเข้าไปข้างในดูว่าจะมีอะไรให้เล่นบ้าง แต่ที่แน่ๆ เขาจะไม่ขึ้นชิงช้าสวรรค์เด็ดขาด นอกจากกลัวผีแล้วยังกลัวความสูงอีก
ต้องปิดเป็นความลับ...ต้องไม่มีใครรู้เรื่องนี้แล้วเอามาล้อ
“แต่ไข่..” จะปฏิเสธเพราะไม่มีแรงจะเดินหรือทำอะไร หล่อนอยากอยู่คนเดียวมากกว่า
“มาเถอะน่า ผู้ชายไร้ค่าแบบนั้นไม่สมควรให้ต้องเสียใจหรอก เดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะพาเราไปสนุกสนานเอง” เป็นเขาที่ชวนด้วยแววตาตื่นเต้นจนหล่อนไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งสองจึงลงจากรถแล้วเดินเข้ามาภายในงานวัดที่ค่อนข้างครึกครื้น
เขาเห็นป้ายชื่อคณะหมอลำที่จะมาแสดง ผู้คนก็ไปจับจองที่เอาไว้ตั้งแต่ช่วงเย็น เพราะกลัวว่าถ้าช้าอาจต้องนั่งข้างหลังแล้วจะเห็นไม่ชัด แต่เขาไม่ใช่สายเต้นหรือชอบหมอลำจึงเลือกเดินไปยังโซนเครื่องเล่น
แล้วร้านแรกที่ต้องแวะคือซุ้มปาลูกโป่ง เคยเล่นตอนมีกิจกรรมของมหาวิทยาลัย อย่างวันลอยกระทงหรืองานรื่นเริง แน่นอนว่าตนต้องทำให้สาวประทับใจด้วยการปาให้โดนลูกโป่งเพื่อเอาของรางวัล ซึ่งส่วนมากก็ไม่เคยพลาด
“เริ่มจากปาลูกโป่งดีไหม..เดี๋ยวพี่ปาให้เอง หนูไข่อยากได้ตุ๊กตาไหม” ชี้ไปยังตุ๊กตาหมีตัวขนาดกลางแต่ขนหนานุ่มน่ากอด เขาคิดว่าเธอจะต้องชอบอย่างแน่นอน ลืมคิดเสียสนิทเรื่องอายุของเขมิกาที่เป็นสาววัยเบญจเพส ไม่ใช่วัยแรกแย้มที่จะดีใจยามได้ตุ๊กตา
“ไม่ค่ะ” ปฏิเสธแต่เหมือนเขาจะไม่ฟังความคิดเห็น
“โอเค เดี๋ยวพี่เอาหมีน้ำตาลมาให้เอง” หน้าตาแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจ แต่หล่อนก็พยายามจะรั้งแขนเขาไว้ อยากบอกว่าไม่ได้ต้องการหมีตัวนั้นเลย
“พี่แมน..” เรียกเสียงอ่อย ทว่าเขาก็จ่ายเงินเพื่อซื้อลูกดอกเรียบร้อยแล้ว
“รอดูๆ” บอกเธอแล้วพยายามเพ่งสมาธิไปยังลูกโป่งตรงหน้า เขาโยนดอกแรกแต่มันก็แฉลบไปด้านข้างทำให้พลาดเป้า
“พี่ว่าลูกดอกมันน่าจะมีปัญหา..โอ้ว นั่นไง ได้แล้ว” หน้าเสียเล็กน้อยแต่ก็ยังยิ้มสู้ ทำให้เขมิกาถึงกับกลั้นขำเมื่อเห็นท่าทางของเขา จากที่คิดจะห้ามก็ปล่อยตามเลย เพราะดูท่าอหัสกรจะมีความสุขมากกับการปาลูกโป่ง
เจ็ดดอกแรกเขาทำไม่สำเร็จ จึงซื้ออีกเจ็ดดอกเพื่อพิชิตตุ๊กตาที่หมายตาเอาไว้ ดวงตาคมเพ่งมองเป้าหมายแล้วตั้งสมาธิให้มั่น
แต่ละดอกผ่านไปด้วยความเครียด จนมือหนาชื้นเหงื่อ...หล่อนเห็นก็นึกสงสารเขาลืมเรื่องเศร้าไปเสียสนิท
“ได้แล้ว! ได้ตุ๊กตาแล้ว!” เมื่อทำสำเร็จก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ รีบหันมาบอกร่างบางที่ยิ้มให้เขาเช่นกัน
แล้วเวลาก็เหมือนหยุดหมุนชั่วขณะที่เห็นรอยยิ้มจากใบหน้าคม อัตราการเต้นของหัวใจเร็วกว่าเดิมเล็กน้อยก่อนมันจะกลับมาเต้นเป็นปกติ พร้อมกับริมฝีปากที่ยกยิ้มบ่งบอกถึงความสุขในเวลานี้
“อ่ะ พี่ให้หนูไข่นะ”
ตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลถูกยื่นมาตรงหน้า มือบางค่อยเอื้อมไปรับมากอดเอาไว้ จากที่คิดจะปฏิเสธกลับหวงแหนจนเผลอกอดแน่น
เธอจะตกหลุมรักผู้ชายคนใหม่ทั้งที่เพิ่งอกหักจากแฟนไม่ได้นะไข่ขวัญ!