ลี้เมฆา

62.0K · จบแล้ว
ข้าวสีทอง
31
บท
1.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เมื่อหนุ่มเจ้าชู้ต้องมาเป็นแฟนตัวปลอมให้น้องสาวของเพื่อนสนิท แต่เธอดันคิดจริงจังแต่เขาไม่ดันกลัวความรัก แล้วอย่างนี้จะลงเอยอย่างไร เขาจะรู้ใจตัวเองหรือไม่...

นิยายรักโรแมนติกคนธรรมดาพระเอกเก่งโรแมนติกรักหวานๆนิยายรัก

บทนำ

บทนำ

ห้องนั่งเล่นของบ้านอาจหาญชัยแปลงเป็นสถานที่ทำงานของนิสิตชั้นปีที่สาม พวกเขากำลังขะมักเขม้นพิมพ์รายงานที่อาจารย์สั่งเป็นคู่ ทำตั้งแต่บ่ายสามจนตอนนี้หกโมงแล้วยังไม่ได้พักสักนิด หนังสือกองเป็นตั้งอยู่ด้านข้าง

ปีย์มนัส อาจหาญชัยเป็นเจ้าของบ้าน และเอื้ออำนวยความสะดวกให้แก่เพื่อน เพราะบ้านของเขาใกล้มหาวิทยาลัยที่สุดแล้ว ทุกคนจึงลงความเห็นว่ามาทำที่นี่น่าจะดีสุด อีกอย่างคือรสชาติอาหารแม่ครัวค่อนข้างถูกปาก

ใกล้ร้านสะดวกซื้อเพียงแค่ปั่นจักรยานออกไปหน้าปากซอย แต่ติดอย่างเดียวคือเจ้าของบ้านไม่ค่อยอยากต้อนรับเพื่อนเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องทำรายงานคงไม่ให้ย่างกรายเข้าบ้านสักคน

เพื่อนในกลุ่มแต่ละคนตาแพรวพราวใช่เล่น เจ้าเล่ห์จนต้องปรามเอาไว้ตลอด เพราะเขาเองก็มีน้องสาวแสนสวยอยู่สองคน และไม่เคยอยากเอาเพื่อนมาเป็นน้องเขยเลย โดยเฉพาะตัวอันตรายอย่าง อหัสกร เปรมฤทัย เจ้าชู้ไปเรื่อยไม่เคยคบใครจริงจังสักที

“กูไม่อยากทำแล้วว่ะ เราไปเล่นบาสกันดีไหม” หนุ่มกะล่อนเอ่ยพลางบิดขี้เกียจ เขาคู่กับปีย์มนัสจึงให้อีกฝ่ายพิมพ์รายงาน ส่วนตนก็หาข้อมูลทั้งในหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดของมหาวิทยาลัย หรือเปิดหาตามอินเตอร์เน็ต

พอคนแรกโวยวายทำให้อีกคนที่นั่งข้างกัน ซึ่งกำลังหาข้อมูลในหนังสือต้องถอนหายใจเสียงดัง พลางปรายตามองอย่างระอา

“เหี้ยเถอะเพื่อนแมน มึงพิมพ์ไม่ถึงสามบรรทัดแต่อยากพัก เรียนจบมึงเตรียมลงโลงเลยไหมเพื่อน” สราวุฒิ รุ่งเรืองโรจน์กล่าวเสียงขรึม แล้วเปิดอ่านหนังสือพร้อมขีดเส้นบางๆ เพื่อให้เพื่อนสนิทอีกคนได้ดูว่าควรใช้บรรทัดนี้มาขยายประโยคก่อนหน้า

เขาจับคู่กับทิวากร ฤกษ์เดชา ผู้ที่กำลังพิมพ์งานมือเป็นระวิง ไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊กเลย โดยมือก็คว้าแก้วน้ำมาดื่มดับกระหาย

“เอากูขึ้นเผาในเมรุเลยครับ ถุย มึงนะไอ้วุฒิ บ้านมีธุรกิจแล้วทำเป็นเก่ง มึงก็เหมือนกันไอ้สอง ไอ้คนล้มบนฟูก เบื่อว่ะ เบื่อพวกคนรวย” แสร้งเล่นตามเพื่อนแล้วระบายความในใจ กลุ่มเพื่อนเขาแต่ละคนครอบครัวล้วนมีธุรกิจเป็นของตัวเอง

โดยอหัสกรไม่ดูเลยว่าครอบครัวของตนก็มีกินมีใช้ไม่น้อยเหมือนกัน แม่ของเขามีแบรนด์กระเป๋าของตัวเอง ส่งออกนอกประเทศรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่เขาไม่ต้องการสานต่องานของท่าน อยากตั้งบริษัทของตัวเองมากกว่า

คิดไว้แล้วว่าอาจจะทำสตาร์ทอัพที่กำลังมาแรง หรือหารายได้ทางอื่นที่ไม่ต้องยุ่งยากกับคนอื่น แต่เขาก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรดี

เหลือเวลาอีกตั้งปีกว่าให้ค้นหาตัวเอง...

“แล้วไม่มีชื่อกูล่ะ กูก็รวย” ปีย์มนัสเอ่ยถามทั้งที่มือก็พิมพ์งานไม่หยุด สมองเขากำลังแล่นแต่ก็อดจะแทรกไม่ได้

“ไม่อยากรบกวนคุณปีย์ครับ เพราะมึงต้องมีสมาธิในการพิมพ์รายงานของเราไง” อ้อนประจบทันที อหัสกรคิดว่าตนค่อนข้างมีโชคเรื่องการคบเพื่อน ไม่รู้ว่ามาสนิทสนมกันได้อย่างไร ทั้งทิวากรและปีย์มนัสถือเป็นหัวกะทิของกลุ่ม

ถ้าอาจารย์ให้ทำงานกลุ่มทีไรเขาต้องรีบแย่งจับกับปีย์มนัสทันที เพราะอีกฝ่ายไม่พูดมากหรือชอบจิกกัดเหมือนทิวากร ส่วนสราวุฒิก็เหมือนตนนี่แหละ อย่าจับคู่กันจะดีกว่า...

“กูอยากอยู่กับไอ้ปีย์จังเลยเว้ย” ทิวากรเอ่ยบ้าง พลางเหลือบมองสราวุฒิที่ยิ้มกริ่มให้เพื่อนเหมือนต้องการให้กำลังใจ

“มึงไปเล่นบาสกับกูสักสามสิบนาที ป่ะ ยังไงก็นอนบ้านไอ้ปีย์อยู่แล้ว” พอได้จังหวะก็รีบเอ่ยชวนเพื่อนอีกคน เขาขี้เกียจนั่งหาข้อมูลอยากไปผ่อนคลายสมองสักครู่ โดยหาแนวร่วมคือเพื่อนผู้เข้ากันอย่างสราวุฒิ

“ไอ้สัด ไปกัน” แล้วสองหนุ่มก็กอดคอออกไปลานกีฬาที่อยู่หน้าบ้าน พวกเขามาที่นี่สองถึงสามครั้ง สนิทสนมกับมารดาของปีย์มนัสพอสมควร การจะละเล่นอยู่พื้นที่รอบบ้านคงไม่เป็นไรมากนัก

“อ้าว ไอ้ปีย์ มึงดูพวกมันสิวะ” ได้ทีทิวากรก็รีบฟ้อง พลางทำหน้าย่นเพราะตนเองก็อยากไปยืดเส้นยืดสายเหมือนกัน แต่ติดที่ต้องทำงานคู่ให้เสร็จ โดยไอ้เพื่อนตัวดีได้ทิ้งเขาไปเล่นบาสเรียบร้อยแล้ว จะเขียนชื่อมันลงหน้าปกดีไหมเนี่ย

“มึงพิมพ์ไปเถอะ เคยเห็นมันทำงานหรือไงล่ะ” ปากก็พูดมือก็พิมพ์ ไม่เสียชื่อเด็กเนิร์ดสุดฮอต เรียนเก่งจนอาจารย์ชมและยังเป็นที่รักของเพื่อนร่วมคณะ มีงานอะไรพวกเขาก็คอยช่วยเหลือตลอด ช่างเป็นกลุ่มเพื่อนรูปหล่อที่กินกันไม่ลงจริงๆ

ระหว่างที่กำลังพิมพ์ก็มีบุคคลที่สามเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ในมือถือถาดอาหารและน้ำหวานมาเสิร์ฟเพื่อนของพี่ชาย ซึ่งกำลังนั่งพิมพ์รายงานอย่างขะมักเขม้น แต่แปลกที่คุณป้าแม่ครัวบอกมีกันทั้งหมดสี่คน

แต่ทำไมหล่อนเห็นแค่สองล่ะ...

ไม่ได้ถามให้เสียเวลา นั่งลงบนพื้นแล้วหยิบขนมออกมาวางบนโต๊ะ มีทั้งผลไม้ที่ปอกเปลือกอย่างดี เสียแต่ไม่ได้แกะสลักซึ่งก็ดีแล้ว ทุกวันนี้ปีย์มนัสพยายามบอกแม่ครัวไม่ให้แกะสลักอาหาร เขาไม่อยากรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าขุนมูลนายมากกว่านี้

“ของว่างค่ะพี่ปีย์” สองสายตาละจากหน้าจอมองคนมาใหม่

“อ้าวหนูไข่ กลับมาแล้วเหรอคะ” ปีย์มนัสเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม กับน้องสาวมักพูดเพราะเสมอจนเพื่อนแทบไม่เชื่อหู

“ค่ะ พี่ๆ อยากกินอะไรบอกได้นะคะ” บอกเพียงเท่านั้นแล้วยิ้มให้ทิวากรที่มองพลางขมวดคิ้ว เขามาไม่กี่ครั้งแต่ก็เคยเห็นเธอบ้าง ไม่นึกว่าเด็กหญิงจะโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงจะยังใส่ชุดมัธยมต้นอยู่ก็ตาม

“น้องไข่น่ารักขึ้นป่ะวะ กูมาครั้งก่อนยังไม่..ไอ้ปีย์ไม่ต้องมองหน้ากูตาขวางเลย เห็นเป็นน้องเว้ย ไม่จีบน้องสาวมึงหรอก” เอ่ยกับเพื่อนแต่ดันเจอสายตาคมวาวก็ต้องรีบแก้ตัวอย่างรวดเร็ว กลัวว่าตนจะโดนต่อเสียก่อนที่บังอาจไปทักน้องสาวมันว่าน่ารัก

แต่ต้องยอมรับว่าน้องไข่น่ารักขึ้นมากจริงๆ

“กูยังไม่ได้ว่าอะไรเลย” ตอบปัดแล้วพิมพ์งานต่อ

“โห ไม่ว่าแต่อีกนิดพุ่งต่อยหน้ากูแล้ว แหะๆ เปล่าครับ เปล่าคุณปีย์ พิมพ์งานดีกว่านะครับ” พึมพำเสียงเบาแต่เพราะอยู่กันสองคนเขาจึงได้ยิน ทิวากรรีบโบกมือเป็นการปฏิเสธแล้วเริ่มตั้งใจทำงานต่อไป โดยในใจก็แอบด่าเพื่อนสองคนที่หนีไปเล่นบาส

ลานกว้างหน้าบ้านมีห่วงบาสขนาดสูงเอาไว้สำหรับลูกชายคนโตโดยเฉพาะ ที่ปีย์มนัสสูงขนาดนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นมาจากชอบเล่นบาสเก็ตบอลเป็นชีวิตจิตใจ เสียแต่ติดเรียนเกินไปเลยไม่ลงทีมบาสประจำโรงเรียน ทั้งที่รุ่นพี่ทั้งไปขอร้องแกมบังคับก็แล้ว...ไม่เคยสำเร็จเลย

ตอนนี้เพื่อนซี้กำลังเล่นบาสอย่างสนุกสนาน แต่เหมือนสราวุฒิจะไม่ค่อยเอ็นจอยเท่าไหร่ เพราะตนเองโยนไม่ลงห่วงเลย อหัสกรแย่งได้ตลอด

“อะไรวะ มึงโยนลงห่วงอีกแล้วเหรอ” โวยวายเสียงหงุดหงิด เริ่มเหนื่อยจากการเล่นมาเกือบยี่สิบนาที เหงื่อไหลเต็มแผ่นหลังจากเสื้อเปียกชื้น ขณะที่อีกคนกำลังเลี้ยงลูกพลางฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุข

“มึงสู้กูไม่ได้หรอก เรื่องบาสต้องกู...นี่นักกีฬาบาสประจำโรงเรียนนะครับ” โอ้อวดตนเองด้วยแววตาแพรวพราว

อหัสกรเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลประจำโรงเรียน ไปแข่งที่ไหนก็พาทีมชนะตลอด เรียกได้ว่าการเล่นกีฬามันอยู่ในสายเลือด ไม่เคยแพ้สักครั้งจนได้ฉายาเจ้าพ่อเจนสนาม ทั้งใบหน้าหล่อเหลาเรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆ อีก

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเก่งทั้งฝีมือ และมีดีที่หน้าตาด้วย...

“มา อีกสักครั้ง” สราวุฒิฮึดสู้แล้วแย่งลูกบาสมาครอง เลี้ยงไปมาโดยมีร่างสูงมากันท่าเอาไว้ เขาตัดสินใจโยนลูกกลมสีส้มเพื่อให้เข้าห่วง แต่คงโยนแรงไปหน่อยมันเลยออกนอกสนาม จนสายตาสองคู่ต้องหันมอง

“อ้าว” อหัสกรพึมพำอย่างุนงง แล้วตัดสินใจเดินไปเก็บลูกบาสเอง เพราะเพื่อนคงไม่ยอมไปแน่ ทันได้ยินเสียงเล็กร้องด้วยความเจ็บ จึงรีบเข้าไปดูเผื่อว่าหล่อนจะหกล้มได้รับบาดเจ็บมากกว่านั้น

“โอ๊ย” เด็กผู้หญิงในชุดนักเรียนมัธยมต้นของโรงเรียนรัฐบาลนั่งกุมศีรษะ พลางก้มหน้าอยู่อย่างนั้นจนเห็นเพียงผมที่สั้นเท่าติ่งหู เธอคลึงหัวอยู่อย่างนั้นค่อยเอามือมาดูว่ามีเลือดหรือเปล่า ค่อยโล่งใจหน่อยที่ไม่ถึงกับหัวแตก

ร่างหนาในชุดนิสิตก้าวเข้ามานั่งตรงข้าม แล้วพยายามเรียกความสนใจจากคนตัวเล็กให้เงยหน้าขึ้นมามองตนเอง

“น้อง น้อง เป็นอะไรมากไหม” ไฟที่เปิดสว่างรอบบริเวณบ้าน เพราะท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้วทำให้เขาเห็นเธอชัดเจน หญิงสาวค่อยเงยหน้ามาสบตาอีกฝ่าย ก่อนพบว่าเพื่อนของพี่ปีย์คนนี้หน้าตาดีจนชวนใจสั่น ถึงจะเจาะหูและเซ็ทผมให้เปิดหน้าผาก ทั้งยังทำให้มันตั้งขึ้นก็ตาม

แต่หล่อนก็ละสายตาจากใบหน้าคมเป็นลูกบาสเก็ตบอลที่ตกอยู่ใกล้ตนเอง ค่อยเหลือบมองไปทางสนามหน้าบ้านที่ไม่มีใครยืนอยู่สักคน

“พี่โยนเหรอคะ” ถามเสียงเข้ม เล่นเอาคนไม่ได้ทำต้องรีบปฏิเสธอย่างร้อนรน

“ปะ เปล่า พี่ไม่ได้โยน เพื่อนพี่มัน..มันหายไปไหนแล้ววะ” รีบชี้ไปยังสนามเพื่อบอกว่าคนที่ทำให้เธอเจ็บตัวไม่ใช่ตนเอง แต่เป็นสราวุฒิต่างหาก

ทว่าพอหันไปก็พบเพียงความว่างเปล่า...เพื่อนเขามันหนีหายเข้ากลีบเมฆแล้วโยนความผิดมาใหเสียแล้ว

‘มึงนะมึง’ พึมพำด่าในใจแล้วพยายามจะอธิบายให้สาวน้อยไม่มองตนเป็นผู้ชาย แอบเหลือบมองชื่อของหล่อนที่ปักอยู่บนอกเสื้อด้านซ้าย เขมิกา วิชัยวิทย์

คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย เธอไม่ได้ใช้นามสกุลเดียวกับปีย์มนัส...หรือเป็นน้องสาวคนละพ่อ แต่นั่นไม่ใช่เวลาจะมาสงสัย เพราะดวงตากลมมองเขาเขียวปั๊ด แล้วลุกจากพื้นพลางปัดเศษฝุ่นออกจากกระโปรง

“อย่ามองพี่แบบนั้นสิ พี่ไม่ได้โยนจริงๆ” พยายามบอกว่าตนเองไม่ใช่คนทำผิด แต่เธอก็เหมือนจะไม่เชื่อเท่าไหร่

“จริงๆ” ยืนยันอีกครั้งจนเด็กหญิงที่รอฟังคำขอโทษต้องตอบรับเสียงเบา

“ค่ะ” แล้วก็เลือกจะเดินหนีอย่างรวดเร็ว อยู่ไปก็ไม่ได้ยินคำขอโทษจากปากคนทำผิดหรอก จึงไม่รู้ว่าจะยืนฟังคำโกหกของเขาทำไม

“อะไรวะ กลายเป็นกูผิดจริงๆ เหรอ” อหัสกรพึมพำกับตนเองลายพรูลมหายใจเสียงหนัก ค่อยก้มตัวไปหยิบลูกบาสมาถือไว้ แล้ววิ่งเข้าบ้านเพื่อคิดบัญชีกับเพื่อนตัวดีที่ทำให้เขากลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของเด็กหญิง!