๑ ความช่วยเหลือจากคนไม่คุ้นเคย (๑)
๑
ความช่วยเหลือจากคนไม่คุ้นเคย
ว่างจากงานปีย์มนัสก็มาหาเพื่อนที่คอนโดมิเนียม ซึ่งอยู่ใกล้กับห้างสรรพสินค้าที่พาคนรักมาเดิน อายุเยอะขึ้นเหมือนอหัสกรจะอยู่ติดห้องมากกว่าเลือกไปสังสรรค์ บอกเหตุผลว่าแค่งานก็ปวดหัวจะแย่ ทำจนไมเกรนจะขึ้น ต่างจากตอนเรียนมหาวิทยาลัยลิบลับ เพราะอีกฝ่ายคอยให้เพื่อนช่วยเหลือเสมอ นอกจากจะเป็นงานเดี่ยวที่ต้องลุยเอง
อย่างตอนนี้ที่เห็นอีกฝ่ายกำลังนอนดูหนังและอ่านหนังสือการลงทุน มากกว่าออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนคนคุยเหมือนที่ผ่านมา การเติบโตทำให้ความสนุกในชีวิตลดลง ทว่าในโทรศัพท์ก็เห็นแจ้งเตือนไลน์ไม่หยุด
คอนโดมิเนียมขนาดเจ็ดสิบสองตารางวาต้อนรับเพื่อนเสมอ เมื่อก่อนคนที่มาบ่อยคือสราวุฒิ แต่หลังจากแต่งงานมีครอบครัวก็แทบไม่โผล่หน้ามาให้เห็น คนต่อมาคือทิวากรซึ่งแน่นอนว่าพอมันมีคนรักก็ตัวติดกันจนเขาไม่เห็นแม้แต่เงา
คนสุดท้ายที่ช่วงนี้โผล่มาบ่อยต่างจากเมื่อก่อนคือปีย์มนัส...แต่มันไม่ได้โสดสักนิดเพราะกำลังคบหาดูใจกับเพื่อนสนิทที่แอบรักมานาน จนพิชิตใจสาวเจ้าได้สักที
“ว่างเหรอวะมาหากูที่คอนโดได้ ไม่ไปหาแฟนหรือไง” คำแรกที่ทักก็ออกอาการน้อยใจให้เห็น มุมปากหยักยกยิ้มขณะมองเพื่อนที่อยู่ในชุดเสื้อยืดคอย้วยกับกางเกงบอลตัวเก่งที่ใส่มาตั้งแต่สมัยมัธยม จนสีซีดไปหมดแล้ว
ไม่อยากเชื่อว่านักวิเคราะห์ต้นทุนของบริษัทใหญ่ ผู้หล่อเหลาและเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ จะอยู่ในสภาพเหมือนลุงขายปาท่องโก๋หน้าหมู่บ้านเขาได้ คาดว่าหน้ามันก็ยังไม่ได้ล้าง
“มารอแพรช็อปปิ้งกับเพื่อน เขาบอกสงสารกูที่ต้องเดินตามเลยให้มารอห้องมึงก่อน ถ้าช็อปเสร็จจะโทรหาแล้วไปกินข้าวเย็นด้วยกัน” ร่ายยาวจนคนโสดหมั่นไส้ คว้าหมอนมากอดแล้วนอนลงที่โซฟาตัวยาว พลางจ้องโทรทัศน์
“ร่ายยาวขนาดนี้มึงกำลังอวดกูใช่ไหม ทั้งกลุ่มมีกูโสดคนเดียว” ทำหน้าบึ้งแล้วเหลือบมองแขกคนสนิทที่นั่งโซฟาเดี่ยวข้างกัน มองถาดพิซซ่าที่เหลือครึ่งหนึ่ง จึงหยิบมากินโดยไม่ได้ขอก่อน อย่างไรก็เป็นเพื่อนกันมันคงไม่หวงของกินหรอก
“ก็หาแฟนสิวะ หน้าอย่างมึงหาไม่ยากหรอก ผิดแต่ว่าไม่จริงใจกับใคร” บอกมาตลอดแต่เหมือนอหัสกรจะไม่สนใจฟัง
ในกลุ่มพวกเขามีแค่อหัสกรกับทิวากรที่ชอบสังสรรค์ แล้วมีสาวข้างกายตลอดเวลา เสียแต่อีกคนแต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว จึงเหลือเพียงคนเดียวยังสนุกกับชีวิต มีคนคุยเยอะจนกลัวรถไฟจะชนกันเข้าสักวัน
แต่เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร...เสียแต่ไม่ค่อยจริงจังกับความสัมพันธ์
“กูจริงใจกับทุกคน” โต้แย้งทันที
“แต่ไม่จริงจัง” คราวนี้ก็พูดไม่ออก เพราะมันคือความจริง
“กูรักสนุกยังไม่คิดจะผูกพันกับใครนี่หว่า ยังไม่เจอคนที่จะรักเลยอยากอยู่แบบนี้ไปสักพัก ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของกูเลย มึงเหอะตอนไหนจะแต่ง” รีบโยนไปให้เพื่อน คบกันมาสี่คนตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ก็ทยอยแต่งงานกันหมดแล้วเหลือแค่ตนเองที่ยังโสด
ทว่าเขาก็ไม่รีบแต่อย่างใด อยากอยู่โสดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ทุกข์ร้อนหรือคิดว่าต้องรีบหาแฟน แม่ก็ไม่ได้บังคับด้วย ถึงท่านจะถามหาลูกสะใภ้บ้างแต่พอเห็นลูกปฏิเสธก็ไม่ซักไซ้
“ไม่รีบนะ แล้วแต่เขา” เห็นแววตาคลั่งรักของปีย์มนัสก็เพิ่มความน่าหมั่นไส้เข้าไปอีก อยู่กับแฟนแล้วตัวแทบจะติดกัน ยอมแพรวลัยทุกอย่าง เขาเคยไปกินข้าวกับสองคนนี้แล้วโลกสีชมพูแค่สองคนจนรู้สึกไร้ตัวตน
สาบานเลยว่าจะไม่ไปกินข้าวกับพวกมันแล้ว ทั้งทิวากรกับสราวุฒิก็เช่นกัน...คลั่งรักเมียเหลือเกิน
“หูย พระเอกสัด สาธุ ขอให้รออีกห้าปี”
“กูถีบนะ ถอนคำพูดเลยไอ้แมน” กำลังจะถีบเพื่อนเพราะเขาก็รอจังหวะและโอกาสจะขอเธอแต่งงานเหมือนกัน กลัวหญิงสาวจะไม่ยอมตกลง เพิ่งคบกันไม่นานถึงตนจะแอบรักแพรวลัยมาหลายปี ก็เลยไม่กล้าขอตอนนี้...
กลัวคำตอบจะไม่เป็นไปตามที่หวัง
แต่ยังไม่ทันได้ประทุษร้ายเพื่อนก็มีเสียงโทรศัพท์ขัดเสียก่อน เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตนแล้วกดรับเมื่อเห็นชื่อ
“ฮัลโหลแพร เสร็จแล้วเหรอ อือ เดี๋ยวไปหาตอนนี้เลย” แค่น้ำเสียงก็ต่างจากตอนพูดกับอหัสกร จนเจ้าของห้องต้องเบะปาก รู้สึกอยากไล่มันออกนอกแล้ว
ลุกจากโซฟาตั้งแต่ยังไม่วางสายจากแฟน พร้อมจะไปรับแพรวลัยที่เดินเล่นไม่นานเพราะได้ของที่ต้องการแล้ว ปีย์มนัสวางวายกับแฟนแล้วเหลียวมองคนที่นอนเอกเขนกอยู่บนเบาะนุ่มตัวยาว แล้วดูภาพยนตร์ในวันหยุด
“กูไป..แป๊บนะ ค่ะหนูไข่” กำลังจะล่ำลาแต่ก็มีคนโทรเข้า พอเห็นชื่อคิ้วหนาก็ขมวดเข้าหากันทันที เป็นชื่อน้องสาวอีกคนของเขา ฟังเธอเล่าเรื่องยาวให้ฟังขณะที่ตนนิ่งเงียบอย่างตั้งใจ คิดหนักเมื่อน้องบอกว่ารถยนต์ดับอยู่ข้างทาง แล้วไม่มีร้านอยู่แถวนี้เลย
พอวางสายก็ดูโลเคชั่นที่เธอส่งมาให้ เขาเห็นว่าเป็นเขตนอกเมืองก็ยิ่งหนักใจมากกว่าเดิม พลางเหลือบสายตาเห็นคนที่กำลังว่างจากงาน
“ไอ้แมนมึงว่างไหม”
“ไม่ว่าง กำลังจะเล่นเกม” รีบดีดตัวลุกพลางเดินไปหยิบจอยเกมอย่างรวดเร็ว รู้ทันทีว่าภัยกำลังจะมาถึงตัวเอง
“งั้นหนูไข่รอตรงนั้นนะ เดี๋ยวพี่ให้เพื่อนไปดูให้ ส่งข้อความบอกพี่ตลอดด้วยล่ะ” รีบโทรกลับหาน้องสาวอย่างรวดเร็วไม่อยากให้เธอรอนาน
ห่วงน้องก็ห่วงแต่แฟนก็สำคัญ อีกอย่างมีคนที่ว่างอยู่ทั้งที จึงขอไหว้วานเพื่อนที่มองตาค้าง
ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรวบมัดมือชก...
“รถน้องกูเสีย ส่งโลเคชั่นมาให้แล้ว มึงช่วยเรียกช่างไปดูให้หน่อย กูต้องรับไปรับแพร..ฝากด้วยล่ะ” ตบบ่าคนที่นั่งนิ่งแล้วถือจอยเกมไว้ในมือ รู้อย่างนี้น่าจะออกไปข้างนอกตั้งแต่แรก ไม่น่าอยู่ห้องให้มันใช้เลย เพื่อนกี่คนต่อกี่คนก็เห็นตนเป็นกระโถนท้องพระโรง
ร่างสูงถอนหายใจพลางถามกลับเสียงดัง ขณะที่ปีย์มนัสกำลังก้มสวมรองเท้าอย่างเร่งด่วน ไม่อยากให้แฟนรอนาน
“อ้าว กูอีกแล้วเหรอวะ กูแทบจะเป็นทุกอย่างให้มึงแล้วไหม อย่าลืมยกมรดกให้กูล่ะ” ประชดใส่เสียงสูง ทำให้ร่างหนาต้องเหลียวมองเจ้าของห้อง
“พูดมาก...ห้ามเข้าใกล้น้องกูเกินหนึ่งเมตร ถ้าน้องกูฟ้องมึงโดนดีแน่” ใช้แล้วยังมีข้อห้ามร้อยแปดอีก ทำเอาเขาถึงกับต้องถอนหายใจ แล้วมองตามแผ่นหลังกว้างที่ออกจากห้องของตนเอง ปล่อยอหัสกรยีศีรษะด้วยความโมโห
“ขอร้องกูยังมีหน้ามาขู่อีก อะไรของมันวะ” จำต้องเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด ให้ดูสุภาพกว่านี้สักหน่อย จากนั้นจึงหยิบกุญแจรถเพื่อไปทำธุระให้ปีย์มนัส ที่ส่งโลเคชั่นของน้องสาวเข้ามือถือเขาเรียบร้อยแล้ว
จำได้ว่าเพื่อนสนิทมีน้องสาวสองคน คนแรกคือน้องแท้ๆ ชื่อมนัสนันท์ อาจหาญชัย ส่วนคือคนเป็นลูกสาวของแม่บ้านที่แม่ของเพื่อนรักจนยกเป็นลูกสาวอีกคนเขมิกา วิชัยวิทย์ เขาไม่ได้เจอสองสาวนานแล้วตั้งแต่เมื่อเจ็ดถึงแปดปีก่อน
ไม่รู้ว่าตอนนี้จะหน้าตาเป็นอย่างไร...แต่ถึงจะสวยก็คงไม่กล้ายุ่งด้วยหรอก มีพี่ชายดุขนาดนั้น ถ้าเขาเป็นน้องเขยมันจะไม่โขกสับเช้าเย็นเลยเหรอ แค่คิดก็รับรู้ถึงการตกเป็นทาส ควรอยู่ห่างไว้น่าจะดีที่สุด
อหัสกรขับรถไปตามทางที่จีพีเอสบอก กระทั่งมาถึงนอกเมืองที่เป็นถนนกว้าง รถวิ่งเร็วและสองข้างทางมีแต่ต้นไม้และผืนหญ้าขึ้นรกชัฏ รถที่ตามหลังเป็นของช่างประจำอู่ซ่อมรถซึ่งเขามักจะไปดูแลรถเป็นประจำอยู่แล้ว
พอใกล้ถึงที่หมายก็ตีไฟเลี้ยวทันที สายตามองเห็นรถยนต์สีดำจอดนิ่งสนิท อ่านป้ายทะเบียนก็มั่นใจว่าเป็นรถของน้องสาวเพื่อนไม่ผิดแน่ เพราะปีย์มนัสส่งเลขทะเบียนมาให้เขาเรียบร้อยแล้วเพื่อความมั่นใจ
จัดการจอดรถต่อท้ายเธอแล้ว ขายาวก้าวเข้าไปใกล้รถที่จอดเสียอยู่ข้างทาง พลางเคาะประตูให้หล่อนลงมาบอกอาการคร่าวๆ เคาะเพียงสองถึงสามครั้งประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมการปรากฏกายของหญิงสาวร่างแบบบาง
จนเขาเองยังตกตะลึง...
ผิวกายเนียนละเอียด ขาวสว่างท้าทายแสงแดดยามบ่าย ผมถูกรวบขึ้นครึ่งหนึ่งปล่อยที่เหลือสยายกลางแผ่นหลัง เดรสสีหวานเมื่อสวมอยู่บนตัวเธอช่างดูน่ารักสดใส แต่มันไม่เท่ากับใบหน้าจิ้มลิ้มที่จ้องมองเขาด้วยแววตาประกาย เหมือนเห็นพระมาโปรดก็ไม่ปาน...
ไม่เจอกันนานรู้สึกว่าเธอสวยขึ้น จนเขาแทบจำไม่ได้...หากเจอข้างนอกคงไม่พ้นเข้าไปพูดคุยและขอเบอร์ แต่พอคิดได้ว่าเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิท จึงต้องเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ให้ลึกสุด
แล้วมองเธอเป็นแค่น้องคนหนึ่ง อย่างไรเขาก็ไม่คิดจะจริงจังกับใครอยู่แล้ว อย่าหาห่วงมาผูกคอตัวเองเลย
“หนูไข่...น้องไอ้ปีย์ใช่ไหม” ตะลึงจนเกือบลืมทัก พอได้สติก็ถามอีกฝ่ายทันที เธอเหมือนจะไม่ค่อยไว้ใจเขาเท่าไหร่ เอาแต่มองแล้วค่อยพยักหน้าอย่างเชื่องช้า เหลือบมองรถยนต์ของชายหนุ่มก็คิดว่าเขาคงไม่ได้สวมรอยหรอก
อีกอย่างคนตรงหน้าก็หล่อและดูร่ำรวยเกินกว่าจะเป็นโจรได้ นาฬิกาเขาใส่ราคาหลักล้าน มูลค่าในตลาดสำหรับคนเล่นนาฬิกาไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้กำลังพุ่งทะยานไปสู่หลักสิบล้านแล้ว
“ค่ะ ใช่ค่ะ”
“พี่พาช่างมาแล้ว บอกอาการให้ช่างรู้เลย” ผายมือไปยังทีมช่างสองคนที่เดินถืออุปกรณ์เข้ามา เห็นรถของหล่อนก็เริ่มไม่แน่ใจว่ามันขับได้จริงหรือเปล่า
หากมองจากสภาพภายนอกมันเหมือนรถมือสองมากกว่าเพิ่งซื้อไม่กี่ปี จนต้องทบทวนว่าเพื่อนสนิทงกจนซื้อรถมือสองให้น้องสาวเลยเหรอ... แต่คนหน้าใหญ่อย่างปีย์มนัสไม่น่าทำแบบนี้ เท่าที่รู้จักเพื่อนมาคิดว่ามันต้องซื้อรถยนต์ราคาเป็นล้านให้น้องสาวอย่างแน่นอน
ถึงจะเป็นน้องคนละสายเลือดก็ตาม...
“สวัสดีครับ ผมขออนุญาตเปิดฝากระโปรงรถนะ” ช่างพูดอย่างสุภาพ เธอจึงพยักหน้าทันทีหลังจากวิตกกังวลอยู่เป็นชั่งโมง
ตนขับรถมาจากต่างจังหวัดเพราะไปงานขึ้นบ้านใหม่เพื่อนช่วงเช้า แล้วมีนัดกับแฟนช่วงบ่ายว่าจะไปดูหนัง ทว่าระหว่างทางเขาก็โทรมายกเลิก ตนจึงเลือกจอดรถข้างทางเพื่อพูดคุยไม่คิดว่ามันจะค่อยๆ ดับลงแล้วสตาร์ทไม่ติด
“ค่ะ เชิญค่ะ”
อหัสกรเดินไปดูกับช่างที่กำลังเช็ครถ แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังทำให้ต้องเลี่ยงไปรับ แล้วเอามือขึ้นเหนือศีรษะเพื่อบังแดดที่แรงจ้าในยามบ่าย ทั้งยังเป็นข้างทางที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาอีกต่างหาก