๑ ความช่วยเหลือจากคนไม่คุ้นเคย (๒)
“ฮัลโหลไอ้ปีย์ ตอนนี้กูพาช่างมาแล้วนะ กำลังดูรถให้น้องมึงอยู่คิดว่าอีกไม่นานก็น่าจะเสร็จ” รายงานให้เพื่อนได้ทราบ ระหว่างทางมันก็โทรมาถามเขาเรื่อยๆ จนน่ารำคาญ ห่วงน้องขนาดนั้นทำไมไม่มาดูเองเลยล่ะ
แต่พูดไปก็เท่านั้นแหละ คนกำลังอยู่ในช่วงหลงแฟน...อยากใช้เวลาด้วยกันให้มากที่สุด คิดแล้วหมั่นไส้
‘ขอบใจมาก กูโอนเงินไปให้มึงแล้ว ฝากจ่ายหน่อยนะ ถ้าเกินมึงก็เอาที่เหลือไปเลยแต่ถ้าขาดช่วยออกด้วย’
“เจริญ ให้กูมาดูแล้วยังให้กูออกเงินช่วยอีก” ถึงกับต้องถอนหายใจทันที เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโอนมาเท่าไหร่ แต่ก็ขอพูดออกไปก่อนให้ตนเองเหมือนเป็นฝ่ายถูกกระทำ
‘กูโอนไปเยอะ ไม่น่าจะขาดหรอก ฝากดูแลหนูไข่ด้วยล่ะ...ที่สำคัญห้ามทำตัวเจ้าชู้ใส่น้องกู ถ้ากูรู้ว่ามึงคิดไม่ซื่อกับหนูไข่มึงเจอดีแน่’ ตอนแรกก็เกือบเผลอคิดแล้วล่ะ ใครจะรู้ล่ะว่าน้องสาวมันจะสวยขนาดนี้ ตอนยังเด็กไม่เห็นเปล่งออร่างดงามเหมือนปัจจุบันเลย
เสียดายที่เป็นน้องสาวของเพื่อน ถ้าไม่ใช่เขาคงได้จีบไปแล้วล่ะ แต่พอเรื่องเป็นมาอย่างนี้จึงต้องสะกดใจตัวเองเอาไว้
ถ้าไม่อยากให้เรื่องบานปลาย ห้ามคิดเกินเลยกับหนูไข่ของไอ้ปีย์เด็ดขาด
“ขอรับ กระผมจะดูแลคุณหนูอย่างดี คุณท่านไม่ต้องเป็นห่วงนะขอรับ” เล่นบททาสผู้ซื่อสัตย์ตามประสา
‘เออ ขอบใจมาก’ กดวางสายทันทีแล้วมองร่างบางที่ชะเง้อคอดูว่าช่างทำอะไรบ้าง เหงื่อออกตามไรผมและใบหน้าหวานจนเขานึกสงสาร เสียดายที่ในรถไม่มีร่ม ไม่อย่างนั้นคงได้กางเพื่อบังแดดให้เธอแล้วล่ะ เดี๋ยวผิวสวยจะไหม้หมด
เขาเลือกยื่นผ้าเช็ดหน้าไปตรงหน้าเธอ กลายเป็นความเคยชินของชายหนุ่มที่มักพกผ้าเช็ดหน้าติดตัวตั้งแต่เด็ก อาจเพราะน้องสาวเขาเล่นซนแล้วได้แผลบ่อย จะให้พกผ้าเช็ดหน้าก็ไม่ยอม คนเป็นพี่ชายจึงต้องพกแทนแล้วคอยดูแลเธอไม่ห่าง
แต่พอโตขึ้นก็ไม่ได้ตามดูแลเหมือนตอนเด็ก ต่างคนก็มีชีวิตของตัวเอง ทว่าเขายังโทรหาเธอเสมอ ไหนจะไปรับ...ยามว่าง หรือไหว้วานเพื่อนคนอื่นคอยดูแลน้อง กลัวจะเจอคนไม่ดีหรือพวกโรคจิต
เข้าใจความเป็นพี่ชายของปีย์มนัสที่ห่วงน้อง เพราะเขาเองก็ห่วงน้องสาวเช่นเดียวกัน ตอนเธอมีแฟนคนแรกก็แสกนแล้วแสกนอีกจนเลิกราไป ไม่เห็นน้องจะร้องไห้เสียใจสักนิด เศร้าแค่วันสองวันก็หายแล้วกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม
“ขอบคุณค่ะ” เขมิการับผ้าเช็ดหน้ามาแล้วเช็ดเหงื่อที่ไหลโทรมกายจากแดดที่ร้อนจัด เธอไม่เคยรับผ้าเช็ดหน้าจากผู้ชายคนไหนมาก่อนเลย ปกติผู้ชายเขาพกผ้าเช็ดหน้าด้วยเหรอ...
พี่ชายของเธอไม่เห็นจะพก
“กินอะไรมาหรือยัง” ระหว่างนั้นก็ถามไถ่ปกติ เขาดูไม่ได้เก้อเขินแต่กลายเป็นหญิงสาวเองที่ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรกับคนเพิ่งเคยเจอกัน
จำได้ว่าแล้วว่าเขาคือเพื่อนของปีย์มนัสที่เคยมาเล่นอยู่บ้านเมื่อหลายปีก่อน แต่พอจบมหาวิทยาลัยก็ไม่ค่อยได้มา และเธอก็ไม่ค่อยได้เจออีกฝ่าย
จำเรื่องที่เขาโยนลูกบาสใส่ตนได้ ถึงมันจะผ่านมานานแล้วก็ยังฝังใจอยู่ดี...ไม่กล่าวขอโทษสักคำ
“ยังเลยค่ะ ไข่นัดกับแฟนไว้ว่าจะไปดูหนังด้วยกัน แต่ไม่ได้ไปแล้ว” เพิ่งรู้ว่าเพื่อนสนิทปล่อยให้น้องสาวมีแฟนด้วย ทีกับเขาห่วงจะเป็นจะตาย
อหัสกรพยักหน้าเข้าใจแล้วเหลียวมองรถยนต์ที่ดับ คิ้วหนาขมวดเป็นปมเข้าหากันทันที การที่รถเสียคนแรกที่ควรคิดถึงก็คือแฟนไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเธอถึงโทรหาพี่ชานล่ะ หรือไว้ใจปีย์มนัสมากกว่า
“รถเสียแบบนี้ไม่บอกแฟนเหรอ”
“เขาไม่ว่างค่ะ เห็นว่ามีประชุมด่วน” ดวงตากลมหม่นแสงลง ใช่ว่าหล่อนจะไม่โทรหาเขา เลือกติดต่อแฟนเป็นคนแรกแต่กลับเจออีกฝ่ายปฏิเสธ แล้วบอกเสียงเรียบว่าตนกำลังจะไปประชุม ทั้งที่เป็นวันหยุดแท้ๆ
หล่อนถอนหายใจพลางกำผ้าเช็ดหน้าแน่น เห็นอย่างนั้นอหัสกรก็นึกสงสารเธอ
“ไหนบอกนัดดูหนัง” เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องไปซักไซ้อีกฝ่าย เหมือนอยากรู้เรื่องราวนักหนา แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะถาม
“เขาเพิ่งโทรมายกเลิก..” น้ำเสียงบอกให้รู้ว่าเสียใจแค่ไหน เธอเพิ่งมีแฟนครั้งแรกหลังจากพี่ชายหวงมานาน คบกันไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยซ้ำก็เหมือนเขาจะไม่มีเวลาให้เลย ผิดนัดก็บ่อย ไปด้วยเที่ยวด้วยกันเอาแต่จับโทรศัพท์ไม่ค่อยสนใจหล่อน
จนคนคิดมากเริ่มกลัวว่าอีกฝ่ายจะมีคนอื่น...
“อ้อ แล้วจะเอาไงต่อล่ะ” ยังไม่ทันได้พูดคุยกัน ช่างที่เช็คหาสาเหตุก็รู้ว่าทำไมรถจึงดับ เขารีบมาบอกลูกค้าที่กำลังรออย่างรวดเร็ว
“รถแบตเตอรี่หมดครับ เดี๋ยวผมจะพวงแบตให้ก่อน แล้วค่อยขับไปที่อู่ซ่อมรถเพื่อเช็คสภาพรถอีกครั้ง จากที่ดูก็มีหลายอย่างต้องเช็คเหมือนกัน”
รถมือสองต้องใส่ใจดูแลเป็นพิเศษหน่อย หญิงสาวซื้อมาจากเพื่อนสนิทเห็นว่าเป็นรถของบิดา
ถึงจะเป็นรุ่นเก่าแต่ก็ยังสภาพดี ขับได้สามปีไม่เห็นมีปัญหาอะไร เพิ่งจะมีช่วงนี้ที่เริ่มงอแง ความจริงปีย์มนัสคิดซื้อรถให้น้องสาว แต่ราคาคันล่ะสี่ถึงห้าล้าน หล่อนจึงปฏิเสธเสียงแข็งแล้วเลือกใช้เงินที่ตนเองสะสมมาตลอดซื้อรถมือสองทันที เพื่อความสะดวกในการไปทำงาน
แค่มาอาศัยบ้านเขาอยู่แต่เด็กก็เกรงใจจะแย่แล้ว หากต้องให้อีกฝ่ายซื้อรถยนต์ราคาแพงเป็นของขวัญวันเรียนจบอีกก็คงถูกนินทาไปอีกนาน
หล่อนจึงทำตัวไม่ให้เหมือนกาฝาก...ถึงทุกคนที่บ้านอาจหาญชัยจะรักตนเหมือนคนในครอบครัวก็ตาม
“งั้นพี่จัดการตามสมควรเลยนะ เอาแบบปลอดภัยไร้กังวล”
“ได้ครับ ถ้าเสร็จแล้วผมจะโทรหา” รับคำเสียงหนักแน่น คนฟังจึงได้หายห่วงแล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจกับช่างซ่อมที่ตนเองเลือกมาเองกับมือ ตอนที่เจอกันครั้งแรกอีกฝ่ายเพิ่งเข้ามาทำงานที่อู่ได้ไม่นาน มีท่าทางเงอะงะแต่ฝีมือยอดเยี่ยม
เขาเห็นจึงขอให้เป็นช่างประจำของตนเอง ไปเช็คสภาพหรือล้างรถทีไรก็ให้ทิปตลอดจนสนิทสนม
“ขอบคุณมากพี่ ป่ะ เดี๋ยวพี่พาไปกินข้าว” ถือวิสาสะคว้ามือเล็กแล้วพาไปยังรถยนต์ของตนเอง เปิดประตูที่นั่งฝั่งข้างคนขับ พลางบังคับทางสายตาให้เธอเข้าไปนั่ง
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“มาเถอะน่า ยังไม่ได้กินข้าวไม่ใช่หรือไง หิวแย่แล้ว..ไม่ต้องกลัวพี่หรอก นี่คนดีนะ”
“เอ่อ ค่ะ ไปก็ได้ค่ะ” จำต้องเข้าไปนั่งอย่างเสียไม่ได้ สายตาของอีกฝ่ายมีอิทธิพลค่อนข้างรุนแรง เพียงเผลอจ้องไม่กี่วิก็สั่นคลอนหัวใจดวงนี้อย่างง่ายดาย
จนเขมิกาต้องตั้งสติแล้วบอกว่าตนมีแฟนแล้ว จะมาปลื้มผู้ชายอีกคนไม่ได้...ทั้งเขาเป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายอีก
“แล้วเราไม่ได้ตรวจเช็คสภาพรถเหรอ ขับยังไงให้แบตเตอรี่หมด ปกติมันต้องมีสัญญาณเตือนก่อนอย่างรถดับ หรือสตาร์ทยาก” เคลื่อนตัวออกจากจุดนั้นแล้วกลับรถเพื่อเข้าตัวเมือง เขาคิดจะพาเธอไปห้างสรรพสินค้าเพื่อรับประทานอาหารเที่ยง
แต่ไม่วายถามถึงเรื่องรถยนต์ เขาไม่เคยขับจนแบตเตอรี่หมดสักครั้ง หากรถมีอาการไม่ดีเพียงเล็กน้อยก็เข้าอู่ตลอด เช็คสภาพบ่อยจนจำพนักงานทุกคนได้
อีกอย่างคือเจ้าของอู่เป็นเพื่อนของตน ตอนแรกที่มันสร้างกิจการก็ไม่ค่อยมีลูกค้าเท่าไหร่ เขาจึงเข้าไปใช้บริการเห็นว่าดีค่อยบอกต่อ ส่วนตอนนี้เหรอ...กิจการไปได้ดีจนมีสาขาสามและสี่ตามมาแล้วล่ะ
เพื่อนทุกคนต่างมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ต่างจากเขาที่เป็นพนักงานบริษัทกินเงินเดือนไปวันๆ เพราะไม่อยากเข้าไปยุ่งกับธุรกิจของแม่ เดี๋ยวหาเรื่องแนะนำผู้หญิงให้ตนเหมือนแม่ของทิวากรทำอีก แค่คิดก็ต้องส่ายหัวแล้ว
“ก็ ก็มีค่ะ แต่ไข่เห็นว่ามันยังขับได้ก็เลยไม่ไปเช็คสภาพรถ” ส่ายศีรษะทันทีเมื่อได้ยินหญิงสาวยอมรับผิด
“เฮ้อ ถ้าไอ้ปีย์รู้บ่นเราหูชาแน่เลย...ว่าแต่จำพี่ได้ไหม” เธอเองก็กลัวเช่นกัน แต่เดี๋ยวจะขอร้องไม่ให้อหัสกรบอกพี่ชายตัวเอง หากเขารู้คงได้ซื้อรถคันใหม่ให้อย่างแน่นอน
ใบหน้าหวานเหลียวมองคนที่กำลังขับรถ แล้วเลือกก้มดูมือของตนที่ถือผ้าเช็ดหน้าเขาเอาไว้ เครื่องปรับอากาศภายในทำให้เย็นสบายจนไม่มีเหงื่อซึมตามไรผม
ตอนแรกอาจจะจำไม่ได้หรือไม่มั่นใจ แต่ตอนนี้เธอจำเขาได้แล้วล่ะ
“พี่แมน..ใช่ไหมคะ” ถึงเจอไม่กี่ครั้งและเหตุการณ์ที่ทำให้พบกันจะไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่ก็ตาม หญิงสาวก็ยังจำเขาได้...น่าแปลกใจเหมือนกัน
“เก่งนิ จำได้ด้วยขนาดไม่เจอกันนาน แสดงว่าหน้าพี่ยังหล่อเหมือนสมัยเรียนมหา’ลัย” เอ่ยชมตัวเองจนเขมิกาเริ่มหมั่นไส้
“พี่ปีย์ทักมาบอกน่ะค่ะ” เล่นเอาคนหล่อถึงกับยิ้มหน้าเจื่อน ส่วนหล่อนก็เม้มปากแน่นยามเห็นอย่างนั้น สนุกเหมือนกันที่ได้คุยกับอหัสกร ตอนแรกนึกว่าชายหนุ่มจะถือตัวเสียอีก พอได้คุยจริงจังก็น่ารักชวนคุยเก่ง
ไม่ทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดจนเกินไป...ไม่เหมือนกับที่พี่ปีย์บอกให้ระวังเลย
“อ้อ เหรอ อย่างนั้นเอง แล้วนี่เรานัดดูหนังกับแฟนซื้อตั๋วหรือยัง หรือว่าไปซื้อที่หน้าโรงหนัง” ถามเรื่อยเปื่อยเพื่อให้ตัวเองลืมเรื่องที่หน้าแตกเมื่อครู่ ไอ้เราก็คิดว่าจะจำได้เพราะความหล่อเสียอีก
“จองไว้แล้วค่ะ แต่คงได้ทิ้ง..” บอกเสียงแผ่วอย่างเสียดาย โรงหนังที่จองราคาก็ไม่ใช่น้อยด้วยสิ
“ทิ้งทำไมเล่า เดี๋ยวพี่ไปดูเป็นเพื่อน วันนี้พี่ว่างทั้งวัน อีกอย่างกว่ารถจะเสร็จก็หลายชั่วโมง ถ้าดูแลน้องไม่ดีเดี๋ยวไอ้ปีย์ก็มาด่าพี่อีก วันนี้ให้เป็นเจ้าหญิงหนึ่งวันเลย เดี๋ยวพี่เป็นองครักษ์ตามดูแลเอง” ประโยคยืดยาวของเขาทำให้เธอรู้สึกดีที่มีคนอยู่ข้างกายยามต้องการความช่วยเหลือ
แววตาที่มองเขาจึงค่อนข้างเปลี่ยนจากตอนแรก ไหนจะเรื่องผ้าเช็ดหน้าอีก...จะยื่นคืนก็ไม่กล้าเพราะมีเหงื่อของตนจนมันเปียก สงสัยต้องเอาไปซักให้ก่อนค่อยคืนทีหลัง
“จะไม่รบกวนพี่แมนเหรอคะ” วันหยุดทั้งทียังให้เขาลำบากเพราะตน ทั้งที่ไม่ได้สนิทกันสักนิด
“กับเราไม่รบกวนหรอก พี่ยินดีรับใช้อยู่แล้ว..ยังไงก็เป็นน้องไอ้ปีย์” บอกให้เธอคลายความกังวลว่าเขาจะเข้ามาจีบหรือคิดเกินเลยมากกว่านั้น สำหรับอหัสกรความรักเป็นสิ่งต้องห้าม แค่ถูกใจและสนุกชั่วครั้งคราวยังได้
เขาไม่ต้องการผูกมัด..หรือเข็ดจากรักครั้งก่อนที่ไม่สมหวัง และรู้ว่ามันเจ็บแค่ไหนตอนที่ต้องเลิกรา ไม่อยากเอาตัวไปผูกไว้ที่ใครอีกแล้ว
กลายเป็นคนปิดกั้นตนเองแต่ก็ยังสนุกในการพูดคุยกับเพศตรงข้าม
“แล้วไข่ทำงานที่ไหน” ระหว่างขับรถไปยังห้างสรรพสินค้าที่หญิงสาวจองตั๋วหนังเอาไว้ก็ถามไถ่ไม่ให้เงียบ
“บริษัทในเครือ RDC group ค่ะ”
“บริษัทไอ้สองเหรอ เก่งไม่เบานะ ตำแหน่งอะไร” เขาเพิ่งรู้ว่าเธอทำงานที่บริษัทของตระกูลฤกษ์เดชา ไม่เห็นเพื่อนสนิทบอกสักคำ ก็อย่างว่าแหละปีย์มนัสไม่ค่อยพาน้องมาหาเพื่อนเท่าไหร่ ต่างจากเขาที่ให้เพื่อนทั้งสี่ช่วยดูแลมุกดา น้องสาวของตนเองตลอด
ก่อนหน้านี้ก็ฝากทิวากรไปรับส่งเพื่อความปลอดภัย แต่พอมันมีแฟนก็หายต่อม อีกอย่างคือน้องเขาได้มีแฟนเรียบร้อยแล้ว ตัวติดกับแฟนแทบไม่เห็นหัวพี่ชาย ซึ่งคนปัจจุบันที่คบก็ค่อนข้างโอเค เขาคุยด้วยแล้วดูจริงใจไม่คิดจะมาหลอกฟัน...
ถือว่าผ่าน
“บัญชีค่ะ”
“อ้อ อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานพี่เลย” เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะบอกเธอทำไม ระหว่างนั้นก็ชวนคุยสัพเพเหระไม่ให้หล่อนเหงา จนหญิงสาวรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจกับเขามากขึ้น
ดูเหมือนพี่ที่โยนลูกบาสใส่เธอ...ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรสักหน่อย ไม่น่าตั้งแง่กับเขาไว้เยอะเลย