บทที่ 8 เจ้าแม่เงินล้านออกโรง!
ฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะผ่านพ้นไป บรรยากาศอึมครึมในคฤหาสน์ตระกูลหลิว ทำให้เหล่าข้ารับใช้ต่างหวาดหวั่น เว้นแต่เพียงเรือนเล็กๆ แสนปราณีตหลังนี้เท่านั้น
“ขงจื่อกล่าวไว้ว่า วิญญูชนใช้ความเที่ยงธรรมเป็นพื้นฐาน ใช้ขนบจารีตเป็น.. เป็น…”
“เป็นแนวทางปฏิบัติ” เสียงเด็กชายคอยต่อคำให้เด็กหญิงอย่างใจเย็น
ทั้งสอง คนหนึ่งอ่าน คนหนึ่งสอน โต้ตอบกันไปมาอย่างเป็นธรรมชาติ ซ่งซื่อมองภาพความสงบสุขเช่นนี้แล้ว ก็อดที่จะเผยรอยยิ้มบางออกมามิได้
“ที่เจ้าเคยบอกว่าแม้ไม่ชอบเล่าเรียน แต่มิใช่เล่าเรียนมิได้ นั่นคงจะจริง”
‘ส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณปะป๊า มาม๊า กับวิชาเลือกเสรีสมัยมหาลัย และอีกส่วนก็เขานี่ล่ะ’
“ที่ข้าจำได้เร็วเช่นนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะหลักการจำของท่านด้วยมิใช่หรือ”
หลิวเหวินจิ้งเพียงส่งยิ้มบางให้และลูบศรีษะนางอย่างอ่อนโยน
‘อา… ฉันเห็นรัศมีเทวดาตัวน้อยจากเขาอีกแล้ว เด็กอะไรน่ารักเหลือเกิน’
หลิวลู่หลินกำมือทั้งสองข้างไว้แน่นเพื่อควบคุมตนเองไม่ให้พุ่งเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงเขา
“จริงสิ ข้าทำถุงมือให้ท่านใกล้เสร็จแล้ว ท่านลองสวมดูก่อนว่าพอดีหรือไม่” นางเอ่ยก่อนจะเดินไปหยิบถุงมือขนกระต่ายมาจากตะกร้าเย็บปัก
เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนเพราะได้ยินแม่นมชุ่ยเอ่ยชมหลานสาวตนเองให้ฟัง ว่านางเย็บอาภรณ์ได้งดงามยิ่ง และเพิ่งจะส่งอาภรณ์ฤดูหนาวที่เย็บเองมาแสดงความกตัญญูต่อผู้เป็นย่า
หลิวลู่หลินจึงเกิดความคิดบางอย่างขึ้น นางให้หงซิ่งช่วยสอนงานเย็บปักถักร้อย แรกเริ่มเป็นถุงหอม ต่อมาก็เป็นถุงเงิน ก่อนหน้านี้ก็เป็นถุงเท้า และตอนนี้ก็เป็นถุงมือ
งานเย็บนั้นนางพอจะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่งานปักนี่สิเรียกได้ว่าเข้าขั้นน่าเกลียดเลยทีเดียว แม้จะเลือกจับคู่สีได้ดี แต่เมื่อปักออกมาแล้วกลับบูดเบี้ยวจนดูไม่ออกว่าเป็นรูปอะไรเสียด้วยซ้ำ
แต่หลิวเหวินจิ้งกลับไม่พูดอะไรสักนิด เขาเอาของที่นางทำให้มาใช้เป็นของประจำตัวเสียด้วยซ้ำ
“ใส่พอดีหรือไม่เจ้าคะ” โชคดีที่ถุงมือนี่เป็นขนกระต่ายจึงไม่จำเป็นต้องปักลายอะไร
“เหมือนจะหลวมไปเล็กน้อย เช่นนี้ก็ดีไม่อึดอัด” การเป็นน้องสาวที่เขาเอ็นดูก็มีข้อดีตรงที่ ไม่ว่าทำอะไรเขาก็ว่าดีไปหมดนี่แหละ
“ท่านใส่คู่นี้ไปก่อน ไว้ข้าหาขนจิ้งจอกหรือขนเตียวได้เมื่อไหร่จะเอามาทำคู่ใหม่ให้ท่าน”
“แค่ขนกระต่ายก็พอแล้วกระมัง ไม่จำเป็นต้องใช้ของราคาแพงเช่นนั้น”
“ก็ข้าอยากให้ท่านได้ใช้ของที่ดีที่สุดนี่นา ถุงมือขนจิ้งจอกของท่านแม่ที่ข้าเพิ่งเย็บเสร็จใส่แล้วทั้งนุ่มทั้งอุ่น ข้าชอบมากทีเดียวเจ้าค่ะ น่าเสียดายที่มีหนังจิ้งจอกน้อยเกินไป” นางว่าพลางเย็บถุงมือต่อจนเสร็จ
“เจ้าชอบขนจิ้งจอกหรือ”
“เจ้าค่ะ หากสามารถหาซื้อได้สักสี่ห้าผืนล่ะก็ ข้าจะต้องเย็บเสื้อคลุมขนจิ้งจอกได้แน่” เมื่อนางนึกถึงเสื้อผ้าแฟชั่นในโลกที่จากมาแล้ว ก็รู้สึกอยากจะทำมันออกมาเดี๋ยวนั้นเลย
สายตาเป็นประกายของนาง เรียกรอยยิ้มอบอุ่นจากเขาได้เป็นอย่างดี
‘ฉัน… ฉันทนไม่ไหวแล้ว!!’ นางโผเข้าไปกอดเขาไว้แน่นพร้อมกับเอาใบหน้าถูไถแผ่นอกของเขาอย่างสุดจะห้าม
‘เด็กอะไรน่ารักเป็นบ้า ทำให้พี่สาวคนนี้อดใจไม่ไหวจริงๆ’
หลิวเหวินจิ้งแม้จะตกใจอยู่บ้าง แต่ก็สามารถรับตัวนางไว้ได้ไม่ยาก และโอบประคองนางอย่างทะนุถนอม “เป็นอะไรไป”
“ข้าหนาว!” เสียงอู้อี้ของคนในอ้อมแขนฟังดูไม่น่าเชื่อถือนัก แต่เขาก็มิได้เปิดโปงนาง
เขามักจะสังเกตนางอยู่ตลอด ทุกครั้งที่เขายิ้ม หรือแสดงออกว่ามีความสุข นางก็มักจะเข้ามาคลอเคลียกับเขาเช่นนี้เสมอ
แรกเริ่มเขาอาจทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง เพราะความรู้สึกเช่นนี้เขาไม่เคยได้สัมผัสมันมาก่อน แต่ยิ่งนานวันเข้าเขากลับยิ่งต้องการสัมผัสมันให้มากขึ้น และมีเพียงนางเท่านั้นที่ทำให้เขาได้
“พี่จิ้ง ข้าอยากออกไปเดินเล่นข้างนอกเจ้าค่ะ” นางมักจะออดอ้อนเขาอยู่บ่อยครั้ง
“ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว รอให้ท่านหมอมาตรวจอีกสักรอบ ให้แน่ใจว่าร่างกายเจ้าไม่เป็นไรจริงๆ แล้วค่อยไปจะดีกว่า”
“แต่ข้าอยู่ในเรือนมาจวนจะครบเดือนแล้วนะเจ้าคะ ครั้งก่อนท่านหมอก็บอกว่าข้าอาการดีขึ้นมากแล้วมิใช่หรือ”
“หลินหลิน เจ้าบาดเจ็บภายใน แม้ดูภายนอกจะเหมือนหายดีแล้วก็จริง แต่หากไม่รักษาให้หายขาด แล้วเจอลมหนาวเข้า ก็อาจกลายเป็นโรคเรื่อรังได้ ทางที่ดีเจ้ารอให้ท่านหมอมาตรวจอีกสักรอบเถอะ” แม้เขาจะไม่ได้น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็เป็นพี่ชายที่เข้มงวดมากอยู่ดี
‘แล้วโครงการสำรวจตลาดของฉันก็ต้องถูกเลื่อนไปอีกรอบ เฮ้อ’
รอจนท่านหมอมาตรวจอีกครั้งก็ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์แล้ว เมื่อได้รับคำยืนยันจากท่านหมอ หลิวเหวินจิ้งจึงยอมให้หลิวลู่หลินออกไปเที่ยวเล่นได้
นางดีใจราวกับนักโทษที่ได้รับการปล่อยตัวจากห้องขัง เรื่องนี้สร้างความขบขันให้กับซ่งซื่ออยู่ไม่น้อย
นางจัดการนับเงินทั้งหมดที่เหลืออยู่ หลังจากขายเครื่องประดับและซื้อของไปมากมายเมื่อเดือนที่แล้ว ยอดเงินคงเหลือยังคงทำให้นางถึงกับต้องอ้าปากค้างอยู่ดี
มิใช่นางไม่เคยมีเงินมาก เพียงแต่ไม่เคยมีเงินมากมายเพียงนี้ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าเครื่องประดับในตู้นั่นจะมีราคามากถึงเพียงนี้
หงซิ่งเล่าว่าเครื่องประดับเหล่านั้นเจ้าของร่างเดิมสะสมมาตั้งแต่สี่ขวบ เริ่มจากการได้ติดตามเหล่าไท่จวินออกไปข้างนอก
หลังจากนั้นนางก็มักจะชอบออกไปเที่ยวเล่นในเมืองกับแม่นมชุ่ยและหงซิ่งอยู่บ่อยครั้ง ทุกครั้งจะต้องมีเครื่องประดับสักชิ้นสองชิ้นติดตัวกลับมาด้วยเสมอ เหล่าไท่จวินจึงมักจะให้ตั๋วเงินจำนวนมากกับนางก่อนจะออกไป
‘ดูเหมือนตระกูลหลิวจะร่ำรวยมากจริงๆ ถึงขนาดเอาตั๋วเงินเป็นพันตำลึงให้เด็กเจ็ดแปดขวบไปใช้จ่ายได้อย่างไม่คิดแบบนี้’
นางยังคงทำตัวเหมือนกับหลิวลู่หลินคนก่อน นั่นคือการไปขอพบเหล่าไท่จวินก่อนออกไปเที่ยวเล่น และครั้งนี้นางยังคงได้รับตั๋วเงินสองพันตำลึงเช่นเดิม เป็นตั๋วแลกเงินของร้านจินเป่าเหมือนเดิมทุกประการ
คิดดูแล้วหากหลิวลู่หลินคนก่อนไม่นำเงินเหล่านี้ไปซื้อพวกเครื่องประดับล่ะก็ ได้มาครั้งละสองพันตำลึงเป็นเวลาสามปี ในหนึ่งเดือนก็ออกไปเที่ยวเล่นไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง จำนวนเงินเหล่านั้นรวมๆกันแล้วต้องถึงล้านตำลึงเป็นแน่
‘เอาเถอะตอนนี้มีห้าแสนกว่าตำลึงก็ถือว่าเป็นเงินทุนที่ไม่น้อยแล้ว ต่อไปก็เป็นการสำรวจตลาด’
รถม้าหรูหราคันหนึ่งวิ่งออกจากคฤหาสน์สกุลหลิว ผู้คนต่างหันมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น หน้าต่างสองข้างของรถม้าเปิดอยู่ทำให้มองเห็นผู้โดยสารด้านในได้อย่างชัดเจน
เป็นเด็กหญิงตัวน้อยและเด็กชายที่หน้าตางดงามคู่หนึ่ง เด็กหญิงเกาะขอบหน้าต่างและมองออกมาด้านนอกอย่างตื่นเต้น ส่วนเด็กชายคอยประคองนางไว้ไม่ให้ตกจากรถม้า
“พี่จิ้ง ป้ายนั่นอ่านว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ” มิใช่อ่านไม่ออกเพียงแต่อยากรู้ว่าเป็นการค้าใดเท่านั้น
ราวกับว่าหลิวเหวินจิ้งเข้าใจความหมายที่นางต้องการจะสื่อ เขาไม่เพียงบอกชื่อร้าน แต่ยังบอกเล่าถึงรายละเอียดการค้าให้นางฟังด้วย
เมืองหลวงแคว้นเว่ยแบ่งออกเป็นสี่ฝั่ง
ฝั่งเหนือเป็นที่ตั้งของวังหลวง วังของเหล่าเชื้อพระวงศ์ และชนชั้นสูง
ฝั่งตะวันออกเป็นที่อยู่ของเหล่าขุนนางและเหล่าบัณฑิต แม้มีชนชั้นสูงอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากนัก
ฝั่งตะวันตกเป็นที่อยู่ของเหล่าพ่อค้า ประชาชนทั่วไป และร้านรวงต่างๆ
ส่วนฝั่งใต้นั้นเป็นที่อยู่ของเหล่าแรงงาน พ่อค้าทาส และคนที่เพิ่งย้ายถิ่นฐานมาอยู่ใหม่
ตระกูลหลิวเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลค้าขายที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวงแคว้นเว่ย โดยมีร้านรับฝากเงินเป็นรายได้หลัก นั่นคือร้านจินเป่าซึ่งมีนายท่านรองเป็นผู้สืบทอดกิจการต่อจากนายท่านผู้เฒ่าที่ล่วงลับไป
‘นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไม เหล่าไท่จวินถึงรักใคร่เอ็นดูฉันนัก’
ผู้คนในแคว้นเว่ยมักจะมารวมตัวกันที่ฝั่งตะวันตก เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คึกคักที่สุด ทั้งร้านค้า เหลาอาหาร สถานเริงรมย์ล้วนมีอยู่ที่นี่
หอเถียนไฉ่เป็นเหลาอาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดในเมืองหลวง
หอเฟินเตี๋ยเป็นสถานเริงรมย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดสำหรับบุรุษทั้งหลาย
ร้านไป๋เหม่ยเป็นร้านแพรพรรณที่โด่งดังที่สุด ว่ากันว่าอาภรณ์ของเหล่าพระสนมในวังตัดเย็บจากแพรพรรณของที่นี่
และสุดท้ายร้านเงินจินเป่าเป็นร้านเงินที่น่าเชื่อถือที่สุดในแคว้นเว่ย เพราะมีสาขามากมายกระจายอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ
หลิวลู่หลินฟังเรื่องราวมากมายก่อนจะเลือกทำร้านขนม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ครอบครัวของนางในโลกก่อนสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว นางจึงเริ่มสำรวจตลาดโดยการเข้าไปซื้อขนมทุกร้านด้วยตนเอง
ที่ฝั่งตะวันตกนี้มีร้านขนมขึ้นชื่ออยู่สองแห่ง ซึ่งทั้งสองแห่งมีสินค้าเหมือนกันแทบจะทั้งหมด ที่แตกต่างก็เพียงแค่รสชาติและเนื้อสัมผัสเท่านั้น
‘ขนมพวกนี้ ชิ้นที่ดีที่สุด แม้จะหน้าตางดงาม ทำอย่างประณีต แต่ว่าห่างไกลจากคำว่าอร่อยเป็นโยชน์’
“หลินหลิน ขนมเหล่านี้เจ้ากินคนเดียวหมดหรือ” หลิวเหวินจิ้งมองกล่องขนมมากมายที่วางอยู่เต็มรถม้า ทุกกล่องล้วนถูกเด็กหญิงตัวน้อยแกะออกมาชิมแล้วทั้งสิ้น
นางมองเขาตาปริบๆ ก่อนจะตอบอย่างไร้เดียงสาว่า “มิใช่เราสองคนกินด้วยกันหรือเจ้าคะ ข้าตั้งใจซื้อมากินกับท่าน แต่ว่า… หากท่านไม่ชอบ ก็ไม่เป็นไร ข้ากินคนเดียวก็ได้เจ้าค่ะ” สีหน้านางสลดลงตามน้ำเสียง ทำให้คนฟังต้องรีบหยิบขนมชิ้นหนึ่งเข้าปากในทันใด
เพียงแค่คำแรก เขาก็ต้องขมวดคิ้ว กับความหวานจนเลี่ยนที่แผ่กระจายไปทั่วปาก ทำให้ต้องดื่มชาติดกันสามจอกจึงค่อยดีขึ้น
“หลินหลิน เจ้าซื้อมาเยอะเพียงนี้ เราสองคนไม่มีทางกินหมดเป็นแน่ เจ้าเก็บไว้ตกรางวัลให้พวกสาวใช้ที่เรือนเป็นอย่างไร” ความคิดของเขาช่างดียิ่ง
“เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ พวกนางดูแลข้าอย่างดีมาตลอด ข้ายังไม่เคยตกรางวัลให้พวกนางเลยสักครั้ง” ว่าแล้วก็เก็บกล่องขนมที่ถืออยู่กลับเข้าที่เดิม
“เจ้าอยากไปที่ใดอีกหรือไม่”
“ข้าอยากไปร้านเหล็ก ร้านเครื่องปั้น แล้วก็อยากไปที่ฝั่งใต้เจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินคำว่าฝั่งใต้ สีหน้าของหลิวเหวินจิ้งขรึมลงทันที “เจ้าจะไปฝั่งใต้ด้วยเหตุใด ที่นั่นมิใช่ที่สำหรับเที่ยวเล่นหรอกนะ”
ท่าทางเคร่งขรึมของเขาทำให้นางต้องรีบเข้าไปออดอ้อน “ข้าก็แค่อยากเที่ยวดูให้ทั่วเมืองเท่านั้น หากท่านไม่อนุญาต เช่นนั้นข้าไม่ไปก็ได้เจ้าค่ะ”
เขายกมือขึ้นลูบหัวนางอย่างเอ็นดู “ที่นั่นส่วนมากมีแต่พวกใช้แรงงานกับพ่อค้าทาส หากไม่จำเป็นข้าไม่อยากให้เจ้าไป”
นางมองหน้าเขาแล้วครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะตัดสินใจเล่าความคิดเรื่องการเปิดร้านขนมให้ฟัง “ท่านคิดว่าอย่างไร”
“เหตุใดเจ้าจึงคิดจะเปิดร้าน” สายตาคมกริบของเขาจ้องนางอย่างมีความนัย
“บุรุษโตขึ้นต้องเป็นเสาหลักของครอบครัว สตรีโตขึ้นต้องออกเรือน สิ่งเหล่านี้ข้าเข้าใจดีเจ้าค่ะ เพียงแต่… ตัวข้าอยากจะลองพึ่งพิงตนเองดูสักครั้ง”
สายตาล้ำลึกของเขาทำให้นางรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาว “ในกฎหมายแคว้นเว่ย มิได้ระบุว่าห้ามสตรีทำการค้า หากเจ้าต้องการให้ข้าช่วยเรื่องใดก็บอกมาได้”
นางเผยรอยยิ้มสดใสพร้อมกับนัยตาที่เปล่งประกาย “มีมากมายเลยเจ้าค่ะ”
รถม้าคันหรูหยุดตรงหน้าร้านเครื่องปั้นเล็กๆร้านหนึ่ง เด็กหญิงและเด็กชายจูงมือกันลงมาจากรถ โดยมีแม่นม สาวใช้และบ่าวชายตัวเล็กเดินตามเข้าไปในร้าน
ผ่านไปเพียงไม่นานคนทั้งหมดก็ออกมา โดยมีเถ้าแก่ร้านเครื่องปั้นเดินมาส่งด้วยตนเอง แต่ในขณะที่เด็กหญิงกำลังจะก้าวขึ้นรถ นางกลับถูกเด็กชายอุ้มแล้วกระโดดขึ้นไปบนรถม้าอย่างรวดเร็ว
แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น มีชายคนหนึ่งพุ่งตัวกระแทกแม่นมจนล้มลง และตรงมาที่ที่เด็กหญิงเคยยืนอยู่เมื่อครู่ จากนั้นทำท่าจะคว้าจับอะไรบางอย่าง แต่กลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า เขางุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะพบว่าเด็กหญิงถูกพาตัวขึ้นไปบนรถม้าเรียบร้อยแล้ว
และยังไม่ทันที่เขาจะหนีก็มีปลายมีดสั้นเล่มหนึ่งยื่นมาจ่อที่คอ พร้อมกับเสียงตวาดอย่างดุดันของเด็กชาย
“ใครส่งเจ้ามา!”