บทที่ 9 ลักพาตัว (1)
“ใครส่งเจ้ามา!” เสียงตวาดและท่าทางดุดันของหลิวเหวินจิ้ง ทำให้ชายผู้นั้นกลัวจนตัวสั่น
แม้เป็นเพียงเด็กสิบขวบ แต่ทั้งท่าทางและวรยุทธ์ของเขา ก็สามารถขู่ขวัญผู้คนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะดวงตาหงส์คู่นั้น
“จะ… จะ… เจ้าพูดอะไร! ขะ.. ข้า… ข้าเพียงแค่รีบร้อนไปหน่อย ก็เลยเผลอวิ่งชนพวกเจ้าเท่านั้น” ชายผู้นั้นแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
“โกหก! หากเจ้ายังไม่พูดความจริง ข้าจะตัดหูเจ้าซะ!!” หลิวเหวินจิ้งตวัดมีดสั้นเฉียดผ่านใบหูเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้ชายผู้นั้นถึงกับตกใจจนเข่าอ่อน
“พะ… พะ… พูด พูดแล้ว ข้าพูดแล้ว!!” เขาตะโกนออกมาราวคนเสียสติ
“เป็น… เป็นนายท่านของข้า นายท่านต้องการตัวคุณหนูผู้นี้” เขาว่าพลางชี้ไม้ชี้มือไปทางหลิวลู่หลิน
“ต้องการตัวข้า? เพราะเหตุใด” นางใช้นิ้วชี้จมูกตนเองอย่างงุนงง
“ระ… เรื่องนั้นข้าไม่รู้ ขะ… ข้าเพียงแค่รับคำสั่งมาเท่านั้น”
“เจ้านายของเจ้าเป็นใคร” หลิวเหวินจิ้งเอ่ยถามเสียงเย็น
“จะ… เจ้านายของข้า เอ่อ…”
ฟิ้ว~ ฟิ้ว~ ฟิ้ว~ เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! ปึก! ปึก! ปึก!
หลิวเหวินจิ้งใช้มีดสั้นปัดอาวุธลับที่จู่โจมอย่างกระทันหันได้ทั้งหมด แต่เพราะการโจมตีเมื่อครู่จึงทำให้ชายผู้นั้นหลบหนีไปได้ เขารีบกระโดดลอยตัวตามไปทันที แต่กลับถูกหลิวลู่หลินเรียกไว้
“พี่จิ้ง! อย่าตามไปเจ้าค่ะ” เสียงร้องตะโกนของนางทำให้เขาลังเล
“แต่ว่า…”
“ได้โปรด ข้ากลัวเจ้าค่ะ อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว” นางมีท่าทางตื่นกลัวเหมือนจะร้องไห้ เขาหมุนตัวทันทีและกระโดดเพียงสองครั้งก็ไปถึงข้างกายนาง
จากนั้นดึงนางมากอดไว้แนบอก ก่อนจะอุ้มเข้าไปในรถม้า “อย่ากลัวไปเลยหลินหลิน เจ้ามีข้าอยู่ ข้าไม่มีทางปล่อยให้ผู้ใดทำร้ายเจ้า”
‘แต่เมื่อครู่ท่านกำลังจะตามคนผู้นั้นไปมิใช่หรือ หากเป็นกับดักขึ้นมาจะทำยังไง’
นางยังคงแกล้งทำท่าทางตื่นตกใจและนั่งอยู่บนตักเขาพลางซุกซบแผ่นอกแสนอบอุ่น “พี่จิ้ง เรื่องวันนี้อย่าบอกท่านแม่นะเจ้าคะ ข้าไม่อยากให้ท่านแม่เป็นห่วง แม่นมชุ่ยกับหงซิ่งเองก็เช่นกัน”
“จะ… เจ้าค่ะ” หงซิ่งรับปากเสียงสั่นเพราะตื่นตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ข้ารู้ แต่เรื่องนี้ข้าไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ” สายตาดำมืดของหลิวเหวินจิ้งจ้องอาวุธลับที่เขาเก็บมาด้วยเขม็ง
“แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่นะเจ้าคะคุณหนู หากไม่แจ้งให้ฮูหยินทราบล่ะก็ บ่าวเกรงว่า…”
“แม่นมชุ่ย อย่าได้กังวลเกินเหตุ หากท่านแม่รู้เรื่องก็ไม่สามารถทำอะไรได้ มีแต่จะทำให้ท่านเป็นห่วงเสียมากกว่า”
“…เจ้าค่ะคุณหนู” แม้จะรับปากแล้วแต่แม่นมชุ่ยก็ยังอดกังวลมิได้
เมื่อกลับมาถึงเรือนหลิวลู่หลินจัดการตกรางวัลให้กับสาวใช้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ขนมที่นางซื้อมามีหลายกล่องราคาสิบถึงยี่สิบตำลึง ทำให้เหล่าสาวใช้ดีใจกันเป็นอย่างมาก
หงซิ่งเองพอได้รับขนมก็ดีใจจนลืมเรื่องร้ายที่เพิ่งพบเจอมาก่อนหน้าไปเสียสิ้น
‘เฮ้อ เป็นเด็กก็ต้องแบบนี้ล่ะ ตกใจง่ายหายเร็ว แค่ใช้ขนมก็หลอกล่อได้สำเร็จแล้ว ผิดกับ…’ คิดแล้วก็ปรายตามองเด็กชายที่นั่งตีหน้าขรึมอยู่ด้านข้าง
“พี่จิ้ง ท่านหิวหรือไม่เจ้าคะ”
เขาเพียงสายหัวแล้วลุกขึ้น “เจ้ากินก่อนเถอะ ข้ายังมีเรื่องต้องไปจัดการ”
นางมองแผ่นหลังเหยียดตรงของเด็กชายที่หายลับไปจากประตู ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“คุณหนูเจ้าคะ อาหารเย็นมาแล้วเจ้าค่ะ” หงซิ่งเดินถือตะกร้าเข้ามาอย่างร่าเริง
‘เอาเถอะ อย่างน้อยก็มีเด็กที่เหมือนเด็กจริงๆอยู่คนหนึ่งล่ะ’
คืนนั้นหลิวลู่หลินเริ่มออกแบบหน้าร้าน และเขียนเมนูขนมต่างๆ ซึ่งนางตั้งใจเอารูปแบบมินิมอลคาเฟ่ในโลกก่อนมาดัดแปลงใหม่
ร้านขนมของที่นี่มีเพียงเก้าอี้รับแขกกับโต๊ะน้ำชาตัวเล็กสำหรับรอรับกลับเท่านั้น นางจึงตั้งใจทำที่นั่งสำหรับทานในร้าน และทำห้องส่วนตัวสำหรับคนที่ต้องการความสงบ
ส่วนเมนูนั้น มีขนมขึ้นชื่อสูตรลับของพ่อกับแม่ในโลกก่อนเป็นตัวชูโรง และจากอุปกรณ์ที่สั่งทำในวันนี้ รวมถึงเหล่าวัตถุดิบต่างๆที่พอหาได้ในตลาด ทำให้นางสามารถใส่เมนูคุ๊กกี้ เค้ก รวมถึงโดนัทเข้าไปด้วยได้
“หลังจากนี้คงต้องให้แม่ครัวเฉินสอนทำขนมที่นี่แล้วล่ะ จากนั้นค่อยเอามาปรับสูตรใหม่” เรื่องนี้ไม่ยากเกินความสามารถของนาง
วันรุ่งขึ้นหลิวลู่หลินตื่นนอนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางและตรงไปยังห้องครัวใหญ่ทันที คราวนี้เหล่าสาวใช้และแม่ครัวมิได้ห้ามปรามนางอีก ตรงกันข้ามพวกนางต่างคนต่างเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือและวัตถุดิบต่างๆ ให้หลิวลู่หลินอย่างรู้งาน
“ป้าเฉิน ข้าอยากทำขนมให้ท่านย่า ป้าช่วยสอนข้าได้หรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยเสียงหวานเหมือนตอนออดอ้อนหลิวเหวินจิ้งไม่มีผิด
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะเจ้าคะคุณหนูรอง ป้าเฉินคนนี้ถนัดทำขนมเป็นอย่างยิ่งเลยเจ้าค่ะ” ท่าทางน่าเอ็นดูของนางเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเกินคาด
“เช่นนั้นข้าขอเรียนทำขนมทั้งหมดที่ท่านรู้เลยนะ คิดว่าต่อไปข้าต้องได้ทำบ่อยๆแน่นอน” นางว่าพลางยิ้มจนตาหยี ทำเอาแม่ครัวเฉินอารมณ์ดีไปทั้งวัน อาหารหลายมื้อในวันนั้นรสชาติดียิ่งกว่าที่ผ่านมา
กลางยามเฉิน (ยามเฉิน : 07:00น. - 08:59น.) หลิวลู่หลินถือตะกร้าขนมเข้าไปคารวะเหล่าไท่จวินด้วยตนเอง ที่โถงกลางทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้ว ทั้งฮูหยินใหญ่ ฮูหยินรอง ฮูหยินสาม เหล่าอนุทั้งหลาย และเหล่าคุณชายคุณหนูสกุลหลิว ยกเว้นหลิวเหวินจิ้งคนเดียวเท่านั้น
เหล่าไท่จวินไม่อนุญาตให้เขามาคารวะ และจะไม่ยอมพบเขาหากไม่มีเรื่องจำเป็น
“ท่านย่า หลานคารวะท่านย่าเจ้าค่ะ” หลิวลู่หลินเอ่ยเสียงหวานพร้อมทำความเคารพเหล่าไท่จวินอย่างงดงาม ทำให้นางดูน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของหญิงชราเป็นอย่างยิ่ง
“หลินเจี่ยเอ๋อร์มาแล้ว นั่นเจ้าถืออะไรมาด้วยหรือ” เหล่าไท่จวินยิ้มพลางเอ่ยอย่างเอ็นดู
หลิวลู่หลินถือโอกาสยกขนมจากในตะกร้าขึ้นวางบนโต๊ะน้ำชาของเหล่าไท่จวินทันที
“หลานทำเองเจ้าค่ะ ท่านย่าลองชิมดู อร่อยมากเลยนะเจ้าคะ ไม่เชื่อถามหงซิ่งได้เลยเจ้าค่ะ” นางโอ้อวดตนเองและเผยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“พวกเจ้าดูสิ ตัวแค่นี้ก็รู้จักเอาใจคนแก่อย่างข้าเสียแล้ว หึหึ ช่างเป็นเด็กรู้ความยิ่งนัก” เหล่าไท่จวินหัวเราะอย่างเบิกบานก่อนจะหยิบขนมชิ้นหนึ่งเข้าปาก
“หลินเจี่ยเอ๋อร์ ทั้งงดงามทั้งฉลาดหลักแหลม สมแล้วที่เป็นหลานสาวของเหล่าไท่จวิน ภายหน้าต้องกลายเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของแคว้นเว่ยเป็นแน่เจ้าค่ะ” เสียงหวานละมุนของสตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้น
แม้วาจาเหมือนกล่าวชื่นชม แต่สายตาของนางที่มองผ่านเพียงแวบเดียวนั้น กลับส่อแววดูถูกเหยียดหยามออกมาอย่างชัดเจนยิ่ง ที่สำคัญคำพูดเสียดสีนั้นนางจงใจยั่วยุฮูหยินใหญ่
“เป็นอย่างที่น้องสะใภ้สามกล่าวจริงๆ หลินเจี่ยเอ๋อร์ทั้งงดงามทั้งฉลาดหลักแหลม เพียงแต่… นางยังเด็กนัก คงไม่ทราบว่างานครัวนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมและไม่คู่ควรอย่างยิ่ง สำหรับคุณหนูตระกูลใหญ่ หากถูกผู้คนเล่าลือออกไป เกรงว่าสกุลหลิวของเราจะเสื่อมเสียชื่อเสียงได้ เช่นนี้แล้วจะกลายเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งได้หรือ”
‘ก็แค่เข้าครัว ไม่ได้ฆ่าใครตายสักหน่อย มาเสื่อมสงเสื่อมเสียอะไรล่ะ’
แม้ในใจจะคัดค้านเพียงใด แต่ภายนอกก็ยังคงต้องแกล้งทำตัวไร้เดียงสาไว้ก่อน
“หลานถึงบอกว่าตนเองโง่เขลาอย่างไรล่ะเจ้าคะ ตอนหลานหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี หลานมักจะทานขนมเพื่อให้อารมณ์ดีขึ้น เพราะหลานอยากให้ท่านย่าอารมณ์ดี จึงทำขนมเหล่านี้มาให้ท่านย่าเจ้าค่ะ”
“เอาล่ะๆ อู๋ซื่อเจ้าอย่าดุหลินเจี่ยเอ๋อร์นักเลย นางเพียงต้องการเอาใจยายแก่คนนี้เท่านั้น หรือเจ้าไม่อยากให้นางแสดงความกตัญญูต่อข้า” เสียงเหล่าไท่จวินขรึมลงแสดงถึงความไม่สบอารมณ์
“สะใภ้มิกล้าเจ้าค่ะ เหล่าไท่จวินอย่าได้มีโทสะ ที่หลินเจี่ยเอ๋อร์เป็นเด็กกตัญญูเช่นนี้ เพราะได้ท่านคอยอบรมเลี้ยงดูมาแต่เล็กแต่น้อย ความกตัญญูของหลินเจี่ยเอ๋อร์เป็นสิ่งที่ถูกต้องยิ่งเจ้าค่ะ”
‘อะไรที่ลื่นกว่าปลาไหลก็คงเป็นป้าสะใภ้ใหญ่คนนี้นี่แหละ’
“พูดได้ดีๆ ลูกหลานสกุลหลิวของเราล้วนฉลาดหลักแหลมและเป็นเด็กกตัญญูรู้คุณ ใช่ไหมเล่า แม่นมจาง ฮะฮะฮะ”
“เจ้าค่ะเหล่าไท่จวิน”
“ท่านย่า หลานขอแสดงความกตัญญูด้วยภาพวาดนี้เจ้าค่ะ” หลิวลู่เหลียนถือม้วนภาพเข้ามาคารวะเหล่าไท่จวินอย่างสง่างาม
“ขอบใจเจ้า เหลียนเจี่ยเอ๋อร์” เหล่าไท่จวินรับม้วนภาพมาก่อนคลี่ออกดู
ภาพทิวทัศน์เสมือนจริงของศาลาริมสระบัวอันงดงามปรากฏสู่สายตาทุกคน
“นี่เป็นภาพที่หลานเพิ่งวาดได้ไม่นานเจ้าค่ะ ฝีมือของหลานธรรมดาไปบ้าง ขายหน้าท่านย่าแล้ว”
ทั้งกิริยาท่าทางนุ่มนวลอ่อนหวาน บวกกับใบหน้างดงามราวดอกสาลี่ ทำให้เหล่าไท่จวินอดที่จะชื่นชมนางไม่ได้
“ไม่ธรรมดา นี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เหลียนเจี่ยเอ๋อร์ฝีมือเก่งกาจนัก กิริยาท่าทางก็สมกับเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิว เจ้าไม่ทำให้ย่าผิดหวังเลยจริงๆ ภาพนี้ย่าชอบมาก แม่นมจาง เอาไปแขวนไว้ในห้องนอนข้า”
“เจ้าค่ะเหล่าไท่จวิน”
“ขอบคุณท่านย่าที่เมตตาหลานเจ้าค่ะ” หลิวลู่เหลียนเอ่ยเสียงนุ่มนวลอย่างพอเหมาะ ทำให้นางดูอ่อนน้อม น่ารักใคร่เอ็นดู น่าทะนุถนอม
เหล่าไท่จวินยิ้มอย่างเมตตาก่อนจะเอ่ยถามถึงเรื่องการเรียนของนางไปจนถึงการเตรียมตัวเข้างานชุมนุมพบปะสังสรรค์ของเหล่าสตรี
ปีนี้หลิวลู่เหลียนอายุสิบเอ็ดขวบแล้ว ฤดูใบไม้ผลิปีหน้านางก็จะสิบสอง ถือเป็นช่วงสำคัญที่สุดของสตรีในแคว้นเว่ย
เพราะอายุสิบสองถือเป็นดรุณีแรกรุ่น สามารถเข้าร่วมงานต่างๆได้แล้ว จุดประสงค์ก็เพื่อให้เหล่าฮูหยินทั้งหลายได้ดูตัว หากคุณหนูบ้านใดถูกตาต้องใจก็จะให้แม่สื่อมาเจรจาขอหมั้นหมายไว้ก่อน เมื่ออายุครบสิบห้าผ่านพ้นพิธีปักปิ่นไปแล้ว จึงจะสามารถจัดงานแต่งงานได้
สิ่งสำคัญที่สุดในช่วงดรุณีแรกรุ่นนี้ก็คือชื่อเสียง หากคุณหนูคนใดมีความสามารถเป็นที่เลื่องลือ ก็ยิ่งทำให้เหล่าฮูหยินทั้งหลายแย่งชิงกันมากขึ้น
‘อืม เรียกง่ายๆว่า ไปเดินสายออนทัวร์ก่อนขึ้นเวทีจริง ชีวิตพวกคุณหนูยุคนี้ไม่ต่างจากพวกนักร้องนักแสดงในโลกของฉันเลยสักนิด’
“เอาล่ะพวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ” เหล่าไท่จวินมีท่าทางเหนื่อยล้า ทำให้ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับเรือน
แต่ก่อนที่ฮูหยินใหญ่จะจากไป นางปรายตามองหลิวลู่หลินด้วยสายตาประหลาด ก่อนจะเอ่ยทิ้งท้ายกับซ่งซื่อ
“แม้หลินเจี่ยเอ๋อร์จะยังเด็ก แต่ก็ไม่ควรปล่อยปะละเลย จนนางทำเรื่องเสื่อมเสียมาให้คนสกุลหลิวได้ หวังว่าน้องสะใภ้รองจะดูแลบุตรสาวให้ดี”
‘แค่เข้าครัวนี่มันจะร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ ป้าสะใภ้ใหญ่นี่ ถนัดทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ’
“ท่านแม่ อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา อย่าเข้าใจคนสติไม่ดีเลยเจ้าค่ะ …ขงจื่อไม่ได้กล่าวไว้ แหะๆ” หลิวลู่หลินหัวเราะทะเล้นก่อนจูงมือซ่งซื่อกลับเรือน
วันนี้หลิวเหวินจิ้งมิได้มาหานางเหมือนทุกวัน มีเพียงซุนเต๋อที่นำจดหมายฉบับหนึ่งและตำราเล่มหนึ่งมาให้เท่านั้น
“พี่จิ้งไปไหน”
“คุณชายมิได้บอกขอรับ”
“คุณชายไม่บอก หรือเขาสั่งไว้ว่าไม่ให้บอก” หลิวลู่หลินแกล้งทำปึงปังใส่ ทำให้ซุนเต๋อตกใจกลัวจนตัวสั่น
“คุ… คุณชายมิได้บอกไว้จริงๆขอรับ” เขาก้มหน้าพูดเสียงสั่น
ในจดหมายบอกเพียงว่าให้อ่านตำราเล่มนี้ให้จบ แล้วเขาจะกลับมาทดสอบ
‘เฮอะ นี่คือชั่วโมงเรียนด้วยตัวเองใช่มะ… ได้! ทีอาจารย์จิ้งยังแอบไปอู้ได้ แล้วนักเรียนอย่างฉันจะอู้บ้างไม่ได้หรือไง’
คิดแล้วนางก็ปิดตำราเล่มบาง และตัดสินใจจะออกไปหาทำเลร้านค้าที่กำลังจะเปิด
“หงซิ่ง ซุนเต๋อ ไปกันเถอะ” สิ้นเสียงของนางคนทั้งสองที่ถูกเรียกชื่อต่างมองหน้ากันไปมาเลิ่กลั่ก
หลิวลู่หลินไม่สนใจคนทั้งคู่อีก นางลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างเริงร่า เมื่อทั้งสองได้สติก็รีบวิ่งตามหลังนางไปทันที
รถม้าหรูออกจากคฤหาสน์สกุลหลิวเช่นเมื่อวาน เพียงแต่วันนี้กลับมีแค่เด็กหญิงนั่งมาคนเดียวเท่านั้น
“วันนี้คุณหนูจะไปที่ใดบ้างเจ้าคะ” หงซิ่งถามอย่างกระตือรือร้น
“ข้าจะไปหอเถียนไฉ่ แถวนั้นเป็นแหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหารที่คึกคักที่สุด นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว พวกเราไปลิ้มลองกันสักหน่อยดีกว่า”
หงซิ่งดวงตาเป็นประกาย ทั้งเขย่าตัวซุนเต๋อไปมาอย่างถูกใจ และพึมพำอยู่ตลอดจนถึงที่หมาย “หอเถียนไฉ่ หอเถียนไฉ่”
‘เด็กหน่อเด็ก ร่าเริงดีจริงๆ’
หอเถียนไฉ่สมกับเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งจริงๆ เพียงแค่ห้องโถงใหญ่ก็ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามแล้ว
บนกำแพงมีภาพวาดทิวทัศน์ภูเขาและสายธารขนาดใหญ่ ทั้งโคมไฟลวดลายมงคล แม้แต่เสายังแกะสลักลายดอกไม้ต่างๆไว้แต่ละต้นไม่ซ้ำกัน
ทั้งกุ้ยฮวา(หอมหมื่นลี้) ฉุยฮัว(เบญจมาศ) หลันฮวา(กล้วยไม้ดิน) แม้แต่ไผ่และต้นสนก็มี
หลิวลู่หลินเดินตามเสี่ยวเอ้อไปห้องรับรองส่วนตัวอย่างตะลึงลาน
‘นี่ฉันกำลังจะเข้าไปกินอาหารในสวนดอกไม้ใช่มั้ย’
ภายในห้องตกแต่งอย่างหรูหราไม่ต่างจากด้านนอก นางสั่งอาหารและเลือกนั่งริมหน้าต่างเพื่อมองดูทิวทัศน์
ที่นี่คึกคักเป็นอย่างมาก ทั้งพ่อค้าแม่ค้า ทั้งผู้คนที่สัญจรไปมามีไม่ขาดสาย
‘ทำเลแถวนี้คงแพงหูฉี ห้าแสนตำลึงจะเอาอยู่มั้ยเนี่ย’
นั่งพิจารณาไปได้ไม่นานอาหารก็ถูกยกเข้ามา นางจึงละสายตาจากด้านนอก และเรียกให้ซุนเต๋อกับหงซิ่งมาทานด้วยกัน ทั้งสองรีบปฏิเสธทันที และเลือกที่จะไปหลบมุมกินอาหารกันอยู่สองคน
ความอยากอาหารของหลิวลู่หลินลดลงฮวบฮาบ นางเพียงแค่หยิบตะเกียบขึ้นมาเขี่ยข้าวและคีบกับข้าวสองสามอย่างใส่จานตนเองเท่านั้น
“รู้งี้รอพาพี่จิ้งมาด้วยก็ดี จะได้มีคนกินข้าวเป็นเพื่อน” นางบ่นพึมพำไปพลางเขี่ยข้าวไปพลาง แตกต่างจากบ่าวทั้งสองที่ติดตามมาด้วย
ซุนเต๋อและหงซิ่งกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย บางครั้งต่างคนต่างแย่งกับข้าวจานเดียวกัน แลดูสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง
แต่นั่งมองทั้งสองคนได้ไม่นาน จู่ๆ พวกเขาก็หน้าคว่ำและล้มลงไปนอนบนพื้น หลิวลู่หลินตกใจจึงรีบลุกขึ้นเพื่อจะเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่นางกลับรู้สึกวิงเวียนคล้ายโลกหมุน และหงายหลังล้มลงไปเช่นกัน
“นี่มัน… เกิด… อะไร…ขึ้น…” เนื้อตัวรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ความง่วงงุนบางๆกำลังเกาะกุมสติของนาง
หลิวลู่หลินมองไปทางอาหารบนโต๊ะที่ยังไม่ทันได้เข้าปากและเข้าใจในทันทีว่าพวกนางคงถูกคนวางยาเข้าให้แล้ว
ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา ตามด้วยเสียงฝีเท้าของคนสามคนเดินเข้ามาในห้อง
“หึ เจ้าพวกบ่าวตะกละ ครั้งนี้โชคดีเป็นของกระบี่ข้าแล้ว ที่ไม่ต้องเปื้อนเลือดชั้นต่ำของพวกมัน”
“อย่ามัวเสียเวลา เอาตัวนางไป”
เสียงบุรุษสองคนดังเข้าสู่โสตประสาท แต่นางไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะลืมตาขึ้นมาด้วยซ้ำ
นางจิกเล็บเข้าฝ่ามือตนเองเท่าที่เรี่ยวแรงทั้งหมดจะทำได้ เพื่อครองสติไว้
“แล้วบ่าวสองคนนี้ล่ะขอรับ นายท่าน” เสียงชายคนนี้ช่างคุ้นหูนัก
“ทิ้งไว้ที่นี่ เอาแค่นังเด็กนี่ไปก็พอ”
“แต่หากพวกมันไปบอกคนสกุลหลิว…”
“สกุลหลิวรักชื่อเสียงยิ่งกว่าสิ่งใด แค่บุตรสาวพ่อค้าคนเดียว พวกนั้นไม่มีทางออกตามหาอย่างเอิกเกริกแน่ อีกอย่างที่นั่นมีคนของข้าคอยส่งข่าว พวกเจ้าสบายใจได้”
ความรู้สึกสุดท้ายก่อนสติจะหลุดลอยคือ นางถูกมือหยาบหนาของบุรุษยกขึ้นพาดบ่าแล้วลอยขึ้นๆลงๆไปกลางอากาศ
‘พี่จิ้ง… ช่วยด้วย…’