บทที่ 7 เรามาตั้งชื่อเล่นกันเถอะ
‘อาเหมย แกโอเคป่าวว่ะ’
‘โอเค ฉันไม่มายด์เรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ใครทำอะไรไว้เดี๋ยวก็ได้รับผลกรรมไปเอง’
‘แต่เมื่อกี้ฉันเห็นชัดๆเลยนะว่ามันโกงอ่ะ’
‘เออน่ามิกิ แกรู้แล้วไง กรรมการเขาไม่ได้รู้กับแกด้วยนี่’
‘แบบนี้มันน่าสั่งสอนซะให้เข็ด’
‘ใจเย็นเคธี่ แกยังต้องใช้ชื่อเสียงทำมาหากินนะ’
‘แล้วแกจะยอมให้มันจบแบบนี้เหรอ’
‘ให้จบแบบนี้? ไม่มีทาง!! พวกแกสามคนรอดูฉันสร้างปาฏิหาริย์ได้เลย!!’
‘มันต้องอย่างนี้ซี่ ถึงจะสมเป็นหลี่เหมยลี่ของพวกเรา ฮะฮะฮะ’
เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานเริ่มไกลออกไปทุกที ราวกับว่ามันได้เกิดขึ้นเมื่อนานมากแล้ว
‘ทุกคนจะคิดถึงฉันบ้างมั้ยนะ จะมีใครคิดถึงฉันมั้ยนะ’
ราวกับว่าหัวใจถูกความเศร้าจู่โจมอย่างหนักหน่วง น้ำตามากมายไหลรินอย่างไม่ขาดสาย ความอ่อนแอที่ซ่อนไว้ในส่วนลึกของจิตใจล้นทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง
‘อยากกลับไป ฉันอยากกลับไปแล้ว’
“อยากกลับ…อยากกลับไป” เสียงละเมอปนสะอื้นดังออกมาจากริมฝีปากเล็กๆ
“เจ้าจะกลับไปที่ใด”เด็กชายพึมพำพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาให้นางอย่างแผ่วเบา
เด็กหญิงยังคงนอนละเมอร้องไห้ออกมาไม่หยุด แต่มือของนางยังคงกอดเอวเด็กชายไว้ไม่ยอมปล่อย
“เจ้าจะกลับไปที่ใดหรือ หลินเอ๋อร์” เด็กชายกระซิบแผ่วเบาที่ริมหูและกอดนางไว้เช่นกัน มือหนึ่งลูบไล้เส้นผมช้าๆ อีกมือคอยเช็ดน้ำตาให้นางอย่างตั้งใจ
“ฉันอยากกลับ… อยากกลับไป”
เมื่อครั้งจำความได้ คนที่คอยยืนหยัดปกป้องข้า ก็มีเพียงตัวข้าเองเท่านั้น
“โจ๊กธัญพืชนี่ ข้าทำเองกับมือเชียวนะ…” เสียงเจื้อยแจ้วของนางแม้จะน่ารำคาญอยู่บ้าง แต่ก็มิได้ทำให้ข้าหงุดหงิดใจ
“มีใครสอนเจ้าเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารหรือไม่” ข้าลองยั่วโทสะนาง เพื่อให้แน่ใจในอะไรบางอย่าง
และทั้งที่นางกำลังโกรธเคืองข้าอยู่แท้ๆ แต่กลับยังคงยิ้มและอดกลั้นไว้ “ข้าแค่อยากแสดงความจริงใจที่มีต่อท่านเท่านั้น”
ท่าทางเสแสร้งของนางคิดว่าข้าดูไม่ออกเชียวหรือ เพียงแต่… เท่านี้ก็เข้าใจได้แล้ว ว่านางมิใช่ นังเด็กใช้อำนาจไม่มีสมองนั่น แต่ไม่ว่านางจะเป็นใคร หรือเป็นอะไร ข้าก็ควรป้องกันไว้ก่อน ไม่รู้ว่านางทำเช่นนี้มีจุดประสงค์ใดกันแน่
“ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องมาที่นี่อีก ส่วนของพวกนี้ข้าจะรับไว้ เพราะเห็นแก่ความจริงใจของเจ้าแล้วกัน”
นางยังคงข่มกลั้นโทสะทั้งที่ใบหน้าแดงราวกับลูกตำลึงสุกแล้วแท้ๆ นั่นทำให้ข้ารู้สึกอารมณ์ดียิ่งนัก
แค่เพียงข้าเอ่ยเรื่องอดีตขึ้นมาเท่านั้น นางก็ถึงกับหมดคำพูด ดูไปแล้ว นางเองก็มิได้ฉลาดนัก คงไม่มีทางสร้างปัญหาอะไรให้ข้าได้ แล้วดูเหมือนตอนนี้ตัวปัญหาที่แท้จริง ก็กำลังมาแล้ว
ตึง ตึง ตึง
เสียงลงเท้าหนักเช่นนี้ คงจะกำลังโกรธมากกระมัง เจ้าเด็กนั่นคงคิดจะพาข้ากลับไปขังไว้อีกครั้งเป็นแน่
“เจ้านอกคอก! ใครอนุญาตให้แกออกมากันห๊ะ! กลับไปสำนึกผิดในศาลบรรพชนเดี๋ยวนี้” เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เจ้าเด็กนี่ก็ไม่ต่างจากนังเด็กใช้อำนาจไร้สมองนั่นเท่าไหร่
“….ข้าจะให้พวกบ่าวมาจับมันไปโบย” ช่างเป็นตัวปัญหาโดยแท้ คิดว่าข้าจะยอมให้เจ้าจับไปง่ายๆ หรือ
เพียงแต่ยังไม่ทันที่จะขยับตัว ด้านหน้าก็มีเงาร่างเล็กๆ ยืนขวางไว้เสียแล้ว “เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้มาเพื่อจัดการเขา ข้ามาเพื่อดูแลเขาต่างหาก”
นี่นางคิดจะทำอะไร คิดว่าเจ้าเด็กนี่จัดการได้ง่ายเหมือนพวกข้ารับใช้งั้นหรือ นางคงยังไม่รู้นิสัยเจ้าเด็กนี่กระมัง ดูจากสีหน้าแล้ว นี่คงไม่รู้กระทั้งว่าเจ้าเด็กนี่เป็นใครด้วยซ้ำ
‘ไม่รู้แล้วยังจะหาเรื่องใส่ตัว ช่างโง่เขลาสิ้นดี’
“พี่ชายรองอายุตั้งเท่าใดแล้ว เหตุใดยังคิดได้แต่เรื่องรังแกพี่น้องเล่า หากเรื่องนี้ถูกคนเล่าลือออกไปจะไม่ทำให้ชื่อเสียงสกุลหลิวเสื่อมเสียหมดหรือ” เจ้าเด็กนี่แม้ใช้เหตุผลด้วยก็เท่านั้น นางไม่มีทางชนะได้ หากไร้ซึ่งอำนาจที่เหนือกว่า
“ท่านเกิดหลังพี่ชายใหญ่ก็ต้องเป็นพี่ชายรอง ไม่เช่นนั้นจะมีการลำดับอาวุโสไปเพื่ออะไร ท่านเองก็ร่ำเรียนมาหลายปีแล้วมิใช่หรือ ท่านอาจารย์ไม่เคยสอนเรื่องนี้เลยหรือไร ช่างน่าขายหน้าเสียจริง”
แม้วาจาของนางจะไร้ประโยชน์ แต่ก็ทำให้ดูเฉลียวฉลาดขึ้นมาบ้าง ดีกว่านังเด็กใช้อำนาจแต่ไร้สมองนั่นมากโข
“อึก… เจ้ามันสตรีน่ารังเกียจ ฮือๆ” ท่าทางพ่ายแพ้ของเจ้าเด็กนี่ช่างน่าขบขันยิ่ง ตนเองฝีปากสู้ผู้อื่นมิได้แท้ๆ กลับเอาอำนาจมาข่มขู่ หึ! ไร้ยางอายสิ้นดี
“เช่นนั้นให้ข้ากอดท่านหน่อยได้หรือไม่” สตรีโง่ผู้นี้ ไม่รู้จารีตประเพณีเลยหรือไร ภายภาคหน้าต้องถูกบุรุษเอาเปรียบเป็นแน่
“ข้าไม่ชอบให้ผู้ใดแตะเนื้อต้องตัว เมื่อครู่คงกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่แล้ว เจ้าเตรียมตัวให้ดีเถอะ” ดูเหมือนคราวนี้ข้าคงหนีไม่พ้นความผิดแล้วกระมัง
และก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เอาเถอะเพียงแค่สามสิบไม่เท่านั้น ข้าจะถือเสียว่าเป็นการตอบแทนนางที่ออกมาปกป้องข้าแล้วกัน
หลังจากนี้คงต้องพักรักษาตัวระยะยาว โชคดียิ่งที่เช้าวันนี้ข้าตัดสินใจไปพบอาจารย์ ทั้งยาสมานแผล ยาแก้พิษไข้ อาจารย์ล้วนให้ข้าไว้แล้วทั้งสิ้น เพียงแต่คงต้องลำบากอยู่บ้าง เพราะซุนเต๋อไม่สามารถเข้าไปในศาลบรรพชนได้
ข้าถูกพาดลงบนเก้าอี้ตัวเดิม และหลับตาลงเพื่อรับการลงโทษ แต่แล้วจู่ๆ มีบางอย่างพุ่งเข้ามาบังตัวข้าไว้ และรับไม้กระบองแทนข้า
เสียงไม้กระทบเนื้อ เสียงคนกระอักเลือด หัวใจข้าเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ลู่หลิน!! นี่เจ้าทำอะไร!!” ข้าคว้าตัวนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขนแล้วหมุนตัวลงจากเก้าอี้ตัวยาวทันที
เป็นครั้งแรกที่ข้าเอ่ยชื่อของนาง สตรีโง่เขลาที่ไม่มีแม้กระทั้งวรยุทธ์ แต่กลับคิดจะปกป้องข้า
“ทะ… ท่าน… ไม่เป็นไร… กระมัง” เสียงเล็กๆ ที่เคยเจื้อยแจ้วนั้น บัดนี้กำลังแผ่วเบาลงทุกที
“เจ้าทำเช่นนี้ทำไม! ยังสติดีอยู่หรือไม่!” ข้าตะคอกใส่นางราวกับคนเสียสติ แต่นางกลับเพียงแค่ส่งยิ้มอ่อนจางให้ข้าเท่านั้น
“ไม่เป็นไร… ก็ดี… ดีแล้ว…” นางหลับตาลงอย่างสงบ แต่กลับทำให้ในใจข้ามีเกลียวคลื่นถาโถม
“ลู่หลิน! ลู่หลิน! หลิวลู่หลิน!!”
เมื่อครั้งจำความได้ ไม่เคยมีใครยืนหยัดปกป้องข้า… นอกจากนาง สตรีโง่เขลา…
เสียงกระซิบเดี๋ยวดัง เดี๋ยวเบา ทำให้คนที่นอนสลบไสลเริ่มขยับตัวอย่างหงุดหงิด
‘ใครพูดอะไรอยู่ได้ คนจะหลับจะนอนไม่เกรงใจกันบ้างเลยหรือไง’
หลิวลู่หลินขยับตัวไปมาพลางซุกหน้าเข้าหาหมอนข้างที่กำลังกอดอยู่ ทำให้เสียงที่ได้ยินไม่ชัดนักเงียบลง
กลิ่นสดชื่นราวกับอยู่ในป่าผสมกับกลิ่นยาอ่อนจาง ทำให้จิตใจของนางผ่อนคลาย ความรู้สึกหงุดหงิดเมื่อครู่สลายไป เหลือไว้เพียงความอบอุ่นเท่านั้น
เสียงเอะอะโวยวายปลุกนางให้ตื่นขึ้น แต่หนังตายังคงหนักอึ้ง นางจึงทำเพียงนอนหลับตาฟังเสียงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น
“เจ้าเด็กสารเลว!! เจ้าทำร้ายหลานข้า ปล่อยหลานข้าเดี๋ยวนี้นะ!!”
“เหล่าไท่จวิน พอเถอะเจ้าค่ะ ตอนนี้หลินเอ๋อร์กำลังหลับ หากท่านยังทำเสียงดังเช่นนี้จะเป็นการรบกวนนาง” เสียงของท่านแม่ดังขึ้นไม่ไกลนัก
“ซ่งซื่อ เจ้ารักลูกอย่างไรกันถึงปล่อยให้เจ้าเด็กนั่นจับตัวนางไว้ เจ้าคิดจะทำร้ายหลินเจี่ยเอ๋อร์หรือไร”
“เหล่าไท่จวิน ท่านคิดมากเกินไปแล้ว จิ้งเกอเอ๋อร์เพียงแค่ต้องการดูแลหลินเอ๋อร์เท่านั้น หลินเอ๋อร์เองก็กอดเขาไว้ไม่ยอมปล่อย นี่ก็แสดงถึงความต้องการของนางแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่! นางเพียงแค่ตกใจเท่านั้น หากนางตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าถูกเจ้าสารเลวนี่จับตัวไว้ล่ะก็ นางจะต้องร้องโวยวายเป็นแน่”
“เหล่าไท่จวิน ท่านอย่าดึงดันอีกเลย แล้วโปรดยกเลิกคำสั่งลงโทษจิ้งเกอเอ๋อร์เถอะเจ้าค่ะ หาไม่แล้วลูกสะใภ้คงต้องเขียนจดหมายถึงอากุ้ย”
“ซ่งซื่อ นี่… นี่เจ้ากล้าขู่ข้ารึ!”
“ลูกสะใภ้มิกล้า แต่ท่านคงรู้ดีว่าอากุ้ยรักบุตรสาวมากเพียงใด หากท่านไม่ต้องการให้พวกเราสามคนแยกบ้านไป ได้โปรดหยุดเถอะเจ้าค่ะ”
“นี่เจ้า! ดี… ดียิ่งนัก!! บุตรชายข้าช่างเลือกสะใภ้ได้ดียิ่ง!! แค่ลูกสาวพ่อค้าเล็กๆ ก็กล้าขู่แม่สามีอย่างข้า แม้แต่หลานชายยังให้กำเนิดไม่ได้ เจ้าคิดว่าข้าไม่มีปัญญาหาอนุให้อากุ้ยรึ”
คำพูดของเหล่าไท่จวินทำให้หลิวลู่หลินถึงกับกำหมัดแน่น แต่จู่ๆก็รู้สึกถึงฝ่ามือเล็กที่กำลังลูบหัวไหล่ตนเบาๆ อย่างปลอบโยน
“หากพวกเราสามคนพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน คิดว่าไม่นานคงมีหลานชายให้ท่านเป็นแน่”
“หึ! บุตรชายข้าหาใช่คนอกตัญญู เขาไม่มีทางแยกบ้านเพียงเพราะสตรีเช่นเจ้า!!”
แล้วทุกอย่างก็สงบลงอีกครั้ง มีเพียงเสียงฝีเท้าของหญิงชราที่จากไปแล้วเท่านั้น
“จิ้งเกอเอ๋อร์ ป้าฝากหลินเอ๋อร์ด้วย หากนางตื่นแล้ว ค่อยส่งคนไปบอกป้า” เสียงของท่านแม่ฟังดูอ่อนล้าเหลือทน
“ขอรับ” เขาขานรับและรอจนซ่งซื่อเดินออกจากห้องไป แล้วจึงหันมาให้ความสนใจเด็กหญิงตรงหน้าอีกครั้ง
“ยังเจ็บอยู่หรือไม่” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย นางส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะซุกใบหน้าเข้ากับอกของเขาแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ
กลิ่นหอมสดชื่นเหมือนผืนป่า ทำให้จิตใจของนางสงบลง เขาลูบหัวนางเบาๆอย่างต้องการปลอบโยน
“นี่… ข้ากอดท่านอยู่นะ” เสียงอู้อี้เล็กๆดังออกมาจากกลางอก
“อืม” เขาเพียงขานรับเสียงเบาและกระชับอ้อมกอดนางให้แน่นขึ้น
“ท่านไม่ชอบให้ผู้ใดแตะเนื้อต้องตัวมิใช่หรือ”
“อืม… ยกเว้นเจ้า”
“ข้าเรียกท่านว่าพี่จิ้งได้มั้ย”
“อืม”
“งั้นท่านตั้งชื่อเล่นให้ข้าได้มั้ย”
“…หลินเอ๋อร์”
“ไม่เอา”
“เช่นนั้นก็… หลินหลิน”
“เจ้าค่ะ ต่อไปข้าก็คือหลินหลินของท่าน”
“อืม… หลินหลิน”
‘ดูเหมือนว่าตอนนี้ ฉันจะกลายเป็นน้องสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูของเขาได้สำเร็จแล้ว’
ภายในห้องนอนอันใหญ่โตแสนปราณีต สตรีออกเรือนแล้วนางหนึ่งกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่หน้ากระจกทองเหลือง นางหยิบปิ่นไม้ธรรมดาที่สลักลายดอกอวี้หลันไว้อย่างงดงามออกมาจากกล่องเครื่องประดับ
“พี่หลัว ท่านโกรธข้ามากหรือไม่ ข้าขอโทษที่ไม่สามารถรักษาสัญญาได้” นางกอดปิ่นไม้ไว้แนบอกพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน
“ฮูหยิน ท่านอย่าโศกเศร้าไปเลยเจ้าค่ะ คุณชายหลัวต้องคอยปกป้องท่านอยู่บนสวรรค์เป็นแน่” แม่นมชุ่ยพยายามปลอบโยนนาง
“แม่นม… ข้าไม่ควรแต่งเข้าสกุลหลิวแต่แรกใช่หรือไม่” เสียงสั่นเครือของฮูหยินรองสร้างความปวดร้าวให้คนฟังไม่น้อย
“คุณหนูของนม... เรื่องในอดีตมันผ่านไปแล้วนะเจ้าคะ ตอนนี้ท่านก็มีคุณหนูรองแล้ว อย่าได้โศกเศร้าอีกเลยเจ้าค่ะ”
นางเช็ดน้ำตาแล้วค่อยๆวางปิ่นไม้กลับเข้าที่เดิม “…นั่นสินะ หลินเอ๋อร์ยังเล็กนัก ไม่รู้ว่าต่อไปจะเติบโตเป็นเช่นไร ข้าได้แต่หวังว่านางจะไม่ใจคอโหดเหี้ยมเหมือนคนเป็นย่า”
“หลังจากนี้ หากคุณหนูมีฮูหยินคอยสั่งสอน จะต้องไม่เป็นเช่นนั้นแน่เจ้าค่ะ”
ในห้องนอนยังคงปกคลุมไปด้วยบรรยากาศโศกเศร้า แต่ฮูหยินรองมิได้ร้องไห้อีกแล้ว นางตัดสินใจจะนำบุตรสาวกลับมาไว้ข้างกายตนเอง ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม
จากบทสนทนาเล็กๆระหว่างซ่งซื่อและเหล่าไท่จวิน ทำให้หลิวลู่หลินเริ่มเข้าใจที่มาของความรักใคร่อันมากมายของเหล่าไท่จวินที่มีต่อนางแล้ว
สุดท้ายความรักใคร่เอ็นดูก็เป็นเพียงแค่ฉากหน้า แต่อำนาจและผลประโยชน์ต่างหากที่เป็นตัวตัดสินจริงๆ
มิน่าเล่า หลิวลู่หลินในนิยายถึงได้ถูกทอดทิ้งจนต้องกลายเป็นหมากตัวหนึ่งของเว่ยเหวินจิ้งในการแย่งชิงบัลลังก์ เพราะอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ หลิวหานกุ้ยจะกลับมาพร้อมบุตรชายและสตรีงดงามราวบุปผานางหนึ่ง
หลังจากนั้นชีวิตของหลิวลู่หลินก็จะดิ่งลง ในขณะที่เว่ยเหวินจิ้งได้กลายเป็นบุตรบุญธรรมของหย่งอ๋อง
‘ยังไงซะ ค่านิยมของโลกนี้ก็คือมีลูกชายย่อมดีกว่าลูกสาว หากฉันยังใช้ชีวิตที่ต้องพึ่งพาแต่ตระกูลหลิวอยู่แบบนี้ล่ะก็ หายนะต้องมาเยือนในสักวันแน่ อยู่แบบนี้ไม่ได้แล้ว ฉันคงต้องทำอะไรสักอย่าง ต้องไม่ให้เสียชื่อ เจ้าแม่เงินล้านเด็ดขาด!!’