บท
ตั้งค่า

บทที่ 6 ชื่อชอบ ชวนหาเรื่อง

“เจ้านอกคอก! ใครอนุญาตให้แกออกมากันห๊ะ! กลับไปสำนึกผิดในศาลบรรพชนเดี๋ยวนี้” เสียงเด็กคนหนึ่งโวยวายมาแต่ไกล

จากนั้นก็ตามมาด้วยร่างเล็กๆของเด็กชายคนหนึ่งในอาภรณ์หรูหรา ใบหน้าหมดจดนั้นดูขัดกับท่าทางวางโตเป็นอย่างยิ่ง

“แล้วของพวกนี้มันอะไรกัน!! แกกล้าขโมยของจากเรือนอื่นมาเชียวหรือ เจ้าสารเลว!! ข้าจะฟ้องท่านแม่กับท่านย่า!! เอ๊ะ หลินเอ๋อร์เจ้าอยู่ที่นี่ด้วยหรือ”

คำทักทายของเด็กชายทำให้หลิวลู่หลินถึงกับเหงื่อตก “…ใช่” ‘แล้วแกเป็นใครเจ้าเด็กขี้โวยวาย’

“เจ้าเองก็มาจัดการกับเจ้านอกคอกนี่เช่นกันใช่หรือไม่ มันกล้าขัดคำสั่งท่านย่า ข้าจะให้พวกบ่าวมาจับมันไปโบย” เขาไม่พูดเปล่าแต่ยังชี้นิ้วสั่งบ่าวไพร่สิบกว่าคนที่ตามหลังเข้ามาด้วย

หลิวลู่หลินรีบเข้าไปขวางด้านหน้าหลิวเหวินจิ้งทันที พร้อมทั้งส่งสายตาไปทางหงซิ่ง ‘ช่วยบอกฉันที หมอนี่เป็นใคร’

“เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้มาเพื่อจัดการเขา ข้ามาเพื่อดูแลเขาต่างหาก” หลิวลู่หลินเอ่ยด้วยท่าทางสงบนิ่ง และยังคงส่งสายตาให้หงซิ่งไม่หยุด แต่ดูเหมือนหงซิ่งจะไม่เข้าใจสายตาของนางเลยสักนิด

“อะไรนะ!! นี่ข้าหูฝาดไปหรือไม่ เจ้าสวะนั่นมีค่าให้เจ้าต้องลดตัวลงไปดูแลมันเชียวรึ”

‘มีสิ มีค่ามากเชียวล่ะ ถ้าไม่ดูแลให้ดี ข้าต้องกลายเป็นเมียน้อยคนอื่นแน่ๆ’

“ท่านฟังไม่ผิดหรอก ข้ามาที่นี่เพื่อดูแลพี่ชายใหญ่จริงๆ”

“เจ้า!! นี่เจ้าเรียกมันว่าอะไร!! คนที่เจ้าสมควรเรียกพี่ชายใหญ่คือข้า!! หลิวเหวินจงผู้นี้ต่างหาก ไม่ใช่มัน!!” เขาชี้หน้าหลิวเหวินจิ้งอย่างโกรธจัด

‘อ๋อ ที่แท้ก็คุณชายรองนี่เอง ไอ้เราก็นึกว่าชื่อชอบ ชวนหาเรื่องซะอีก’

“พี่ชายรองอายุน้อยกว่าพี่ชายใหญ่ตั้งครึ่งปีมิใช่หรือ ข้าเรียกท่านว่าพี่ชายรองจึงจะถูกต้อง”

“หลินเอ๋อร์!! นี่เจ้ากำลังหาเรื่องข้าใช่หรือไม่ แม้ท่านย่าจะรักเจ้า แต่คนที่ท่านย่ารักที่สุดก็คือข้า เจ้าอยากโดนทำโทษด้วยใช่หรือไม่!!”

หลิวลู่หลินส่งสายตาถามหงซิ่งอีกครั้ง และครั้งนี้ดูเหมือนว่านางจะเข้าใจแล้ว เพราะนางพยักหน้าให้อย่างหวาดผวา

“พี่ชายรองอายุตั้งเท่าใดแล้ว เหตุใดยังคิดได้แต่เรื่องรังแกพี่น้องเล่า หากเรื่องนี้ถูกคนเล่าลือออกไปจะไม่ทำให้ชื่อเสียงสกุลหลิวเสื่อมเสียหมดหรือ”

ในเมื่อไม่สามารถใช้อำนาจกับเขาได้ เช่นนั้นก็ต้องใช้เหตุผลเข้าสู้แล้ว เชื่อว่าถึงท่านย่าจะรักหลานอย่างไรก็ต้องรักชื่อเสียงของตระกูลมากกว่าแน่นอน

“เจ้าอย่ามาอ้างเรื่องพี่น้อง หากเจ้าเห็นข้าเป็นพี่ชายจริงก็ต้องเรียกขานข้าว่าพี่ชายใหญ่” เจ้าเด็กบ้าอำนาจนี่ อยากจับมาตีก้นซะให้เข็ด

“ท่านเกิดหลังพี่ชายใหญ่ก็ต้องเป็นพี่ชายรอง ไม่เช่นนั้นจะมีการลำดับอาวุโสไปเพื่ออะไร ท่านเองก็ร่ำเรียนมาหลายปีแล้วมิใช่หรือ ท่านอาจารย์ไม่เคยสอนเรื่องนี้เลยหรือไร ช่างน่าขายหน้าเสียจริง” นางร่ายยาวแล้วถอนหายใจพลางส่ายหัวไปมาราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย

“เจ้า… เจ้า ฮือๆ… ข้าจะฟ้องท่านแม่ ข้าจะฟ้องท่านย่า ฮือๆ… เจ้าไม่ใช่น้องข้าแล้ว อึก.. เจ้ามันสตรีน่ารังเกียจ ฮือๆ” เขาชี้หน้านางก่อนจะวิ่งออกนอกประตูไป บ่าวทั้งหมดก็วิ่งตามเขากลับไปด้วย

“ข้าหรือน่ารังเกียจ เป็นเขาเสียมากกว่า ท่านว่าใช่…” เมื่อนางหันกลับไปมองหลิวเหวินจิ้งก็ถึงกับต้องตกตะลึง

ริมฝีปากบางกำลังยกโค้ง ทำให้ลักยิ้มตรงมุมปากปรากฏขึ้น แววตาภายใต้นัยตาหงส์คู่นั้น กำลังเปล่งประกายระยิบระยับ เพราะความขบขัน ดวงตาที่เคยคิดว่าน่ากลัวกลับดูมีเสน่ห์ชวนมองอย่างยิ่ง

‘เขา… เขากำลังยิ้ม เหมือนกับเทวดาตัวน้อยๆ โคตรน่ารักเลย พี่สาวคนนี้อยากจะกอดหนูสักที หอมหนูสักฟอดใจจะขาด!!’

“แค่กๆ อืม ข้าคิดว่าเจ้าเองก็มิได้น่ารังเกียจอะไร” หลิวเหวินจิ้งปรับน้ำเสียงและท่าทางให้กลับมาดูสุขุมเย็นชาอีกครั้ง

“เช่นนั้นให้ข้ากอดท่านหน่อยได้หรือไม่”

เขาถลึงตาใส่นางทันที ก่อนจะเอ่ยเสียงดุดัน “เจ้าช่างน่ารังเกียจยิ่ง สตรีหน้าไม่อาย”

“ก็ข้าบอกแล้วไง ว่าเพิ่งจะเจ็ดแปดขวบเท่านั้น ไม่ถือเป็นสตรีเต็มตัวเสียหน่อย ท่านต่างหากที่หวงตัวยิ่งกว่าสตรี” นางว่าพลางยื่นมือไปจับแขนเขา แต่กลับถูกสะบัดออก

“ข้าไม่ชอบให้ผู้ใดแตะเนื้อต้องตัว เมื่อครู่คงกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่แล้ว เจ้าเตรียมตัวให้ดีเถอะ” เขาเอ่ยทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านี้และเดินออกจากห้องไป

เสียงร้องไห้ดังก้องไปทั้วทั้งโถงใหญ่ ทำให้เหล่าไท่จวินถึงกับตกใจและสั่งให้แม่นมรีบออกมาดู เมื่อแม่นมเห็นว่าเป็นคุณชายรองจึงรีบพาเขาไปพบเหล่าไท่จวินทันที

“จงเกอเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น มีใครทำอะไรเจ้างั้นรึ” เหล่าไท่จวินโอบกอดหลานชายไว้ก่อนจะถามอย่างเป็นห่วง

“ท่านย่า ฮือๆ ท่านย่าช่วยข้าด้วย หลินเอ๋อร์ ฮือๆ หลินเอ๋อร์รวมหัวกับเจ้านอกคอกนั่นรังแกข้า” หลิวเหวินจงเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนสะอื้นอย่างน่าสงสาร

เหล่าไท่จวินเหลือบมองถ้วยโจ๊กเปล่าที่วางอยู่ด้านข้าง “หืม? หลินเจี่ยเอ๋อร์งั้นหรือ ตอนนี้นางไม่ค่อยสบาย คงจะหงุดหงิดไปบ้าง เจ้าเป็นพี่ชายก็อภัยให้นางสักครั้งเถอะ”

“แต่.. ฮือๆ แต่ว่าหลินเอ๋อร์.. นางรวมหัว… อึก.. กับเจ้านอกคอกนั่น อึก.. ฮือๆ.. นางเรียกมันว่าพี่ชายใหญ่… ฮือๆ ทั้งที่… อึก… ฮือ.. ข้าต่างหากที่เป็นพี่ชายใหญ่ ฮือๆ ท่านย่า…ท่านต้อง… อึก.. ให้ความเป็นธรรมกับข้านะขอรับ ฮือๆ” เขายังคงสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร ทำให้เหล่าไท่จวินใจอ่อน

“ได้ๆ เช่นนั่นย่าเรียกหลินเจี่ยเอ๋อร์กับเจ้าเด็กนอกคอกนั่นมาขอโทษเจ้าดีหรือไม่ แม่นมจางไปตามหลินเจี่ยเอ๋อร์กับเจ้าเด็กนั่นมาพบข้า”

“ท่านย่า…ฮือๆ ท่านต้องลงโทษนางด้วยนะขอรับ ฮือๆ… นางพูดจาลบหลู่ข้า อึก… ลบหลู่อาจารย์ฮือๆ นางช่างน่ารังเกียจยิ่ง ฮือๆ”

“หมายความว่าอย่างไร” เหล่าไท่จวินขมวดคิ้วมุ่น

“ฮือๆ.. นางหาว่าข้า… ทำให้ตระกูลเสื่อมเสีย อึก.. ฮือ.. หาว่าอาจารย์…ไม่สั่งสอน…เรื่องลำดับอาวุโส…แก่ข้า อึก.. ทั้งที่… ตัวนางเอง…อึก…ไม่คิดจะร่ำเรียน..อึก…ด้วยซ้ำ ฮือ… ท่านย่า…”

“เอาล่ะๆ เดี๋ยวหลินเจี่ยเอ๋อร์มาแล้วย่าจะพูดกับนางเอง”

หลังจากนั้นไม่นานหลิวลู่หลินและหลิวเหวินจิ้งก็มาถึงห้องโถงใหญ่ของเรือนกลาง ในห้องนอกจากเหล่าไท่จวินและหลิวเหวินจงแล้ว ยังมีสตรีออกเรือนแล้วอีกนางหนึ่งนั่งอยู่ข้างกายเหล่าไท่จวินด้วย นางคงจะเป็นฮูหยินใหญ่

ทั้งรูปร่างแบบบาง หน้าตางดงามดูน่าทะนุถนอม และโดยเฉพาะดวงตาดอกท้อนั่น ไม่แปลกใจเลยที่นายท่านใหญ่จะรักใคร่เอ็นดูถึงเพียงนี้ และคุณชายรองเองก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับนางถึงห้าส่วน

ยิ่งตอนนี้เขากำลังบีบน้ำตาอยู่ในอ้อมกอดของเหล่าไท่จวินด้วยแล้ว ก็ให้รู้สึกว่าคนที่ทำให้เขาร้องไห้นั้นเป็นพวกโหดร้ายทารุณเลยทีเดียว

“หลินเจี่ยเอ๋อร์เจ้าพูดจาดูถูก จงเกอเอ๋อร์กับท่านอาจารย์จริงหรือ” คำถามของเหล่าไท่จวินดึงสติของหลิวลู่หลินกลับมาอีกครั้ง

“หลานเปล่าเจ้าค่ะ เจตนาของหลานเพียงแค่อยากสอบถามให้กระจ่างแจ้งเท่านั้น ไม่เคยคิดจะดูถูกหรือลบหลู่พี่ชายรองและท่านอาจารย์เลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ” น้ำเสียงสงบนิ่งและหนักแน่นของนาง เรียกสายตาสงสัยใคร่รู้ของฮูหยินใหญ่ให้มองมาได้เป็นอย่างดี

“เจ้าอยากรู้เรื่องใด ไหนบอกย่ามาสิ”

“หลานเพียงอยากรู้ว่า การกลั่นแกล้งพี่น้องเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ การไม่เคารพผู้อาวุโสกว่าเป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่ หากเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งถูกต้อง เช่นนั้นผู้สอนก็ไม่สมควรเป็นอาจารย์ เพราะจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเอาได้ แม้หลานจะไม่ได้เล่าเรียนเขียนอ่าน แต่ก็เข้าใจหลักคุณธรรมจริยธรรม เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นพื้นฐาน หากแม้แต่ผู้เป็นอาจารย์ยังไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ แล้วจะทำให้ศิษย์เข้าใจหลักคำสอนได้อย่างไร” หลังนางพูดจบเหล่าไท่จวินก็มีสีหน้าคล้อยตาม

“เจ้าอย่ามาพูดจาเฉไฉ เจ้าลบหลู่ข้า ลบหลู่อาจารย์ข้า เรื่องนี้เป็นความจริง” คนที่เมื่อครู่กำลังร้องไห้ปาดน้ำตาอยู่นั้น บัดนี้กำลังโกรธหน้าดำหน้าแดงเสียแล้ว

“พี่ชายรอง ข้าเพียงถามท่านเรื่องการกลั่นแกล้งพี่น้องและการจัดลำดับอาวุโสเท่านั้น มีสิ่งใดที่ข้าลบหลู่ท่านกับท่านอาจารย์หรือ”

“เจ้า… เจ้า…”

“หลินเจี่ยเอ๋อร์ช่างรู้ความนัก แล้วเหตุใดเจ้าจึงถามเรื่องการกลั่นแกล้งพี่น้องขึ้นมาเล่า” จู่ๆ ฮูหยินใหญ่ก็เอ่ยขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม

ช่างเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนใจดี แต่ซ่อนอันตรายไว้โดยแท้ สตรีนางนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดจริงๆ

“เรียนท่านป้าสะใภ้ใหญ่ หลานนั้นโง่เขลา จึงไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดพี่ชายรองถึงอยากให้ท่านย่าทำโทษหลาน”

“นั่นอาจเป็นเพราะ เจ้ากำลังถูกใครบางคนล่อลวงอยู่หรือไม่ จงเอ๋อร์หวังดีต่อเจ้า แต่กลับไม่สามารถทำให้เจ้าเข้าใจถึงความหวังดีนั้นได้ จึงต้องมาพึ่งบารมีของเหล่าไท่จวินอย่างไรเล่า” แค่เพียงวาจาไม่กี่ประโยคของฮูหยินใหญ่ก็ทำให้เหล่าไท่จวินจ้องเขม็งไปที่หลิวเหวินจิ้งอย่างโกรธเคืองแล้ว

“ท่านป้าสะใภ้ใหญ่กล่าวได้ถูกต้องจริงๆ เมื่อก่อนหลานไม่รู้ความ มักทำแต่เรื่องโง่เขลา แค่เพียงฟังวาจาสวยหรูของผู้อื่นก็หลงเชื่อโดยง่าย แต่มาบัดนี้หลานรู้ความแล้ว จึงอยากแก้ไขหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยทำผิดพลาดไป ทั้งเรื่องนิสัยเอาแต่ใจ ทั้งเรื่องลำดับอาวุโส ท่านป้าสะใภ้ใหญ่คิดว่าหลานทำถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ”

สายตาสองคู่สอดประสานกันอย่างไม่ลดละ เรียกได้ว่าไม่มีใครยอมใคร จนในที่สุดฮูหยินใหญ่ก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาอีกครั้ง

“ช่างเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดจริงๆ น่าเสียดายยิ่งที่หลินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ชอบเล่าเรียน”

“แม้ไม่ชอบเล่าเรียน แต่มิใช่จะเล่าเรียนมิได้ หลานได้ยินว่าอาจารย์ของพี่หญิงใหญ่มีชื่อเสียงยิ่งนัก หากว่าหลานจะขอไปเล่าเรียนด้วย ไม่รู้ว่าพี่หญิงใหญ่จะยินดีหรือไม่”

คราวนี้ฮูหยินใหญ่หน้าเปลี่ยนสีไปจริงๆ สำหรับสตรีที่ต้องการความโดดเด่น และความเป็นหนึ่งอย่างท่านป้าสะใภ้ใหญ่ผู้นี้แล้ว บุตรสาวและบุตรชายของนางต้องเป็นเลิศเพียงผู้เดียวเท่านั้น

“ใจจริงป้าก็อยากให้เจ้าได้เล่าเรียนพร้อมกับเหลียนเอ๋อร์ด้วย เพียงแต่ตอนนี้ท่านอาจารย์สอนไปค่อนข้างไกลมากแล้ว หากหลินเจี่ยเอ๋อร์เข้าเรียนตอนนี้ เกรงว่าจะตามไม่ทันเป็นแน่”

“เช่นนั้นก็น่าเสียดายจริงๆ เจ้าค่ะ อาจารย์ที่มีชื่อเสียงนั้นใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ พี่หญิงใหญ่ช่างโชคดียิ่งนัก” นางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มจริงใจอย่างยิ่ง

“ท่านย่า..” เสียงเศร้าสลดของหลิวเหวินจงทำให้เหล่าไท่จวินตัดสินใจจะลงโทษหลิวเหวินจิ้งเพื่อจบปัญหาทั้งหมด

“เอาล่ะ เรื่องนี้ต้นเหตุก็มาจากเจ้าเด็กนั้นไม่ใช่หรือไร ถึงทำให้พวกเจ้าพี่น้องต้องทะเลาะกันเช่นนี้”

“ท่านย่าเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่ชายใหญ่เลยสักนิด” หลิวลู่หลินเอ่ยอย่างร้อนรนเมื่อรู้ว่าหลิวเหวินจิ้งต้องถูกลงโทษ

“หลินเจี่ยเอ๋อร์เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องครั้งก่อนเจ้าก็จงใจพูดแก้ต่างให้เจ้าเด็กนอกคอกนี่ แล้วมันสำนึกบ้างหรือไม่

ใครอยู่ข้างนอกเข้ามาเอาตัวเจ้าเด็กนี่ไปโบยให้มันหลาบจำ ครั้งก่อนยี่สิบไม้คงน้อยไป รอบนี้เพิ่มเป็นสามสิบไม้ แล้วส่งมันเข้าไปสำนึกผิดในศาลบรรพชน!!

คราวนี้หากไม่มีคำสั่งของข้าไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามพามันออกมาทั้งนั้น!!” สิ้นเสียงเหล่าไท่จวิน บ่าวที่รออยู่ด้านนอกก็กรูกันเข้ามาในทันใด

หลิวลู่หลินหันไปมองหลิวเหวินจิ้งด้วยความตกใจ เห็นเขาเพียงแค่พยักหน้าให้นางครั้งหนึ่งเท่านั้น และยอมให้บ่าวชายจับตัวไปแต่โดยดี

ใบหน้าของเขาไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีความโกรธ หรือเกลียดชังแต่อย่างใด มีเพียงแต่ความเฉยชาจนแทบจะไร้ความรู้สึกเท่านั้น

‘นี่มันไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องอย่างรุนแรง เพราะตรรกะบิดเบี้ยวแบบนี้ไง ถึงได้เลี้ยงลูกหลานออกมาร้ายกาจไปหมด’

หลิวลู่หลินตั้งสติและคิดหาทางอีกครั้ง นางเดินตามบ่าวที่จับตัวหลิวเหวินจิ้งไปจนถึงลานลงทัณฑ์ ไม้กระบองอันใหญ่ถูกวางพาดไว้บนเก้าอี้ตัวยาวสำหรับให้ผู้ถูกลงโทษนอนคว่ำลงไป

หัวใจของหลิวลู่หลินแทบจะหยุดเต้นเมื่อเห็นไม้กระบองที่ใช้ลงโทษหลิวเหวินจิ้ง มันทั้งใหญ่และมีร่องรอยของเศษไม้ที่จงใจทำให้เป็นเสี้ยนอยู่ด้วย เพราะเหตุนี้เอง บาดแผลครั้งก่อนของหลิวเหวินจิ้งถึงได้มีเศษเสี้ยนไม้ตำอยู่มากมาย และบ่าวที่เป็นผู้ลงโทษก็ตัวใหญ่ยิ่ง นี่คงตั้งใจตีให้ตายในสามสิบไม้เลยทีเดียว

‘โหดร้าย นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว เขาเป็นแค่เด็กสิบขวบเองนะ ทำไมถึงได้อำมหิตขนาดนี้’

หลิวเหวินจิ้งถูกพาดลงบนเก้าอี้ตัวยาว บ่าวผู้ลงโทษเหวี่ยงไม้กระบองขึ้นไปสุดแขน และในจังหวะที่ไม้กำลังจะร่วงลงมาถูกหลังเขานั่นเอง หลิวลู่หลินตัดสินใจพุ่งตัวเข้าไปกอดเขาไว้จากทางด้านหลัง

ผลัวะ!

“อึก.. อ๊อก~” นางกระอักเลือดออกมาทันทีที่ไม้กระบองฟาดเข้ากลางหลัง

“ลู่หลิน!! นี่เจ้าทำอะไร!!” หลิวเหวินจิ้งตกใจกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้เป็นอย่างมาก

เขาตะโกนออกมาพร้อมกับดึงตัวหลิวลู่หลินมากอดไว้และพลิกตัวลงจากเก้าอี้ตัวยาว

“ทะ… ท่าน… ไม่เป็นไร… กระมัง” เพียงแค่ไม้แรกเท่านั้นนางยังไม่สามารถทนรับได้ แล้วเขาต้องถูกโบยตั้งสามสิบไม้จะรับไหวได้อย่างไร

“เจ้าทำเช่นนี้ทำไม! ยังสติดีอยู่หรือไม่!” เสียงตะโกนของเขาฟังดูเลือนลางและห่างไกล

“ไม่เป็นไร… ก็ดี… ดีแล้ว…” นางค่อยๆหลับตาลงอย่างสงบ แต่สองมือยังคงกอดเขาไว้แน่น

“ลู่หลิน! ลู่หลิน! หลิวลู่หลิน!!” หลิวเหวินจิ้งตะโกนเรียกนางอย่างบ้าคลั่ง แต่คนในอ้อมแขนกลับไม่ตอบสนองแต่อย่างใด

‘นี่ฉันกำลังจะตายอีกรอบแล้วใช่มั้ย… แบบนี้… ก็ดีเหมือนกัน’

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel