บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 ข่าวลือมักมีมูล

ในอดีตตระกูลเจียงมีอำนาจในราชสำนักค่อนข้างมาก คุณหนูเจียงเมิ่งอวิ๋นหลงรักนางท่านใหญ่ตระกูลหลิวมากจึงขอร้องให้ใต้ท้าวเจียงช่วยจัดการเรื่องแต่งงานให้ แต่นายท่านใหญ่มีคนรักอยู่แล้ว คือคุณหนูอู๋หมี่เยี่ย

เมื่อถูกบังคับให้แต่งงาน นายท่านใหญ่จึงเกลียดชังคุณหนูเจียงเป็นอย่างมากและลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่ร่วมหอกับนางเป็นอันขาด

และในคืนแต่งงานนายท่านใหญ่ก็ทำอย่างที่พูดไว้จริงๆ เขาเลือกไปนอนที่ห้องหนังสือ คุณหนูเจียงหรือเจียงซื่อที่เพิ่งออกเรือนเสียใจเป็นอย่างมาก นางพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเอาใจนายท่านใหญ่ แต่กลับไม่ได้รับความรักเลยสักนิด

จนกระทั่งเจียงซื่อรู้เรื่องของคุณหนูอู๋ นางจึงนำความเจ็บช้ำและความเกลียดชังไปลงที่คุณหนูอู๋ ในตอนนั้นพอนายท่านใหญ่รู้เรื่องก็โกรธเจียงซื่อเป็นอันมาก และตัดสินใจแต่งคุณหนูอู๋เข้าบ้านเป็นภรรยารอง

นายท่านใหญ่และอู๋ซื่อรักใคร่กันเป็นอย่างมาก เจียงซื่อที่พ่ายแพ้อย่างหมดรูปจึงตัดสินใจปล่อยวางเรื่องราวทั้งหมดและขอแยกเรือนไปอยู่ในที่ห่างไกล เมื่อไม่เห็นก็จะได้ไม่ทุกข์

แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะใต้ท้าวเจียงเลือกข้างผิด เมื่อองค์ชายรองถูกโค่นล้มอำนาจ คนสกุลเจียงจึงต้องโทษประหารชีวิตทั้งตระกูล เจียงซื่อที่ไร้ตระกูลหนุนหลังจึงถูกส่งตัวไปอยู่อารามอี้หลินบนเขาหลงซาน

เรื่องราวน่าจะจบลงเพียงเท่านี้ แต่ผ่านไปเพียงแค่ครึ่งปีกว่า ทางอารามอี้หลินกลับส่งตัวเจียงซื่อกลับมาเพราะนางตั้งครรภ์

คนทั้งสกุลหลิวตกใจเป็นอันมาก โดยเฉพาะนายท่านใหญ่ เขาสาบานต่อหน้าบรรพบุรุษในศาลบรรพชนเลยว่าไม่เคยแตะต้องเจียงซื่อเลยแม้แต่ปลายผม ซึ่งเรื่องนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้

เพราะต้องการรักษาชื่อเสียงของสกุลหลิวไว้ เหล่าไท่จวินจึงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ทุกคนในบ้านนอกจากเหล่าเจ้านายแล้ว ต่างเข้าใจว่าคุณชายใหญ่คือบุตรชายแท้ๆ ของนายท่านใหญ่

แต่ว่าในวันที่เจียงซื่อกำลังจะจากไปนั้น ได้มอบป้ายหยกชิ้นหนึ่งให้กับคุณชายใหญ่ จึงกลายเป็นข่าวลือมากมายในหมู่ข้ารับใช้ บ้างก็ว่าป้ายนั่นเป็นของชู้รัก บ้างก็ว่าเป็นของเก่าตกทอดของตระกูลเจียง แต่ไม่มีใครรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไรกันแน่

เมื่อฟังเรื่องราวของเจียงซื่อจบลง หลิวลู่หลินก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิดทันที มิใช่เพราะซาบซึ้งกินใจในเรื่องราว แต่เพราะชื่อสถานที่ต่างหากที่ทำให้คิดไม่ตก

‘เขาหลงซานเหมือนกัน… แต่เป็นอารามอี้หลิน ไม่ใช่วัดเทียนฉือ บางทีอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกมั้ง’

เพราะตั้งแต่ตื่นขึ้นมาในโลกแห่งนี้ มีหลายชื่อที่ทั้งเหมือนและคล้ายคลึงกับชื่อในเรื่องหงส์คู่บัลลังก์อย่างมาก จึงทำให้อดคิดไม่ได้ว่านี่เป็นโลกในนิยายเรื่องนั้นหรือไม่

“หงซิ่ง เจ้ารู้หรือไม่ว่ารัชทายาทมีนามว่าอะไร” หลิวลู่หลินถามขึ้นขณะนั่งให้หงซิ่งสางผมอยู่หน้ากระจกทองเหลือง

“เรื่องเจียงซื่อเกี่ยวอันใดกับรัชทายาทหรือเจ้าคะ เอ๊ะหรือว่า… รัชทายาทจะเป็น..”

“เลิกคิดเหลวไหลได้แล้ว เจ้าแค่บอกเรื่องที่รู้ให้ข้าฟังก็พอ ข้าอยากรู้เรื่องของรัชทายาท”

หงซิ่งทำแก้มป่องก่อนจะเล่าสิ่งที่รู้ออกมา “รัชทายาทแคว้นเว่ย มีนามว่าเว่ยจงชิง ปีนี้พระองค์มีพระชนมายุสิบสามชันษาแล้วเจ้าค่ะ”

‘ใช่จริงๆ ด้วย เว่ยจงชิง พระเอกของเรื่อง ส่วนนางเอกคือ จ้าวลี่อิน แล้วแม่ทัพปราบพยัคฆ์ล่ะ อืม… ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนเขาจะเป็นลูกบุญธรรมของหย่งอ๋อง เพราะสอบได้จ้วงหยวน (ตำแหน่งของผู้ที่สอบได้อันดับ 1 ในการสอบคัดเลือกข้าราชการของจีน) ด้วยอายุเพียงสิบสี่ปี เลยถูกหย่งอ๋องรับเป็นลูกบุญธรรม

หย่งอ๋องไม่แต่งชายา ไม่มีสนม มีแต่คนรักที่เสียชีวิตไปแล้ว เพราะฉะนั้นผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งอ๋องต่อไปก็คือลูกบุญธรรม

หลิวเหวินจิ้ง หากกลายเป็นลูกบุญธรรมหย่งอ๋องแล้ว ก็สามารถใช้แซ่เดียวกับบิดาบุญธรรมได้ และเขาก็จะกลายเป็น เว่ยเหวินจิ้ง แบบนี้ก็ลงล็อกเป๊ะ’

เมื่อความคิดต่างๆถูกผสานเข้าด้วยกันก็ทำให้เหงื่อกาฬของนางต้องไหลพรากเลยทีเดียว

‘เช่นนี้ในอนาคต ฉันก็จะถูกพี่ชายใหญ่ส่งตัวไปเป็นเมียน้อยพระเอกน่ะสิ!’ แค่คิดก็รู้สึกแย่แล้ว

‘แบบนี้ฉันควรทำไงดีล่ะ คิดไม่ออกจริงๆ’ นางล้มตัวลงนอนบนเตียงพลางถอนหายใจ

“คุณหนูเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ” หงซิ่งถามด้วยความเป็นห่วง

“เฮ้อ ข้ากำลังวางแผนชีวิต ดูเหมือนจะต้องทบทวนเรื่องราวให้ละเอียดซะแล้ว” หงซิ่งเห็นท่าทางหมกมุ่นของเจ้านายตนเองแล้วก็ต้องเกาหัวอย่างงุนงง

เช้าวันรุ่งขึ้นหลิวลู่หลินตัดสินใจตื่นขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง นางลงมือเข้าครัวด้วยตนเอง ทำให้เหล่าข้ารับใช้แตกตื่นกันเป็นอันมาก เพราะไม่เคยมีเจ้านายคนใดมาที่ห้องครัวเลยสักครั้ง

งานครัวถือเป็นงานระดับล่าง เพราะต้องเจอทั้งความร้อน น้ำมัน และกลิ่นตัวก็จะมีแต่กลิ่นวัตถุดิบ แม้แต่พวกสาวใช้ทั่วไป ยังไม่อยากถูกส่งมาที่นี่ด้วยซ้ำ แต่คุณหนูรองกลับลงมาทำอาหารด้วยตนเอง

แรกเริ่มแม่ครัวพยายามเข้ามาห้ามปราม แต่เมื่อได้เห็นวิธีการใช้มีดของคุณหนูรองก็ถึงกับต้องตกตะลึงตาค้าง แม่ครัวและสาวใช้อีกสามคนกลายเป็นลูกมือของนางในที่สุด

โจ๊กธัญพืชถูกเคี่ยวจนเละได้ที่ กลิ่นหอมนั้นทำให้แม่ครัวถึงกับน้ำลายสอ หลิวลู่หลินตักแบ่งใส่ถ้วยอย่างดี มีทั้งของเหล่าไท่จวิน ท่านแม่ และตัวนางเองกับพี่ชายใหญ่

“โจ๊กสองถ้วยน้ันเจ้าให้คนยกไปให้เหล่าไท่จวินกับท่านแม่ข้าด้วย ส่วนสองถ้วยนี้เจ้าใส่ตะกร้าแล้วตามข้ามา” หลิวลู่หลินสั่งการทุกอย่างเสร็จแล้วก็มุ่งหน้าไปเรือนคุณชายใหญ่ทันที

“หวังว่าเช้านี้เขาจะทำตัวน่ารักขึ้นมาบ้างนะ” นางบ่นพึมพำราวกับสวดภาวนา ยิ่งทำให้หงซิ่งไม่เข้าใจเจ้านายตนเองมากขึ้นทุกที

‘ถึงอย่างไรคุณหนูที่เป็นเช่นนี้ก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะนางไม่ทุบตีข้าแล้ว’ หงซิ่งคิดพลางพยักหน้ากับตนเองและตั้งใจว่าจะปรนนิบัติคุณหนูรองให้ดีที่สุด

เมื่อมาถึงหน้าเรือนประตูกลับปิดสนิท ราวกับไม่มีใครอยู่ หงซิ่งจึงเข้าไปเคาะและร้องเรียก แต่ทำเช่นนั้นอยู่นานกลับไม่มีเสียงตอบรับจากด้านในเลยแม้แต่น้อย

หลิวลู่หลินเริ่มรู้สึกใจไม่ดี ‘หรือว่าพี่ชายใหญ่จะเป็นอะไร… ไม่หรอกน่า เขายังต้องกลายเป็นตัวร้ายในอนาคตนะ… แต่ว่า หากทั้งหมดไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิดล่ะ หากเขาไม่ใช่เว่ยเหวินจิ้ง แต่เป็นแค่เด็กเคราะห์ร้ายคนหนึ่ง…’

หัวใจของนางเต้นแรงขึ้น นางเดินเข้าไปเคาะประตูและตะโกนเรียกด้วยตนเองอย่างบ้าคลั่ง จนในที่สุดประตูก็แง้มออก ซุนเต๋อโผล่หน้าออกมาอย่างสะลึมสะลือ

“คุณหนูรอง มาแต่เช้าเลยหรือขอรับ” เสียงของซุนเต๋อทำให้จิตใจของนางสงบลงได้บ้าง

“ข้าเอาโจ๊กมาให้พี่ชายใหญ่ เขาตื่นแล้วหรือไม่” นางพยายามปรับเสียงตนเองให้เป็นปกติ

“คุณชายยังไม่ตื่นขอรับ คุณหนูฝากไว้กับบ่าวก่อนเถอะขอรับ เดี๋ยวบ่าวจะเอาไปอุ่นไว้ก่อน รอคุณชายตื่นแล้ว บ่าวค่อยยกไปให้ขอรับ” ซุนเต๋อทำท่าจะรับตะกร้าไป แต่หลิวลู่หลินกลับห้ามไว้

“โจ๊กนี่ ข้าเอามาทานพร้อมกับพี่ชายใหญ่ เจ้าให้พวกเราเข้าไปรอด้านในเถอะ ข้าอยากเข้าไปดูอาการของเขาด้วย”

ซุนเต๋อมีสีหน้าลำบากใจ และยังคงไม่เปิดประตูให้ “เอ่อ… บ่าวเกรงว่าจะไม่เหมาะนะขอรับ เวลานี้ยังเช้ามาก..”

“เช้าหรือ นี่ใกล้จะยามซื่อ (ยามซื่อ = 09:00 น. -10:59น.) แล้ว ไม่เรียกเช้าแล้วกระมัง” นางเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว นี่เขาจะทำตัวไม่น่ารักจริงๆใช่หรือไม่

“เอ่อ… ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ว่าคุณชาย.. “

“พอเถอะ เลิกอ้ำอึ้งสักที หงซิ่งข้าจะเข้าไปข้างใน เจ้าขวางเขาไว้” หลิวลู่หลินไม่พูดเปล่า แต่ยังจับแขนซุนเต๋อแล้วดึงเขาออกมาจากหลังประตูด้วย

“คุณ… คุณหนูรอง ไม่ได้นะขอรับ! เข้าไปไม่ได้ขอรับ!” ซุนเต๋อที่ถูกเหวี่ยงออกมานอกประตู ตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นแล้วทำท่าจะพุ่งเข้าไปดึงตัวหลิวลู่หลินออกมา แต่กลับถูกหงซิ่งขวางเอาไว้

เมื่อเข้ามาในเรือนหลิวลู่หลินก็ตรงไปยังห้องนอนของหลิวเหวินจิ้งทันที ในใจของนางเต็มไปด้วยความโกรธ

‘เด็กอะไรไม่น่ารักเลยสักนิด นี่ฉันอุตส่าห์จะทำตัวเป็นน้องสาวที่ดี ที่น่ารักให้เขาเอ็นดูสักหน่อย แล้วนี่อะไร! ทำให้ฉันโมโหจนได้’

นางจงใจเดินปึงปังเข้ามาในห้อง และตรงไปที่เตียงทันที แต่เมื่อเลิกผ้าห่มออกกลับพบเพียงความว่างเปล่า

“ไหนว่านอนหลับอยู่ไง นี่คิดจะหนีฉันจริงๆใช่มั้ย” ความเป็นห่วง ความหวาดกลัวต่างๆ สลายหายไปสิ้น เหลือเพียงความโกรธเคืองที่มีต่อเด็กดื้อคนนั้น

“นี่เป็นมารยาทของคุณหนูรองสกุลหลิวงั้นหรือ บุกห้องนอนของบุรุษกลางวันแสกๆ ไม่มีสตรีดีๆที่ใดเขาทำกันเช่นนี้กระมัง” เสียงเรียบเฉยติดจะเย็นชาของเด็กชายดังขึ้นที่หน้าประตู

เมื่อหันไปมองก็พบคนที่ควรจะนอนรักษาตัวกำลังยืนกอดอกพิงขอบประตูอยู่ “ข้าแค่เจ็ดขวบยังไม่นับว่าเป็นสตรีเต็มตัว ส่วนเรื่องมารยาท ข้ามีให้เฉพาะคนที่มีมารยาทเหมือนกันเท่านั้น”

หลิวเหวินจิ้งเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ ‘นี่นางช่างเจรจาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน แต่ก่อนเป็นแค่เด็กใช้อำนาจไม่ใช้สมองมิใช่หรือ’

“ท่านไปไหนมา ข้าเรียกอยู่นานมาก ไม่มีใครตอบรับเลยสักคน”

“ข้าปวดหนัก ซุนเต๋อพาข้าไปเวจ (ห้องน้ำ) เจ้ามาผิดเวลาเอง อย่าได้โทษข้า” หลิวลู่หลินถลึงตาใส่เขาอย่างเข่นเคี่ยวเคี้ยวฟัน

“อ๋อ แต่ดูท่าทางท่านคงไม่ได้ปวดมากเท่าไหร่กระมัง ถึงได้มีเวลาสวมชุดรัดกุมเช่นนี้” นางปรายตามองเขาอย่างรู้ทัน

หลิวเหวินจิ้งหรี่ตามองนางอย่างต้องการค้นหาบางอย่าง ทำให้หลิวลู่หลินถึงกับสะบัดร้อนสะบัดหนาวกับดวงตาหงส์คู่นั้น

“เอ่อ ในเมื่อท่านกลับมาแล้วงั้นก็มาทานอาหารเช้ากันเถอะ ข้าจะไปตามหงซิ่ง” ว่าแล้วก็รีบวิ่งผ่านเขาออกนอกประตูไป สายตาของหลิวเหวินจิ้งยังคงตามติดแผ่นหลังเล็กๆไปจนลับตา

‘ฟู่ สายตาของเขาจะน่ากลัวเกินไปแล้ว ฉันอยู่มาจนป่านนี้ยังไม่เคยเห็นใครมีสายตาแบบนั้นมาก่อน’

แม้นางจะกลัวเกรงสายตาของเขา แต่ก็ไม่ทำให้ความพยายามที่จะสานสัมพันธ์กับเขาลดลงแม้แต่น้อย หากไม่รีบวางแผนปูทางให้ตนเองตั้งแต่เนินๆ อนาคตอาจจะลำบากได้

การรับประทานอาหารร่วมกันครั้งแรกนั้น เรียกว่าผ่านไปได้ด้วยดี หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้มีการขว้างปาถ้วยชามแต่อย่างใด อาจจะแค่มีปากเสียงกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อืม เล็กน้อยจริงๆ

“โจ๊กธัญพืชนี่ ข้าทำเองกับมือเชียวนะ แม้แต่แม่ครัวยังชมว่าข้าทำอร่อย ท่านรู้หรือไม่ ธัญพืชห้าสีนี้ เหมาะสำหรับบำรุงร่างกายท่านอย่างมากเชียว แต่น่าเสียดายที่ในห้องครัวใหญ่ไม่มีถั่วเหลือง ไม่เช่นนั้นข้าคงทำน้ำเต้าหู้มาให้ท่านทานคู่กับโจ๊กด้วยแล้ว”

หลิวเหวินจิ้งกินโจ๊กคำสุดท้ายก่อนจะดื่มชาแล้วเช็ดปาก “มีใครสอนเจ้าเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารหรือไม่”

คำพูดนิ่งๆเรียบๆของเขา ทำเอานางโกรธจนหน้าแดง แต่ก็ต้องเก็บอาการไว้

‘เหอะ กินของฉันจนหมดแล้ว ถึงคิดจะมาสั่งสอนฉันหรือ เจ้าเด็กนี่ช่างตอบแทนผู้อื่นได้ดีจริงๆ’

นางกัดฟันฉีกยิ้มอ่อนหวานให้เขา “ข้าแค่อยากแสดงความจริงใจที่มีต่อท่านเท่านั้น”

เขาเพียงแค่เลิกคิ้วแล้วยกถ้วยยาขึ้นดื่มราวกับว่าแค่ได้ยินเสียงลมผ่านหู ‘เด็กอะไรนิสัยแย่เหลือเกิน’

“ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องมาที่นี่อีก ส่วนของพวกนี้ข้าจะรับไว้ เพราะเห็นแก่ความจริงใจของเจ้าแล้วกัน”

‘เจ้าเด็กโอหัง! อวดดี รู้จักคำว่าสำนึกบุญคุณบ้างหรือไม่!!’

แม้ในใจจะต่อต้านเพียงใด แต่ภายนอกก็ต้องแสดงออกมาอย่างเป็นมิตรที่สุด “จะได้อย่างไรเจ้าคะ แผลของท่านยังต้องเปลี่ยนยาอีกหลายวันมิใช่หรือ ข้าเป็นห่วงท่านยิ่งนัก จะไม่ให้ข้ามาได้อย่างไร”

‘ถ้าฉันไม่ตีซี้เจ้าเด็กอวดดีนี่ให้ได้ล่ะก็ ต่อไปเจ้านี่ต้องส่งฉันไปเป็นเมียน้อยพระเอกแน่ รอถึงวันนั้นจะแสดงความสนิทสนมก็ไม่ทันแล้ว’

“แต่ก่อนไม่เห็นเจ้าห่วงใยข้าเช่นนี้ แล้วบัดนี้เกิดอะไรขึ้นเล่า” คำถามของเขาทำเอานางถึงกับสะอึก จะให้บอกเขาได้อย่างไร ว่านางมิใช่หลิวลู่หลินคนนั้นแล้ว

“ก็… เพราะข้าโตแล้ว รู้ความมากขึ้นแล้วอย่างไรล่ะเจ้าคะ”

“อ๋อ… งั้นหรือ” น้ำเสียงของเขาบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อแต่อย่างใด

จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังมาแต่ไกล ทั้งสองจึงจบบทสนทนากันแต่เพียงเท่านี้

“เจ้านอกคอก! ใครอนุญาตให้แกออกมากันห๊ะ! กลับไปสำนึกผิดในศาลบรรพชนเดี๋ยวนี้”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel