บทที่ 4 ไม่ต้องการความช่วยเหลือ แล้วอย่างไร? ในเมื่อข้าอยากช่วย
ในห้องนอนที่เย็นเฉียบ เด็กชายนอนคว่ำอยู่บนไม้กระดานอย่างหมดเรี่ยวแรง บ่าวตัวน้อยเอาเสื้อผ้าหลายชิ้นมาวางซ้อนกันก่อนจะห่มให้เจ้านาย “คุณชายขอรับ ด้านนอกเงียบเสียงไปแล้วขอรับ”
เด็กชายหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า “อืม เจ้าไปพักเถอะ อีกหนึ่งชั่วยามค่อยมาปลุกข้า”
บ่าวตัวน้อยมีท่าทีลังเล ก่อนจะตัดสินใจพูดในสิ่งที่ตนเองคิดออกไป “วันนี้… หากไม่ได้คุณหนูรอง เกรงว่าบ่าว คงเข้าไปในศาลบรรพชนไม่ได้ คุณชาย… ท่านอย่าได้ถือสาคุณหนูรองเลยนะขอรับ”
“เจ้าออกไปเถอะ” เด็กชายยังคงหลับตาอย่างไม่สนใจ รอจนในห้องเงียบเสียงแล้ว เขาค่อยๆยกมือขึ้นลูบแผลที่เพิ่งตกสะเก็ดบนหน้าผากตนเอง
“เหตุใดจึงไม่ตายไปเสียเล่า” เขากำมือเป็นหมัดแน่นและคิดใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ช่วงเช้าแม้อากาศจะหนาวเย็นไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ หลิวเหวินจิ้งเพิ่งเสร็จจากการฝึกฝนและกำลังจะกลับไปอ่านตำราที่ห้อง อีกสองวันอาจารย์ก็จะเรียกเขาไปทดสอบแล้ว เขาอยากจะทำให้ดีที่สุดเพื่อให้อาจารย์ภาคภูมิใจ
ในระหว่างทางจู่ๆ ก็มีหินก้อนหนึ่งลอยมาจากด้านข้าง เขาเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว ทำให้คนที่ปาใส่เขาร้องขึ้นอย่างไม่พอใจ “เจ้าเด็กนอกคอก!! กล้าหลบก้อนหินข้ารึ”
เขาไม่สนใจนางและเดินต่อไป แต่กลับถูกเด็กหญิงคนนั้นขวางทางไว้ “คิดจะหนีรึ เจ้านอกคอก กล้าหลบหินของข้า คิดว่าเรื่องจะจบง่ายๆหรือไร หงซิ่ง! ไปเก็บหินมาให้ข้าอีกเดี๋ยวนี้ เอาที่ก้อนใหญ่เหมือนก้อนนี้ด้วย” สาวใช้คนหนึ่งรับคำแล้ววิ่งไปที่ริมสระบัว
“เจ้าห้ามหลบเด็ดขาด ไม่งั้นข้าจะฟ้องท่านย่า เจ้ารู้ดีว่าท่านย่ารักข้าแค่ไหน หากเจ้าไม่อยากถูกโบยจนเนื้อแตกล่ะก็ อย่าขยับตัวเด็ดขาด!!” เด็กหญิงไม่พูดเปล่า นางยกหินก้อนใหญ่ขนาดสองกำปั้นขึ้นมาขว้างใส่หลิวเหวินจิ้งเต็มแรง
เขายืนนิ่งอยู่กับที่จริงๆ และหินก้อนนั้นก็กระแทกเข้าที่หน้าผากของเขาเต็มแรง เลือดบนหน้าผากไหลผ่านดวงตาทำให้เขามองภาพเบื้องหน้าไม่ชัดเจนนัก “เท่านี้คงพอใจแล้วกระมัง”
ที่เขาจำยอมนั้นเพราะไม่ต้องการให้เกิดเรื่อง หากเขาถูกโบยก็คงต้องนอนซมไปอีกหลายวัน และไม่สามารถไปรับการทดสอบกับอาจารย์ได้ เช่นนั้นแล้วแค่บาดแผลเล็กน้อยเท่านี้ไม่นับเป็นอะไรได้
เขาหันหลังจะเดินจากไปอีกครั้ง แต่เด็กหญิงกลับไม่ยอมปล่อยเขาไป “ห้ามไปนะ!! ข้ายังไม่หายหงุดหงิดเลยสักนิด เจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าจะไปเลือกหินเอง หงซิ่งนางบ่าวไม่ได้เรื่อง คอยดูเถอะกลับไปข้าจะตีให้เนื้อแตกเลย”
ว่าแล้วเด็กหญิงก็วิ่งไปตรงริมสระบัวอีกด้านหนึ่ง แต่ด้วยชุดรุ่มร่ามที่นางใส่ทำให้เผลอเหยียบชายกระโปรงตัวเองและเสียหลักตกลงไปในน้ำ
หลิวเหวินจิ้งยืนมองเด็กหญิงที่กำลังดิ้นรนหาทางเอาชีวิตรอดในน้ำด้วยสายตาเย็นชา ‘หากตายไปเสียได้ก็ดี’
เขาหมุนตัวแล้วเดินจากไปอย่างไม่แยแสเสียงร้องตะโกน เสียงโหวกเหวกโวยวายทางด้านหลัง
เมื่อกลับถึงเรือน ซุนเต๋อบ่าวรับใช้ประจำตัวของเขาเห็นบาดแผลบนหน้าผากแล้วก็ถึงกับตกใจจนร้องไห้
“คุณชาย…อึก…ฮือๆ… เกิดอะไรขึ้นขอรับ… เหตุใดท่านถึงบาดเจ็บ” ซุนเต๋อร้องไห้ไปก็เช็ดเลือดและทำแผลไปด้วย
“เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อยตอนขากลับ วางใจเถอะ เรื่องที่ข้าออกไปข้างนอกไม่มีใครจับได้”
เมื่อทำแผลเสร็จแล้ว เขาจึงเข้าห้องไปอ่านตำราอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่เวลาผ่านไปไม่นาน ที่หน้าประตูก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังเข้ามาถึงด้านใน ซุนเต๋อรีบวิ่งเข้ามารายงานทันที “คุณชายขอรับ มีสาวใช้มาตามท่านไปพบเหล่าไท่จวินขอรับ”
หลิวเหวินจิ้งพลิกตำราในมืออ่านต่ออย่างตั้งใจ เมื่ออ่านจนจบเล่มแล้วเขาถึงค่อยลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้อง
เมื่อไปถึงหน้าโถงใหญ่ของเรือนกลาง ก็พบว่าทุกคนในบ้านมารวมกันครบแล้ว และผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งหลักก็คือ เหล่าไท่จวิน
“ใครก็ได้ จับเจ้าเด็กนอกคอกนี่ไปโบยซะ!!” เหล่าไท่จวินตวาดเสียงดังอย่างโกรธขึง
หลิวเหวินจิ้งรีบขยับตัวหลบพวกบ่าวที่กรูกันเข้ามาจับเขาพร้อมตะโกนถามว่า “ข้าทำผิดอะไร ท่านถึงต้องลงโทษข้า”
“ยังมีหน้ามาถามอีกรึ เจ้าคนถ่อยเลี้ยงไม่เชื่อง เจ้ากล้าผลักหลินเจี่ยเอ๋อร์ตกน้ำ โทษโบยยี่สิบไม้นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ หากหลินเจี่ยเอ๋อร์เป็นอะไรไปล่ะก็ ข้าจะโบยเจ้าให้ตาย!!” เหล่าไท่จวินตบโต๊ะแล้วตวาดกลับอย่างเจ็บแค้น
“ข้าไม่ได้ทำ!!”
“เจ้ายังกล้าโกหก! สาวใช้ของหลินเจี่ยเอ๋อร์เห็นกับตา เจ้ายังกล้าปฏิเสธอีกรึ เจ้าเด็กไม่รู้ดีชั่ว โบยมันยี่สิบไม้แล้วส่งไปสำนึกผิดในศาลบรรพชน!!”
สิ้นคำของเหล่าไท่จวิน บ่าวหลายสิบคนกระโจนเข้าใส่หลิวเหวินจิ้งอีกครั้ง แม้เขาจะสามารถหลบหลีกได้ แต่เรื่องราวก็คงไม่จบ ด้วยเหตุนี้เขาจึงยอมให้จับแต่โดยดี
เสียงไม้กระทบเนื้อดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง บ่าวชายผู้ลงมือรับสินบนจากฮูหยินใหญ่ จึงลงมือหนักเป็นพิเศษ หากเป็นเด็กสิบขวบทั่วไป คงไม่เหลือลมหายใจแล้วเป็นแน่ แต่โชคดีที่เขาฝึกฝนวรยุทธ์และร่างกายมานานปี โทษโบยครั้งนี้จึงทำให้เขาเพียงแค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้น และคงต้องใช้เวลารักษาตัวหลายวัน
ภายในเรือนอันอบอุ่นของหลิวลู่หลิน อัดแน่นไปด้วยข้าวของมากมาย ทั้งชุดเครื่องนอน ผ้าห่ม เสื้อผ้าสำเร็จของเด็กชาย ชุดชงชาใหม่ รวมถึงเครื่องเรือนอีกหลายชิ้น
“หงซิ่งสั่งห้องครัวทำสำรับของข้าเพิ่มเป็นสองชุด ชุดนึงเจ้ายกมาให้ข้า ส่วนอีกชุดส่งไปที่เรือนพี่ชายใหญ่พร้อมกับของทั้งหมดนี่” หลิวลู่หลินตรวจดูของทั้งหมดอีกครั้งก่อนจะสั่งการ
“เจ้าค่ะ”
“จริงสิ! เจ้าได้เชิญท่านหมอมาด้วยหรือไม่”
“เชิญมาแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านหมอกำลังรออยู่ด้านนอกเจ้าค่ะ” หงซิ่งเอ่ยอย่างกระตือรือร้น
“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะพาท่านหมอไปที่เรือนพี่ชายใหญ่เอง ส่วนเจ้าก็ยกสำรับของข้าไปที่นั่นด้วยแล้วกัน” หลิวลู่หลินหยิบเสื้อคลุมมาใส่อย่างคล่องแคล่ว
“คุณหนูเจ้าคะ…ถ้าหากว่าพวกเราถูกคุณชายใหญ่ไล่ออกมาอีกล่ะเจ้าคะ” ท่าทางหงซิ่งดูขยาดกับการกระทำของคุณชายใหญ่
“ไม่ต้องห่วง ข้าว่าตอนนี้เขาคงไม่มีแม้แต่แรงจะลุกขึ้นมานั่งด้วยซ้ำ” เพราะตอนที่ทำแผลให้เขา ดูก็รู้ว่ามีไข้อ่อนๆ หากไม่ได้กินยาลดไข้ล่ะก็ อาการอาจจะทรุดหนักลงได้ นี่เป็นเหตุผลที่ให้หงซิ่งตามท่านหมอมา
เมื่อหลิวลู่หลินไปถึงเรือนของหลิวเหวินจิ้งอีกครั้ง ก็เป็นจริงดังคาด ซุนเต๋อบ่าวรับใช้ กำลังวุ่นอยู่กับการเช็ดตัวให้เขาเพื่อลดไข้
เมื่อออกมาเปิดประตูแล้วพบกับหลิวลู่หลิน ซุนเต๋อก็ถึงกับผงะถอยหลังอย่างทำอะไรไม่ถูก
“คุณ… คุณหนูรอง… เอ่อ ตอนนี้คุณชายไม่สะดวกรับแขกขอรับ… เอาไว้..เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อนขอรับ คุณหนูรอง ท่านเข้าไปไม่ได้นะขอรับ!”
หลิวลู่หลินไม่สนใจเขา นางพาท่านหมอบุกเข้าไปในเรือน เมื่อเข้าไปถึงห้องนอนก็พบว่าหลิวเหวินจิ้งกำลังสลบไสลอยู่บนไม้กระดานแผ่นนั้น
นางสั่งการบ่าวที่ตามมาด้วยทันที เตียงหลังหนึ่งถูกยกเข้ามาในห้อง ตามด้วยเครื่องนอน และเครื่องเรือนต่างๆ ทั้งโต๊ะ ตู้ ฉากกั้น หรือแม้กระทั้งถังอาบน้ำ
ซุนเต๋อมองสิ่งของทุกอย่างด้วยอาการปากอ้าตาค้าง และไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น “นี่..นี่… หากคุณชายตื่นมาล่ะก็…” เขาถึงกับตัวสั่นเมื่อนึกถึงเรื่องที่จะต้องพบเจอ
หลิวลู่หลินมองดูห้องที่ถูกปรับเปลี่ยนใหม่อย่างพอใจ แม้สิ่งของเหล่านี้จะไม่ได้งดงามปราณีตเหมือนในห้องนาง แต่ก็เป็นของใหม่และแข็งแรงทนทาน พอให้ใช้งานไปได้อีกหลายปี
“บาดแผลของคุณชายไม่ร้ายแรงนัก ก่อนหน้านี้ยาที่ใส่ก็เป็นยาชั้นดี ตอนนี้เพียงแค่ตัวร้อนเพราะพิษไข้เท่านั้น ข้าจัดยาไว้ให้แล้ว หากดื่มให้ตรงเวลาก็จะดีขึ้นเอง” ท่านหมอส่งห่อยาให้กับซุนเต๋อ
หลิวลู่หลินหยิบเงินก้อนหนึ่งออกมาจากถุงผ้าแล้วส่งให้ท่านหมอด้วยตนเอง “ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ” ท่านหมอรับเงินแล้วก็ขอตัวกลับ
“ซุนเต๋อไปต้มยาเถอะ ข้าจะดูแลพี่ชายใหญ่เอง” หลิวลู่หลินหยิบผ้าจากในอ่างน้ำขึ้นมาเตรียมเช็ดตัวให้หลิวเหวินจิ้ง
ซุนเต๋อรีบเข้ามาคว้าอ่างน้ำให้ห่างจากมือนางทันที “บ่าว…บ่าวทำเองดีกว่าขอรับ คุณหนูรองไปรอที่ห้องด้านนอกเถอะขอรับ” หากให้คุณหนูรองทำอะไรไปมากกว่านี้ คุณชายใหญ่ต้องไม่เอาเขาไว้เป็นแน่
“ซุนเต๋อข้าให้เจ้าไปต้มยามิใช่รึ เจ้าจะขัดคำสั่งข้าหรือ” หลิวลู่หลินวางท่าทางเป็นคุณหนูเอาแต่ใจ
ซุนเต๋อถึงกับตัวสั่นและวางมือจากอ่างน้ำ แต่ยังคงละล้าละลังไม่กล้าออกจากห้อง “รีบไปสิ! มัวชักช้าอะไรอยู่” นางแกล้งตวาดขึ้นอีกครั้ง ทำให้ซุนเต๋อสะดุ้งสุดตัวและรีบออกจากห้องไป
หลิวลู่หลินยิ้มอย่างขบขันกับท่าทีของบ่าวตัวน้อย นางเลื่อนอ่างเข้ามาใกล้ตัวอีกครั้งและลงมือเช็ดตัวให้หลิวเหวินจิ้งอย่างชำนาญ
นางเช็ดใบหน้าของเขาพลางสำรวจอย่างละเอียด ใบหน้าเล็กเริ่มมีเค้าโครงความคมคาย คิ้วดกหนาขมวดเล็กน้อย ขนตางอนยาวราวกับเด็กผู้หญิง จมูกโด่งเชิดรั้น ริมฝีปากบางดูซีดเซียวเพราะพิษไข้ ตรงหน้าผากมีรอยแผลที่เพิ่งตกสะเก็ด ดูแล้วก็เป็นเด็กน้อยหน้าตาน่ารักที่น่าสงสารคนหนึ่ง
“ท่าน…แม่… ท่าน…แม่” เสียงละเมอแผ่วเบาดังออกมาจากริมฝีปากซีดบาง
หลิวลู่หลินลูบศรีษะเขาอย่างอ่อนโยน พลางกระซิบเสียงเบาริมหู “ไม่เป็นไร… เจ้าไม่เป็นไรแล้ว”
ความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับ ทำให้เขาค่อยๆขยับตัวเข้าใกล้นางราวกับต้องการพึ่งพิง “เด็กดี ข้าจะดูแลเจ้าเอง” เสียงของนางดังก้องอยู่ในความฝันของเขา ทำให้คนที่หลับใหลไม่อยากที่จะตื่น
สายลมยามเย็นพัดพาความหนาวเหน็บเข้ามาตามรอยขาดบนหน้าต่างและประตูเรือน ปลุกให้เด็กชายตื่นขึ้นจากฝันอันแสนหวาน
เขามองไปรอบตัวอย่างสะลึมสะลือ ก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆ และสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างเล็กที่กำลังยกถ้วยยาขึ้นเป่าหลายครั้งก่อนจะดื่มเข้าไปรวดเดียวหมด
“คุณหนูเก่งกาจจริงๆ เจ้าค่ะ ยาที่ขมเช่นนี้คุณหนูกลับดื่มได้หมดถ้วยในคราวเดียว”
“แค่ดื่มยาก็เรียกเก่งกาจแล้วหรือ หากพบคนที่กินดื่มได้ทุกอย่างเล่า เจ้าคงไม่เรียกขานคนผู้นั้นว่าผู้ยิ่งใหญ่กระมัง” นางหัวเราะเบาๆก่อนวางถ้วยเปล่าลงบนโต๊ะ
“เจ้าทำอะไรกับห้องของข้า” เสียงอ่อนล้าปนหงุดหงิดดังขึ้นเรียกให้เด็กหญิงหันไปมอง เมื่อเห็นเด็กชายค่อยๆลุกขึ้นนั่งบนเตียงนางจึงเดินเข้าไปช่วยพยุง
“ท่านตื่นแล้วหรือ หิวหรือไม่ ข้าให้คนเอาโจ๊กข้าวอุ่นไว้อยู่ ทานเสร็จแล้วจะได้ดื่มยา…” นางกล่าวยังไม่ทันจบก็ถูกคนที่ตนกำลังพยุงสะบัดตัวออกอย่างรังเกียจ
“ออกไป เอาของของเจ้าออกไปด้วย” น้ำเสียงเขาแฝงไปด้วยความดุดันและเย็นชา
“ไม่เอา! นี่ข้ากำลังช่วยท่านอยู่นะ ให้ความร่วมมือกันหน่อยไม่ได้หรือไร” นางว่าพลางเอามือท้าวสะเอวอย่างเอาเรื่องเช่นกัน
“ข้าไม่ต้องการ กลับไปซะ!!”
“ไม่กลับ!! ท่านไม่ต้องการความช่วยเหลือแล้วอย่างไร ข้าไม่สน ข้าจะช่วยก็คือช่วย!!” นางยืนกรานอย่างหนักแน่น ราวกับเด็กน้อยเอาแต่ใจ
เขาหรี่ตามองนางอย่างมาดร้าย “เจ้าทำเช่นนี้ มีจุดประสงค์ใด”
ราวกับว่ามีไอสังหารพุ่งมาตรงหน้า ทำให้หลิวลู่หลินถึงกับแข้งขาอ่อน ‘เหตุใดเด็กสิบขวบถึงได้น่ากลัวขนาดนี้เนี่ย’
แต่สำหรับหลิวลู่หลินแล้วอุดมการณ์มักอยู่เหนือความกลัวเสมอ นางยืดอกขึ้นราวกับผู้กล้าที่กำลังจะเข้าสู่สนามรบ “จุดประสงค์ของข้านั้นง่ายมาก ที่ท่านบาดเจ็บเช่นนี้ก็เพราะข้ากับหงซิ่งเป็นเหตุ เพราะฉะนั้นข้าจะมาดูแลท่านทุกวันจนกว่าท่านจะหายดี”
“ไม่จำเป็น ข้าไม่ชอบความวุ่นวาย เจ้ากลับไปซะ”
หลิวลู่หลินถลึงตาใส่เขาเป็นการใหญ่ “หากท่านไม่ยอมล่ะก็ คืนนี้ข้าจะอยู่ที่นี่!!” สิ้นคำของนางหลิวเหวินจิ้งถึงกับต้องนวดขมับและฝืนลุกขึ้นมาเพื่อจะพานางออกไปจากห้อง
“ท่านจะไปไหน นั่งบนเตียงนี่ละ เดี๋ยวข้ายกโจ๊กมาให้ท่านเอง” นางไม่พูดเปล่าแต่เดินไปยกถ้วยโจ๊กมาตรงหน้าเขาจริงๆ และยังถือช้อนตักขึ้นมาเป่าเบาๆสามสี่ครั้งก่อนจะยื่นมาให้ถึงปาก
“ทานสิ อร่อยนะ ข้าเองก็เพิ่งทานไปเหมือนกัน” นางพยายามฉีกยิ้มอ่อนหวานให้เขา แต่กลับได้รับเพียงสายตาเย็นชาตอบกลับมา
“ข้าจะพูดกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย กลับไปซะ”
“หากท่านกินโจ๊กและดื่มยาเสร็จแล้ว ข้าถึงจะยอมกลับ” นางยื่นคำขาดก่อนจะยื่นช้อนเข้าไปใกล้ปากเขามากขึ้น
เขาหลุบตาลงมองช้อนครู่หนึ่งก่อนจะยอมอ้าปาก หลิวลู่หลินป้อนเขาช้อนแล้วช้อนเล่า จนในที่สุดก็หมดถ้วย หงซิ่งจึงยกถ้วยยาส่งให้ นางรับมาแต่กลับไม่ส่งให้หลิวเหวินจิ้ง
“หงซิ่งพวกผลไม้เชื่อมที่ข้าให้ซื้อมาเล่า”
“แย่แล้ว บ่าวลืมเอามาด้วยเจ้าค่ะ” หงซิ่งรีบเดินไปหน้าประตูทันที
“ไม่ต้อง เอายามาให้ข้า” หลิวเหวินจิ้งเอื้อมมือคว้าถ้วยยาและดื่มรวดเดียวหมด “เอาล่ะ เจ้ากลับไปได้แล้ว”
หงซิ่งที่ยังไม่ทันออกจากห้องมองดูการกระทำเมื่อครู่ด้วยอาการตกตะลึง
“เห็นมั้ยว่าไม่ได้มีแต่ข้าที่ดื่มยาได้” หลิวลู่หลินเอ่ยอย่างขบขันก่อนจะรับถ้วยยามาจากมือเขา
นางลุกขึ้นยืนแล้วนำถ้วยเปล่าไปวางไว้ในตะกร้าอาหาร ก่อนจะเอ่ยกับเขาอีกครั้ง “พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่ ข้าจะดูแลท่านจนกว่าจะหายดี เรื่องนี้ท่านห้ามปฏิเสธ”
“อยากทำอะไรก็เรื่องของเจ้า” ดูเหมือนว่ากำแพงที่เขาตั้งไว้กั้นนางจะลดลงไปเล็กน้อยแล้ว
“พี่ชายใหญ่คืนนี้ค่อนข้างหนาว ท่านต้องห่มผ้าให้ดีนะเจ้าคะ พรุ่งนี้ข้าจะให้คนมาซ่อมประตูกับหน้าต่างให้ท่าน” หลิวเหวินจิ้งไม่แม้แต่จะมองนางด้วยซ้ำ
‘เอาเถอะ อย่างน้อยข้าก็ได้ทำดีไถ่โทษแทนเจ้าของร่างเดิมแล้ว ถึงเขาจะไม่ชอบข้าอย่างไรก็ต้องรอให้หายดีเสียก่อน’
ในระหว่างทางเดินกลับเรือนนั้น นางพบว่าพื้นที่บริเวณนี้นอกจากมีต้นไม้ขึ้นรกเพราะขาดการดูแลแล้ว ใกล้ๆกันยังมีเรือนร้างอีกหลังหนึ่ง
“นั่นเป็นเรือนของใครหรือ”
“เป็นเรือนของอดีตฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ”
“เหตุใดคุณชายใหญ่กับอดีตฮูหยินใหญ่ถึงอยู่ในที่แบบนี้เล่า” สิ้นเสียงหลิวลู่หลิน หงซิ่งก็เงียบไปและดูลังเลที่จะพูดถึงเรื่องนี้
ความอยากรู้อยากเห็นของหลิวลู่หลินยิ่งมีมากขึ้น นางถามต่อไป “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือ”
“นี่เป็น… เรื่องที่ลือกันในหมู่สาวใช้นะเจ้าคะ แต่ความจริงเป็นอย่างไรนั้น บ่าวเองก็ไม่ทราบเช่นกันเจ้าค่ะ”
หลิวลู่หลินเดินเข้าใกล้หงซิ่งขึ้นอีกนิดอย่างกระตือรือร้น “ลือกันว่าอย่างไร”
“ลือกันว่า… คุณชายใหญ่ไม่ใช่ลูกของนายท่านใหญ่เจ้าค่ะ”