บทที่ 3 นางร้ายเบอร์หนึ่ง
หากตัดเรื่องทฤษฎี ความเป็นไปได้ทั้งหมดทิ้งไปล่ะก็ ตอนนี้หลิวลู่หลินก็คือหนึ่งในตัวละครจากเรื่องหงส์คู่บัลลังก์อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่า…
หลิวลู่หลินในเรื่องนั้นเป็นชายารองของรัชทายาท นางไม่ถูกชะตากับนางเอก และตอนหลังยังอิจฉานางเอกที่ได้หัวใจของพระเอกไป ก็เลยพยายามหาเรื่องนางเอกตลอด และลอบทำร้ายนางเอกทุกครั้งที่มีโอกาส
หลิวลู่หลินเป็นคนของท่านแม่ทัพที่ภายหลังกลายเป็นอัครเสนาบดี มีอยู่ครั้งหนึ่งนางถูกอัครเสนาบดีจับได้ว่าใส่ยาปลุกกำหนัดลงในถ้วยชาของนางเอกและขังนางเอกไว้กับองครักษ์คนสนิทของพระเอก แต่กลายเป็นว่าคนที่อยู่ด้วยนางเอกคืนนั้นกลับกลายเป็นพระเอกเสียได้
เรื่องนี้ทำให้อัครเสนาบดีโกรธมากจึงสังหารนางทิ้งด้วยการรัดคอ และทำให้คนอื่นเข้าใจว่านางแขวนคอตายเพราะความหึงหวง ชีวิตหลิวลู่หลินนางร้ายเบอร์หนึ่งก็ปิดฉากลงเพียงเท่านี้
‘แต่ว่า… ตอนนี้ฉันคือ หลิวลู่หลิน ให้ตายเหอะ!!’
“คุณหนูเจ้าคะ ดื่มยาเจ้าค่ะ” หงซิ่งยื่นถ้วยยาสีดำที่มีไอสีขาวลอยขึ้นมาเป็นระลอก มาตรงหน้าหลิวลู่หลิน
นางรับถ้วยไว้แล้วเป่าเบาๆอยู่หลายครั้ง ก่อนจะยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ภายใต้สายตาตกตะลึงของหงซิ่ง “คุณหนูช่างเก่งกาจยิ่ง”
“ก็แค่ดื่มยาไม่ใช่หรือ” นางยื่นถ้วยเปล่าคืนให้ แล้วลงจากเตียงเดินไปที่หน้ากระจกทองเหลือง
ใบหน้าเล็กๆ ดวงตากลมโต ปากนิดจมูกหน่อย ดูกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักน่าเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง ช่างขัดกับนิสัยร้ายกาจของเจ้าของร่างเดิมจริงๆ
หลิวลู่หลินถอนหายใจแล้วเริ่มเดินสำรวจไปรอบๆห้อง สิ่งของและเครื่องเรือนต่างๆ เป็นของที่ทำขึ้นอย่างปราณีต แต่ละชิ้นหากนำไปขายคงได้ราคาไม่น้อยเลย ดูอย่างแจกันหยกใบใหญ่ที่สูงเลยศรีษะไปเล็กน้อยนั่น แล้วก็ฉากกั้นที่ปักลายดอกไม้ได้เหมือนของจริงนี่อีก
“คุณหนูกำลังหาอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” หงซิ่งที่คอยเดินตามหลังอยู่ไม่ห่างถามขึ้นอย่างอดไม่ไหว
“หาของที่พอจะเปลี่ยนเป็นเงินได้น่ะ”
หงซิ่งรีบหยิบถุงผ้าใบเล็กออกมาจากในแขนเสื้อแล้วยื่นให้หลิวลู่หลินทันที “เงินของคุณหนูอยู่นี่เจ้าค่ะ”
นางมองถุงเล็กๆใบนั้นแล้วรับไปก่อนจะเปิดออกดู ด้านในมีเศษก้อนเงินเพียงไม่กี่ก้อน กับเหรียญที่มีรูตรงกลางไม่กี่เหรียญ ที่เหลือเป็นกระดาษที่ถูกพับไว้อย่างดีหลายแผ่นซ้อนกัน
“ทั้งหมดนี่เป็นเงินเท่าไหร่หรือ” แม้จะเอากระดาษเหล่านั้นออกมากางดูก็เข้าใจตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น นี่คาดว่าคงจะเป็นตั๋วเงินกระมัง แต่เพราะเป็นอักษรจีนแบบตัวเต็มจึงทำให้อ่านหลายตัวไม่ออก
“สองพันหกร้อยสามสิบสี่ตำลึง กับห้าสิบสองอีแปะเจ้าค่ะ” หงซิ่งตอบอย่างฉะฉาน
“ตอนนี้บะหมี่หนึ่งชามราคาเท่าไหร่”
หงซิ่งมีสีหน้างงงวย “คุณหนูอยากกินบะหมี่หรือเจ้าคะ บ่าวจะรีบไปบอกห้องครัวใหญ่เจ้าค่ะ”
หลิวลู่หลินรีบห้ามหงซิ่งไว้ทันที “ไม่ใช่ ข้าแค่อยากรู้ว่าเงินที่มีอยู่ตอนนี้มากหรือน้อยเท่านั้น เอาอย่างนี้ ค่าแรงของเจ้าในแต่ละเดือนได้รับเท่าไหร่ เจ้าเป็นสาวใช้ประจำตัวข้า เงินเดือนคงไม่น้อยกระมัง”
หงซิ่งพยักหน้าเข้าใจ “บ่าวได้เงิน เดือนละห้าร้อยอีแปะเจ้าค่ะ หากเป็นสาวใช้ประจำตัวคุณหนูท่านอื่นได้เพียงสามร้อยอีแปะเท่านั้น ส่วนสาวใช้ประจำตัวฮูหยินจะได้แปดร้อยอีแปะเจ้าค่ะ แม่นมได้หนึ่งตำลึง แต่สาวใช้ของเหล่าไท่จวินได้หนึ่งตำลึงสามร้อยอีแปะเจ้าค่ะ”
“แล้วเงินเหล่านี้มาจากที่ใด” เงินตั้งสองพันกว่าตำลึงเชียวนะ เด็กเจ็ดแปดขวบจะมีปัญญาหาที่ไหนกัน
“นี่เป็นเงินที่เหล่าไท่จวินให้คุณหนูไปใช้จ่ายตอนออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี่คุณหนูยังบ่นว่าน้อยไปด้วยซ้ำ ซื้อเครื่องประดับได้เพียงชุดเดียวเท่านั้น… หากว่าเมื่อวานไม่เกิดเรื่องขึ้นมาซะก่อน…” เสียงหงซิ่งเริ่มเบาลง เมื่อพูดถึงเรื่องตกน้ำ
“ช่างเถอะ หงซิ่งเจ้าเอาเครื่องประดับที่ข้าซื้อมาทั้งหมดไปขายทิ้งซะ”
หงซิ่งเบิกตาโตด้วยความตกใจ “คุณ…คุณหนูทำเช่นนั้นไม่ดีกระมัง”
“ทำไมหรือ ในเมื่อตอนนั้นข้าอยากซื้อข้าก็ซื้อ ตอนนี้ข้าอยากขาย เหตุใดจึงขายไม่ได้” หลิวลู่หลินแกล้งทำตัวเป็นเด็กน้อยเอาแต่ใจ
“เจ้าค่ะๆ บ่าวจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้” หงซิ่งรับคำอย่างละล่ำละลัก ก่อนจะเดินไปเปิดลิ้นชักที่ตู้ด้านข้างโต๊ะเครื่องแป้ง แสงระยิบระยับจากเครื่องประดับมากมายสะท้อนเข้าตาหลิวลู่หลินทันที
‘เครื่องประดับพวกนี้สวยมากก็จริง แต่ไม่มีชิ้นไหนเหมาะกับเด็กเลยสักนิด รสนิยมของเด็กคนนี้ดูเหมือนจะสูงเกินตัวไปไกลเลยทีเดียว’ หลิวลู่หลินคิดพลางส่ายหน้า ก่อนจะเดินไปนั่งบนตั๋งนุ่มแล้วเปิดหน้าต่างออก
ลมหนาวภายนอกพัดเข้ามาปะทะใบหน้าอย่างจัง ทำให้นางหนาวสั่นไปทั้งตัว หงซิ่งที่กำลังจัดการกับพวกเครื่องประดับอยู่รีบวางของแล้วตรงมาปิดหน้าต่างทันที “คุณหนูยังไม่หายดี ห้ามโดนไอเย็นนะเจ้าคะ”
“ขอโทษด้วย ข้าไม่คิดว่าด้านนอกจะหนาวเย็นถึงเพียงนี้” หลิวลู่หลินห่อตัว แล้วถูมือไปมาก่อนจะเอามาแนบแก้มตนเอง
และเหมือนนางจะนึกอะไรบางอย่างได้ “ตอนนี้พี่ชายใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง”
“คุณชายใหญ่ยังคุกเข่าอยู่ในศาลบรรพชนเจ้าค่ะ”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า ในเมื่อข้าบอกท่านย่าแล้วนี่ว่าเขาไม่ได้ผลักข้าตกน้ำ แล้วยังจะลงโทษเขาอีกทำไม”
หลิวลู่หลินลุกขึ้นจากตั๋งนุ่มแล้วหยิบอาภรณ์ที่ค่อนข้างหนามาสวมทับบนร่างตนเพิ่มอีกหลายชั้น จนตอนนี้ตัวนางราวกับบ๊ะจ่างลูกหนึ่ง และกำลังจะเดินออกจากห้อง แต่กลับถูกหงซิ่งขวางไว้ “คุณหนูจะไปไหนเจ้าคะ”
“ไปศาลบรรพชน ข้าจะไปพาพี่ชายใหญ่ออกมา”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ คุณหนูยังไม่หายดี ท่านหมอบอกว่าท่านยังต้องพักผ่อนและดื่มยาอีกเทียบนะเจ้าคะ”
“เช่นนั้นข้ากลับมาแล้วค่อยดื่มยา พักผ่อนก็ได้แล้ว เจ้าหลีกไปซะ” หลิวลู่หลินทำเสียงแข็งแล้ววิ่งอ้อมหงซิ่งไป
“คุณหนู!” หงซิ่งตกใจกับการกระทำของหลิวลู่หลินอย่างมาก แต่เมื่อได้สติก็รีบวิ่งตามนางออกไปทันที
“คุณหนู! คุณหนูเจ้าคะ! รอบ่าวด้วยเจ้าค่ะ”
เมื่อหงซิ่งวิ่งไปถึงสุดทางเดินก็พบว่าหลิวลู่หลินกำลังยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ “ข้าก็รอเจ้าอยู่นี่อย่างไร เอาล่ะ พาข้าไปศาลบรรพชนเถอะ”
หงซิ่งถึงกับปากอ้าตาค้างกับการกระทำของเจ้านายตนเอง และได้แต่เดินนำไปอย่างยอมจำนนพลางบ่นอุบอิบ “นี่ ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าคุณหนูความจำเสื่อม”
หน้าศาลบรรพชนมีสาวใช้ร่างใหญ่สองคนยืนเฝ้าอยู่ และมีเด็กชายในชุดบ่าวคนหนึ่งกำลังคุกเข่าอ้อนวอนสาวใช้ทั้งสอง “ท่านป้าทั้งสองโปรดเมตตา ให้ข้าเอายาเข้าไปให้คุณชายด้วยเถอะขอรับ”
“ไม่ได้! ฮูหยินใหญ่สั่งไว้ว่าห้ามผู้ใดเข้าไปด้านในเด็ดขาด จนกว่าจะมีคำสั่งของเหล่าไท่จวิน ยังไงก็ให้เจ้าเข้าไปไม่ได้”เสียงเฉียบขาดของสาวใช้ร่างใหญ่ดังมาแต่ไกล
บ่าวชายตัวน้อยก้มลงโขกศรีษะพลางปาดน้ำตาอย่างน่าเวทนายิ่ง “ท่านป้า โปรดเมตตาด้วย”
หลิวลู่หลินรีบเดินเข้าไปตรงหน้าสาวใช้ทั้งสองและพูดอย่างวางอำนาจ “แม้แต่ข้าก็เข้าไปไม่ได้หรือไร!”
“คุณหนูรอง!!” ทั้งสามคนประสานเสียงกันอย่างตกใจ
“หลีกไป! ข้าจะเข้าไปข้างใน หากใครกล้าขวางข้าจะสั่งโบยมันผู้นั้นซะ!!” ท่าทางร้ายกาจของหลิวลู่หลินทำให้สาวใช้ทั้งสองถึงกับสะดุ้งและรีบหลีกทางให้แทบจะในทันที
นางปรายตามองบ่าวชายตัวน้อยที่คุกเข่าก้มหน้าตัวสั่นอยู่แวบหนึ่ง “เจ้าน่ะ! ช่างขัดหูขัดตายิ่งนัก ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!! ตามข้ามา”
บ่าวชายตัวน้อยสะดุ้งสุดตัวแต่กลับไม่ยอมลุกขึ้น หลิวลู่หลินจึงส่งสัญญาณให้หงซิ่งพยุงเขาขึ้นแล้วตามเข้าไปในศาลบรรพชน
ด้านในค่อนข้างหนาวเย็นและเต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้น ตามทางเดินมีตะไคร่ขึ้นประปราย และถ้าสังเกตดีๆจะเห็นรอยหยดเลือดเป็นบางจุดด้วย
เมื่อเดินเข้ามาถึงโถงกราบไหว้ สิ่งแรกที่ปรากฏตรงหน้าคือแท่นบูชาและป้ายวิญญาณมากมาย ดูแล้วชวนขนหัวลุกเป็นอย่างยิ่ง
ตรงหน้าแท่นบูชามีเด็กชายคนหนึ่งนอนขดกายอยู่บนเบาะรองนั่ง หลังของเขาเต็มไปด้วยรอยเลือด เสื้อผ้าที่ใส่ทั้งเก่าทั้งบางและมีรอยขาดจนน่าสงสาร
นี่ใช่สภาพของคนที่ถูกเรียกว่าคุณชายที่ไหนกัน หากบอกว่าเป็นขอทานยังจะน่าเชื่อถือกว่า
“คุณชาย! คุณชายขอรับ…อึก…ฮือ…ฮือ…คุณชาย” บ่าวตัวน้อยร้องไห้วิ่งเข้าไปหาเด็กชายคนนั้นและเขย่าตัวเขาเบาๆ
“หนวกหู” เสียงแหบแห้งแสนเบาหวิวของคุณชายใหญ่ บ่งบอกให้รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
หลิวลู่หลินเดินเข้าไปนั่งลงด้านข้างและเริ่มตรวจดูบาดแผลที่หลังของเขา ผิวหนังของเขามีแต่บาดแผลเต็มไปหมด เนื้อที่แตกเลือดและเศษผ้าเริ่มติดกันแล้ว ‘กับเด็กคนนึงยังทำได้ขนาดนี้ คนลงมือนี่ใจคอโหดเหี้ยมจริงๆ’
จู่ๆมือของนางก็ถูกปัดออก “จะมาขว้างหิน หรือให้คนมาโบยข้าเพิ่มเล่า” สายตาเย็นชาและดำมืดของเด็กชายทำให้หลิวลู่หลินถึงกับขนลุก
‘เด็กคนนึงจะมีสายตาน่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอ ฉันต้องตาฝาดไปแน่ๆ’
“ข้า…ตั้งใจมาพาท่านออกไปจากที่นี่” นางพยายามประคองเสียงไว้ไม่ให้สั่น
คุณชายใหญ่หรี่ตามองอย่างมาดร้าย ก่อนจะผลักนางออกไปให้ห่าง แต่ดูเหมือนแรงเขาจะเยอะมากจึงทำให้หลิวลู่หลินถึงกับหงายหลังล้มลงไปนอนบนพื้น
“คุณหนู!” หงซิ่งรีบเข้ามาช่วยพยุงนางขึ้นอย่างทุลักทุเล
“ออกไป” เสียงเย็นชาของคุณชายใหญ่ ทำให้หลิวลู่หลินเริ่มหงุดหงิด
นางลุกขึ้นยืนได้แล้วก็ดึงสายคาดเอวออกมา จากนั้นจับมือของคุณชายใหญ่ทั้งสองข้างมัดไว้กับขาโต๊ะแท่นบูชา และพลิกตัวเขาให้นอนคว่ำลง ก่อนจะนั่งทับลงไปบนสะโพกอย่างไม่เกรงใจ
หงซิ่งและบ่าวชายต่างมองอย่างตกตะลึง และเริ่มเห็นคุณชายใหญ่ที่แสนเย็นชากำลังดิ้นไปมาอยู่บนพื้น “นี่เจ้า!! จะทำอะไร ปล่อยข้านะ!! อ๊ะ…อื้อ…อื้อ…”
หลิวลู่หลินหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อก่อนจะอุดปากเขาไว้อย่างไม่เกรงใจ
“เป็นคนเจ็บก็ต้องรู้จักสงบเสงี่ยมบ้าง อย่าทำตัวไม่น่ารักเช่นนี้ รู้หรือไม่” นางพูดพลางแย่งขวดยามาจากมือบ่าวชายและสั่งให้เขากับหงซิ่งไปต้มนำ้มา ส่วนตนเองก็ถอดเสื้อเอาตัวที่บางและสะอาดที่สุดออกมาฉีกเป็นเส้นยาว
คุณชายใหญ่สงบลงแล้ว เขาเลิกขัดขืนและนอนนิ่งราวกับคนตาย รอจนหลิวลู่หลินทำแผลด้านหลังเสร็จและปล่อยเขาเป็นอิสระ เขาก็ยังคงไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด
นางไม่สนใจท่าทางดื้อเงียบของเขา กลับเอาเสื้อที่ค่อนข้างหนาของตนคลุมให้เขาอย่างตั้งใจ จากนั้นก็พยุงเขาให้ลุกขึ้น
“เจ้าสองคนมาช่วยข้าหน่อย” นางสั่งบ่าวชายและสาวใช้ของตนที่ตอนนี้ยืนนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูกอยู่ด้านข้าง ทั้งสองรีบเข้ามาช่วยพยุงทันที คราวแรกคุณชายใหญ่ยังคงขัดขืนเล็กน้อย แต่เมื่อรู้ว่าไร้ประโยชน์เขาก็หยุดดิ้น
หลิวลู่หลินปล่อยมือจากเขาและเดินนำทุกคนออกจากศาลบรรพชน ที่ด้านนอกสาวใช้ร่างใหญ่สองคนกำลังยืนรออยู่ เมื่อพวกนางเห็นหลิวลู่หลินเดินออกมา และบ่าวชายกับสาวใช้พยุงตัวคุณชายใหญ่ออกมาด้วย ทั้งสองคนก็ทำท่าจะเข้ามาขัดขวาง
“ข้าต้องการตัวคุณชายใหญ่ พวกเจ้ากล้าขัดใจข้ารึ” สิ้นเสียงหลิวลู่หลิน สาวใช้ร่างใหญ่ทั้งสองก็หลีกทางให้แต่โดยดี คนทั้งสี่เดินออกมาจากศาลบรรพชนอย่างราบรื่น “พาเขาไปห้องข้า”
“ซุนเต๋อพาข้ากลับเรือน” จู่ๆคนที่เงียบมาตลอดก็พูดขึ้นพร้อมกับสะบัดตัวออกจากหงซิ่งไม่ให้นางพยุง
หลิวลู่หลินเข้าไปคว้าแขนเขาไว้ และลากไปทางเรือนของตน “อย่าทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาได้หรือไม่”
คุณชายใหญ่มองนางด้วยสายตารังเกียจอย่างไม่ปิดบัง “เจ้าต่างหากที่มีปัญหา เลิกยุ่งกับข้าเสียที” เขาพยามยามแกะมือของนางออก แต่หลิวลู่หลินกลับกอดแขนเขาไว้แน่น
‘นี่เขาบาดเจ็บอยู่จริงๆใช่มั้ย ทำไมแรงเยอะขนาดนี้’
“หงซิ่งมาช่วยข้าหน่อย” นางพยายามลากคุณชายใหญ่ไปทางเรือนของตน แต่เขากลับไม่ขยับเลยสักนิด
“เจ้าค่ะคุณหนู” หงซิ่งรับคำแล้วเข้ามาช่วยอีกแรง แต่ก็เปล่าประโยชน์
หลิวลู่หลินจึงตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการ “ได้ ในเมื่อท่านอยากกลับเรือนเช่นนั้นก็ไปเลย ข้าไม่อยากรั้งท่านไว้แล้ว หงซิ่ง พวกเราไปเถอะ” นางปล่อยแขนเขาแล้วเดินจากมาพลางทำท่าทางแง่งอนเหมือนเด็กที่ไม่ได้ดั่งใจ
แต่เมื่อลับสายตาของคุณชายใหญ่ นางกลับให้หงซิ่งนำทางไปที่เรือนของเขา หงซิ่งรับคำและนำทางไปทันที
เรือนไม้เก่าหลังหนึ่งตั้งอยู่ในป่า ซึ่งห่างไกลผู้คนเป็นอย่างยิ่ง บรรยากาศรอบด้านทั้งมืดมนและอึมครึม หลิวลู่หลินเดินสำรวจรอบๆ ก่อนจะตัดสินใจถือวิสาสะผลักประตูเข้าไป ด้านในเป็นเพียงห้องโล่งๆ มีโต๊ะกลมเก่าซีดหนึ่งตัว เก้าอี้กลมสองตัว บนโต๊ะมีกาน้ำชาเก่ากับชุดถ้วยชาที่เริ่มมีรอยร้าวอีกชุดหนึ่ง อากาศด้านในห้องหนาวเย็นไม่ต่างจากข้างนอกเลยสักนิด
หลิงลู่หลินเดินเข้าไปด้านในช้าๆ พลางมองสำรวจอย่างละเอียด กระดาษกรุหน้าต่างและประตูเป็นสีเหลืองซีด บางจุดยังมีรอยขาดด้วยซ้ำ
เมื่อเดินต่อเข้าไปในห้องด้านในกลับพบสิ่งที่สะดุดตาที่สุด นั่นคือชั้นหนังสือ แม้จะดูทรุดโทรมไปบ้าง แต่ตำราบนชั้นกลับมีทั้งของเก่าและใหม่ ด้านข้างเป็นโต๊ะหนังสือตัวเล็กที่ขาข้างหนึ่งหักไปแล้ว แต่กลับเอาก้อนหินรองไว้ให้สามารถใช้งานได้ ส่วนเก้าอี้ทำจากไม้ไผ่ ซึ่งดูก็รู้ว่าผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชนแล้ว
“คุ… คุณหนูเจ้าคะ พะ… พวกเราออกไปก่อนดีหรือไม่ ที่นี่น่ากลัวยิ่งนัก” หงซิ่งพูดพลางเดินเข้ามาจับชายเสื้อหลิวลู่หลินไว้อย่างขลาดกลัว
“จะกลัวไปทำไม นี่เป็นเรือนของพี่ชายใหญ่นะ” หลิวลู่หลินยังคงเดินต่อเข้าไปยังห้องนอน
ภายในห้องมีเพียงยกพื้นที่วางไม่กระดานแผ่นหนึ่งไว้เท่านั้น ไม่มีเตียง ชุดเครื่องนอน หรือแม้กระทั่งผ้าห่ม “นี่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”
“อยู่อย่างไรนั่นเป็นเรื่องของข้า พวกเจ้าออกไปซะ” เสียงตวาดของคุณชายใหญ่ดังขึ้นที่หน้าประตู
เขาเดินเข้ามากระชากแขนหลิวลู่หลินด้วยความโมโห และลากออกจากห้อง “เดี๋ยวๆ นี่ข้าเจ็บนะ ช่วยเบามือหน่อยไม่ได้หรือไร”
พูดยังไม่ทันจบนางก็ถูกผลักออกนอกประตูเรือนไปอย่างโหดร้าย หงซิ่งรีบตามมาพยุงนางไว้ได้ทันก่อนจะล้มลง
ปัง! กึก! กึก!
เสียงปิดประตูลั่นดานชัดเจนยิ่ง บ่งบอกถึงการไม่ต้อนรับผู้มาเยือนแต่อย่างใด
“คุณหนูพวกเราจะทำอย่างไรต่อดีเจ้าคะ”
หลิวลู่หลินสูดหายใจลึกก่อนจะหันหลังกลับ “ไปเถอะ เอาเครื่องประดับพวกนั้นไปขายให้หมด แล้วก็ซื้อของบางอย่างกลับมาให้ข้าด้วย”
นางตัดสินใจแล้ว ว่าจะช่วยเหลือพี่ชายใหญ่ผู้นี้ ไม่ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม