EP 4 [4-1]
ภาพข้างหน้าของฉันก็คือวัดที่มีสภาพทรุดโทรมพอสมควรเลยล่ะ ส่วนพื้นที่ด้านหลังของวัดก็ปกคลุมไปด้วยป่าจนไม่เข้าใจว่าจะให้เรามาปลูกป่าแถวนี้อีกทำไม แล้วนี่ขนาดตอนกลางวันบรรยากาศยังน่ากลัวขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดถึงตอนกลางคืนเลย
“ระ เราจะนอนกันที่นี่เหรอ”
เสียงของเพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งถามขึ้น คงจะไม่ใช่แค่ฉันแล้วล่ะที่รู้สึกว่าบรรยากาศมันน่ากลัว
“ไม่ใช่ๆ เดี๋ยวรีบมารวมตัวกันดีกว่านะ”
ประธานชมรมตอบพร้อมกับเดินนำไปรออยู่ที่กำแพงท้ายวัด ก่อนจะประกาศเรียกนักศึกษาทุกคนไปรวมตัวกัน
“สำหรับที่พักของเราจะต้องเดินผ่านวัดนี้เข้าไปเอง เพราะว่ารถบัสไม่สามารถเข้าไปได้น่ะ ข้างหลังวัดจะมีบ้านแล้วก็โรงเรียนอยู่ ซึ่งพวกเราทุกคนจะนอนพักในอาคารเรียนนะ”
“มึงต้องรับผิดชอบเรื่องนี้นะทราย” แกรมหันมาพูดกับฉันด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่มึงพากูมาลำบากนี่ไง”
“ถือว่ามาเปิดประสบการณ์ไง คุณชายอย่างมึงจะไปหาประสบการณ์แบบนี้ได้จากที่ไหนอีก คิดดู”
ฉันพูดจบก็หันกลับไปสนใจประธานชมรมต่อ ตอนนี้เหมือนว่าจะมีชาวบ้านยืนอยู่ด้วยอีกหนึ่งคน
“นี่ท่านผอ.ชาตรีนะ เป็นผอ.ของโรงเรียนที่พวกเรากำลังจะเข้าไปนอนพัก”
หลังจากแนะนำตัวกันเสร็จประธานชมรมก็เดินนำพวกเราเข้าไปทางประตูเล็กที่อยู่ข้างกำแพงวัด ซึ่งบรรยากาศตอนนี้มันเงียบสงบมาก
“กลัวเหรอ” แกรมถามขึ้นเมื่อเห็นว่าฉันเริ่มเดินเข้าไปชิดตัวเขา
“เออดิ บรรยากาศหลอนชิบหาย”
“เราขอกลับบ้านเลยได้ไหม” ข้าวโพดพูดขึ้นมาหลังจากที่เงียบอยู่นาน
“ไหนมึงบอกแค่ปลูกป่าชิวๆ ไง” คราวนี้เป็นโบ้ทที่ทักขึ้นมาบ้าง
“แหม! เดินขาสั่นเลยนะคะป๋าโบ๊ท” พิเพอร์เอ่ยแซวจนฉันหันไป
สังเกตโบ้ทบ้างทำให้พวกเราในกลุ่มหัวเราะกันออกมาเพราะโบ้ทเดินขาสั่นจริงๆ
“ชั้นหนึ่งจะเป็นที่พักของนักศึกษาหญิงนะครับ ส่วนชั้นสองจะเป็นที่พักของนักศึกษาชาย”
ประธานชมรมประกาศขึ้นอีกครั้งเมื่อเราเดินมาถึงอาคารสีชมพูซีดๆ ที่ดูแล้วน่าจะมีห้องเรียนอยู่ประมาณสิบสองห้องแบ่งออกเป็นชั้นล่างหกห้องและชั้นบนอีกหกห้อง ด้านขวามือของอาคารเป็นห้องน้ำหญิงและด้านซ้ายมือของอาคารเป็นห้องน้ำชาย ถัดออกไปเป็นสนามเด็กเล่นเล็กๆ ที่มีแค่ชิงช้า สไลเดอร์เท่านั้น
“ชาวบ้านมาทำความสะอาดเตรียมเอาไว้ให้แล้วนะครับ” ผอ.ชาตรีเป็นคนพูดขึ้นบ้าง
“หลังจากนี้เชิญพักผ่อนตามอัธยาศัยได้เลยนะ ส่วนกลุ่มที่จะแบ่งออกไปช่วยซ่อมบ้านของชาวบ้านเจอกันสามบ่ายที่ตรงนี้นะครับ”
“กระเป๋ามึง” แกรมพูดพร้อมยื่นกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่คืนมาให้ฉัน
หลังจากนั้นนักศึกษาผู้ชายก็ทยอยกันขึ้นไปข้างบนอาคาร ส่วนฉัน พิเพอร์และข้าวโพดก็หันมองหน้ากันก่อนจะเดินเข้าไปในห้องเรียนที่อยู่ตรงหน้า
ภายในห้องเรียนก็เหมือนกับห้องเรียนปกติทั่วๆ ไปมีกระดานดำอยู่หน้าห้อง หน้าต่างไม้ห้าบานที่ปิดลงกลอนไว้แน่นสนิท โต๊ะและเก้าอี้ถูกยกไปกองเอาไว้ที่หลังห้อง พื้นห้องได้รับการถูพื้นทำความสะอาดเรียบร้อยและมีฟูกบางๆ เหมือนกับที่นอนเด็กอนุบาลปูเอาไว้ทั้งสองข้างของห้อง
“ก็ยังดีที่ไม่สกปรก” พิเพอร์พูดพร้อมกับวางกระเป๋าลงเพื่อจองที่นอนของตัวเอง
“แต่เราอยากกลับบ้านแล้ว” ข้าวโพดยังคงยืนยันคำเดิม
“ไม่มีอะไรหรอกมึง กูไปค่ายอาสามาสามปีแล้วนะเว้ย มันก็แค่ลำบากนิดหน่อยเอง”
ฉันพูดปลอบใจข้าวโพดที่กำลังหันมองบรรยากาศรอบๆ ราวกับไม่ไว้ใจ
“ลำบากไม่กลัว กูกลัวผะ...อุ้บ!”
“อย่าพูดนะ!” ข้าวโพดเอื้อมมือไปปิดปากพิเพอร์ทันที
“เออๆ” พิเพอร์แกะมือของข้าวโพดออกก่อนจะตอบกลับออกมา
เมื่อถึงเวลาบ่ายสามนักศึกษากลุ่มที่อาสาจะไปซ่อมบ้านให้ชาวบ้านก็ออกไปยืนรวมตัวกันเพื่อรอให้ชาวบ้านมารับ ส่วนพวกฉันก็ออกมานั่งเล่นกันที่โต๊ะไม้หินอ่อนข้างๆ สนามเด็กเล่น
“ที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เหรอวะ” โบ้ทบ่นพร้อมกับชูโทรศัพท์ขึ้นหมุนไปมาเหมือนต้องการหาสัญญาณ
“จริงด้วย” ฉันก้มลงมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองบ้าง
“เฮ้ออ งั้นไปเดินเล่นกันป่ะ” โบ้ทถอนหายใจก่อนจะหันมาเอ่ยชวนเพื่อนๆ ในกลุ่ม
“ไม่เอาอ่ะ กูจะไปนอน” แกรมพูดพร้อมลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะไป
นี่ที่นอนมาบนรถยังไม่พออีกเหรอ พวกเรานั่งคุยกันอยู่นานจนมีชาวบ้านขับรถสามล้อพวกข้างเข้ามาจอดหน้าอาคารเรียน
“มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”
ฉันเดินเข้าไปถามคุณป้าที่เพิ่งจอดรถเสร็จ คุณป้าเป็นคนขับรถโดยที่มีคุณลุงนั่งอยู่ข้างหลังและน้องผู้หญิงอีกคนนั่งอยู่ฝั่งพ่วงข้าง ซึ่งในรถมีหม้อแกงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้วยอีกสามหม้อ
“กับข้าวสำหรับเย็นนี้นะ หนูจะให้ป้าตั้งไว้ตรงไหนดีจ๊ะ”
“อ่อ งั้นรอแปปนะคะ”
ฉันตอบคุณป้าก่อนจะหันไปเรียกโบ้ทกับรามให้มาช่วยยกโต๊ะออกมาตั้งข้างหน้าอาคาร คุณลุงกับคุณป้าก็ช่วยกันยกหม้อแกงขึ้นไปวางบนโต๊ะ
“ส่วนจานเดี๋ยวพวกหนูไปหยิบที่โรงทานตรงนั้นได้เลยนะ”
ป้าพูดพร้อมกับชี้ไปที่โรงทานซึ่งอยู่ข้างๆ โบสถ์ ฉันกับเพื่อนๆ หันมองหน้ากันประมาณว่า ‘ใครจะไปเอาวะ’
“ส่วนหม้อข้าวหม้อแกงนี้หนูก็ล้างคว่ำเอาไว้ที่โรงทานนั่นแหละ เดี๋ยวป้าคอยมาเก็บตอนเอาอาหารเช้ามาให้”
“ขอบคุณนะคะ”
คุณป้ากับคุณลุงเดินกลับไปที่รถแต่น้องผู้หญิงที่น่าจะเป็นลูกสาวคุณป้ากำลังยืนมองหน้าโบ้ทยิ้มๆ แต่มันดูเป็นยิ้มที่หลอนยังไงก็ไม่รู้
“อิผ่อง กลับบ้าน” ลุงตะโกนเรียกน้องผู้หญิงมาจากบนรถพ่วงข้าง
“พ่อกับแม่ไปก่อนเลยจ๊ะ เดี๋ยวฉันช่วยพี่ๆ เอาไปจานก่อน”
น้องผ่องตอบกลับไปก่อนจะหันกลับมายิ้มให้โบ้ทอีกครั้ง คุณลุงกับคุณป้าดูลังเลนิดหน่อยแต่ก็ยอมขับรถออกไป
“ทำอะไรกันอยู่วะ” แกรมเดินลงจากอาคารเข้ามาถามพวกเรา
“กำลังจะไปเอาจานข้าววะ”
“แล้วน้องนี่ใคร”
“หนูชื่อผ่องจ๊ะพี่สุดหล่อ” คราวนี้น้องผ่องหันมามองหน้าแกรมก่อนจะตอบด้วยท่าทางเขินอาย
“งั้นน้องนำไปเลยครับจะได้ไปยกจานกัน” โบ้ทพูดกับน้องผ่องพร้อมกับส่งยิ้มให้บางๆ
น้องผ่องเดินนำพวกเรามาเอาจานที่โรงทานซึ่งจานและช้อนถูกจัดเรียงเอาไว้อย่างดีในตะกร้าขนาดใหญ่
“คราวนี้ใครจะเอาไปเก็บวะ”
ตอนนี้พวกเราทุกคนทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว นักศึกษาที่ไปซ่อมบ้านของชาวบ้านก็กลับกันมาแล้ว ประธานชมรมก็เลยขอให้คนที่ไปซ่อมบ้านให้ชาวบ้านได้อาบน้ำก่อน
“ก็คงต้องเป็นพวกเรานี่แหละ” รามตอบกลับมา
“พวกนายไปกันสามคนสิ” ข้าวโพดพูดพร้อมมองบรรยากาศรอบๆ ที่เริ่มมืดลงเพราะตอนนี้มันหกโมงเย็นแล้ว
"ไม่ได้! มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันดิวะ” โบ้ทปฏิเสธเสียงแข็งทันที
“เออๆ จะไปก็รีบไปจะได้รีบกลับ” ฉันพูดอย่างตัดรำคาญแล้วถือตะกร้าใส่ช้อนเดินออกไปพร้อมพิเพอร์
ตึก!
“วางเบาๆ ดิไอ้โบ้ท เดี๋ยวจานก็แตกหมดหรอก”
“ใช่จ๊ะ”
“เฮือก!”
เสียงที่ตอบกลับมาให้พวกเราทั้งหกคนกระโดดเกาะกลุ่มติดกำแพงโรงทานทันทีก่อนจะหันหลังกลับมามองทางต้นเสียง
“น้องผ่อง เดินตามมาตอนไหนเนี้ย” ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่อย่างน้อยก็เป็นเสียงคน
“มาเมื่อกี้จ๊ะ” น้องผ่องตอบกลับพร้อมยังส่งยิ้มหวานให้แกรมอยู่
“เอาแล้วๆ เสน่ห์แรงเหลือเกินนะมึงเนี้ย” ฉันหันไปกระซิบกับแกรม
“คนมันเท่อ่าครับน้อนๆ”
“ฮือๆๆ”
ยังไม่ทันที่ฉันจะตอบอะไรแกรมกลับไป พวกเราก็ได้ยินเสียงเหมือนคนร้องไห้เบาๆ อยู่ข้างหลัง ซึ่งเสียงมันดังใกล้เรามากๆ