EP 4 [4-2]
“ฮือๆๆ”
“พะ พวกมึงได้ยินใช่ไหม” เป็นพิเพอร์ที่เอ่ยถามขึ้นพร้อมหันมามองหน้าเพื่อนๆ ในกลุ่ม
“ฮือๆๆ”
“ชะ ชัดเจน เสียงใครวะ” แกรมตอบกลับแล้วหันมามองหน้าฉัน
“สะ เสียงกูเอง”
“ไอ้โบ้ท! แล้วมึงจะร้องครางทำไมเนี้ย”
พวกเราถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันไปมองหน้าโบ้ทอย่างไม่เข้าใจ
“จะไม่ให้กูร้องได้ยังไง ก็ตุ๊กแกเกาะหลังอยู่เนี้ย”
เฮ้ย!/กรี๊ด!
โบ้ทค่อยๆ หันหลังมาทำให้พวกเราเห็นตุ๊กแกตัวใหญ่เท่าฝ่ามือเกาะอยู่ที่หลังของโบ้ทจริงๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเราทั้งห้าคนกระโดดหนีออกมาแทบไม่ทัน คงจะมีแค่น้องผ่องเท่านั้นที่ยืนนิ่งอยู่
“ชะ ช่วย กู ด้วย”
“หล่อก็หล่อ ร้องเสียงตุ๊ดเลยนะมึง” รามบ่นพึมพำเบาๆ ก่อนจะถอดรองเท้าของตัวเองออกหนึ่งข้าง
“มึงยืนนิ่งๆ นะ เดี๋ยวกูช่วยมึงเอง”
รามค่อยๆ เดินเข้าไปข้างหลังของโบ้ทก่อนจะยกมือข้างที่ถือรองเท้าขึ้นสุดแขน
ปั่ก!
กรี๊ด!
ตุ๊กแกหลุดออกจากหลังโบ้ทแล้ววิ่งหนีหายไปทันที ส่วนโบ้ทก็ทรุดลงนั่งพลางเอื้อมมือมาจับหลังของตัวเอง
“ตายๆ”
“ตุ๊กแกยังไม่ตาย”
“หมายถึงกูเนี้ยตาย! ตีเข้ามาได้หลังกูหักหรือเปล่าไม่รู้”
“กูช่วยมึงนะเว้ย”
รามบ่นเบาๆ ก่อนจะเดินกลับมายืนข้างพวกเราเหมือนเดิม โบ้ทค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วหันไปมองหน้าน้องผ่อง
“น้องไม่กลัวตุ๊กแกเลยเหรอ”
“เมื่อก่อนกลัวนะคะ แต่... ตั้งแต่จับมันกินหนูก็ไม่กลัวอีกเลย”
“หา!” พวกเราทั้งหกคนอุทานออกมาพร้อมกันทันที
“หยอกๆ จ๊ะ”
พวกเราพากันกลับมาที่อาคารเรียนเพื่อจะแยกย้ายกันอาบน้ำเข้านอนส่วนน้องผ่องก็ขอตัวกลับบ้านไปแล้ว ถือว่าคืนแรกผ่านไปได้ด้วยดี แม้บรรยากาศมันจะหลอนๆ บ้างเราก็นอนหลับสนิทไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จนเช้าวันที่สอง พวกเราจะต้องเตรียมเดินขึ้นไปปลูกซึ่งทางชาวบ้านบอกว่าอยู่ห่างจากวัดนี้ประมาณห้ากิโล
“เดินกันขาลากแน่ๆ” พิเพอร์บ่นในขณะที่พวกเรากำลังเดินขึ้นเขากันอยู่
“น้ำ”
“ขอบใจนะ” แกรมยื่นขวดน้ำที่เปิดฝาเสร็จแล้วมาตรงหน้าฉัน ซึ่งฉันก็รีบรับมาอย่างรวดเร็วเพราะอากาศตอนนี้มันร้อนมากจริงๆ
ประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมงพวกเราก็เดินมาถึงลานดินกว้างๆ ที่มีตอไม้เก่าหลงเหลืออยู่บ้างนิดหน่อย
“มารับพรรณไม้ตรงนี้ได้เลยนะครับ”
ประธานชมรมประกาศบอกทำให้นักศึกษาแต่ละคนทยอยกันเดินไปหยิบพรรณไม้ของตัวเอง ซึ่งเราไม่ได้ปลูกกันคนละต้นนะ เพราะดูจากพื้นที่แล้วน่าจะคนละหลายสิบต้นเลยล่ะ
“มาเดี๋ยวกูขุดให้เอง”
แกรมหยิบจอบจากมือฉันไปขุดดิน ส่วนฉันก็นั่งลงข้างๆ เพื่อจะแกะถุงพรรณไม้ออก
“ไหวไหมเนี้ย” แกรมหันมาถามเมื่อเห็นว่าฉันน่าจะแกะถุงพรรณไม้ไม่ออก
“ไหวดิ”
ฉันค่อยๆ แกะถุงจนออกแล้วจับเจ้าต้นไม้น้อยๆ ใส่ลงไปในหลุ่มที่แกรมขุดเตรียมไว้ให้
“ปักชื่อมันดีไหม” แกรมถามพร้อมกับนั่งลงตรงหน้าฉัน
“ทำไมวะ”
“ก็เผื่อเรามีโอกาสได้กลับมาที่นี่อีกกูจะได้รู้ไงว่าต้นไหนที่กูปลูกกับมึง”
“อะ…โอ้ย!”
ฉันเงยหน้าขึ้นไปสบตากับแกรมที่กำลังนั่งมองหน้าฉันอยู่ก่อนแล้ว แต่เพราะระยะที่มันใกล้เกินไปทำให้ฉันรีบผละตัวออกจนหงายหลังล้มลงแทน
“ไอ้แกรม กูเลอะหมดแล้วเนี้ย”
ฉันโวยวายพลางมองที่กางเกงและมือทั้งสองข้างของตัวเอง
“แค่นี้เอง เดี๋ยวกูล้มเป็นเพื่อนก็ได้”
แกรมลุกขึ้นยืนก่อนจะแกล้งเดินเซซ้ายขวานิดหน่อยแล้วล้มลงนั่งในท่าเดียวกับฉัน เราสองคนหันมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆ”
“เล่นอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้พวกมึงเนี้ย” รามหันมาบ่นก่อนจะหันไปปลูกต้นไม้กับข้าวโพดต่อ
กว่าจะปลูกต้นไม้กันเสร็จก็เล่นเอาบ่ายกว่าๆ เลยล่ะ แถมยังต้องเดินลงเขากลับไปอีกตั้งห้ากิโล คราวหน้าฉันจะขอไปค่ายอาสาที่ทาสีโรงเรียนเหมือนเดิมดีกว่า
“โอ๊ย! เจ็บหลังวะ” แกรมบ่นขึ้นในขณะที่พวกเรากำลังเดินกลับไปที่โรงเรียน
“ไปทำอะไรมาวะ”
ฉันถามขึ้นโดยที่ไม่ได้หันหลังกลับไปมอง ตายังคงจดจ่ออยู่กับเส้นทางที่ใช้เดินลงเขา
“ไม่รู้เหมือนกัน สงสัยนอนผิดท่าแล้วเส้นพลิก”
“พริกขี้หนูเหรอ”
“พริกกะเหรี่ยงมั่ง! พอใจไหมไอสัส!”
ฮ่าๆๆ
โบ้ทหัวเราะออกมาทันทีเมื่อรู้ว่าเขาสามารถกวนประสาทแกรมได้
“กูมียาแนะนำเอาไหม” โบ้ทหันไปถามแกรมด้วยใบหน้าจริงจัง
“ยาอะไรวะ”
“ยาดอง!”
“ยาดองเนี้ยนะกินแล้วหายปวดหลัง” คราวนี้พิเพอร์เป็นคนถามขึ้นบ้าง
“พวกมึงไม่รู้ซะแล้ว ยาดองมีสรรพคุณคลายเส้นนะเว้ย”
“ขอสาระ” รามที่เงียบอยู่นานพูดขึ้นบ้าง
“ดีจริงๆ เว้ย กินแค่สามเป๊ก”
“หาย!”
“เมา!”
“ไอสัส!”
“แต่ว่าตื่นขึ้นมาหายเป็นปลิดทิ้งเลยนะเว้ย”
แกรมส่ายหัวอย่างเอือมระอากับประโยคของโบ้ท ก่อนจะเร่งฝีเท้าจนมาเดินอยู่ข้างๆ ฉัน ส่วนเพื่อนๆ คนอื่นก็เดินหนีโบ้ทกันมาหมด
“พี่แกรมมม”
ทันทีที่พวกเราเดินกลับมาถึงโรงเรียน น้องผ่องที่ดูเหมือนจะมายืนรออยู่รีบเดินเข้ามาเรียกแกรมด้วยเสียงยานๆ ทันที
“น้องเขายังไม่สิบแปดนะเว้ย ระวังด้วย”
“กูไม่ได้ชอบเด็กไหมล่ะ” แกรมหันไปกระซิบตอบโบ้ทก่อนจะหันกลับมาคุยกับน้องผ่อง
“สวัสดีครับ น้องมีอะไรหรือเปล่า”
“วันนี้หนูทำกับข้าวมาให้พี่ด้วยจ๊ะ”
“อ่อ ขอบใจนะ”
“พี่รีบไปอาบน้ำอาบท่าเถอะจ๊ะ จะได้มากินข้าว”
“มึงว่าประโยคมันเหมือนผัวเมียคุยกันป่ะ”
โบ้ทพูดขึ้นเบาๆ ในกลุ่มเพื่อนแต่ดูเหมือนว่าน้องผ่องจะได้ยินด้วยนะ จ้องโบ้ทตาเขม่นเชียว
“งั้นพวกพี่ขอตัวก่อนนะ”
พวกเรารีบแยกย้ายไปเข้าห้องของตัวเองกันทันที เมื่อกี้ตอนน้องผ่องจ้องหน้าโบ้ท ไม่ใช่แค่หน้าน้องนะที่น่ากลัว อยู่ๆ บรรยากาศตรงนั้นก็ดูน่ากลัวขึ้นมาด้วย
“มึงว่าเมื่อกี้ตอนน้องผ่องอะไรนั่นจ้องหน้าไอ้โบ้ท บรรยากาศมันน่ากลัวแปลกๆ ไหมวะ”
พิเพอร์เป็นคนพูดขึ้นในขณะที่เรากำลังนั่งทาครีมบำรุงหน้ากันอยู่
“คิดว่าเราคิดไปเองคนเดียวเสียอีก น้องเขาดูหลอนๆ ยังไงไม่รู้”
คราวนี้ข้าวโพดพูดขึ้นพร้อมกับทำหน้าสยอง
“เออ บรรยากาศค่ำวันนี้มันแปลกๆ วะ กูว่ากูได้กลิ่นตุๆ เหมือน..”
“ใครตดเหรอ”
“ไอเพอร์!”
ประโยคของฉันถูกขัดขึ้นโดยพิเพอร์ นั่นทำให้ฉันกับข้าวโพดจ้องหน้ามันก่อนจะเดินหนีออกมาเพื่อต่อแถวตักอาหาร