ตอนที่ 4 ได้เพียงแค่รอคอย
แคว้นหนาน
ในท้องพระโรงของพระวังแคว้นหนาน ยามนี้นั้นล่วงเลยมานานหลายปี ท่านมหาเสนาบดีกรมกลาโหมอ้าย สีหน้าไม่สู้ดีนัก เมื่อลูกชายมีตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพหลวง ปกป้องพระราชบัลลังก์แห่งนี้มาช้านาน ปีนี้อายุเขาย่างจะสามสิบปี แต่ก็ยังไร้วี่แววว่าที่คู่หมายของเขาจะกลับมา
เขาจะปล่อยให้รออีกต่อไปไม่ได้!
บัดนี้มหาเสนาบดีอ้ายจึงคิดว่า จะขอทวงความเป็นธรรมให้กับบุตรชายของตนเองให้ได้ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่ากงจู่กุ้ยอิง เดินทางท่องเที่ยวต่างดินแดน สมควรแก่การหวนคือวังหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นั่นเพราะเจตนาของเขาคือ ต้องหารให้กงจู่ขั้นหนึ่ง หนานกุ้ยอิงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับบุตรชายของเขา
หนานกุ้ยอิง หรืออีกชื่อหนึ่งของนางกงจู่ผู้นี้ก็คือ เย่วฟางหรู ตามชื่อที่พระมารดาของนางตั้งเอาไว้ ทว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันหรือก็คือพี่ชายต่างพระมารดาของหนานฟางหลัน มารดาของฟางหรู ฮ่องเต้ทรงมีราชโองการแต่งตั้งกงจู่ขั้นหนึ่ง
มอบชื่อพระราชทานให้ใหม่คือ หนานกุ้ยอิง ซึ่งแปลว่า องค์หญิงผู้มีความสูงส่งล้ำค่าและมีความสำคัญยิ่ง ยังพระราชทานตำแหน่งองค์หญิงขั้นหนึ่ง เป็นรองเพียงแค่ไท่จื่อ เทียบเท่ากับชินอ๋อง ลำดับความสำคัญนี้ ทำให้ชินอ๋องแดนเหนือไม่พอพระทัยนัก
หนานฟางหลันหลบหนีออกจากวังหลวง เพราะถูกบังคับให้อภิเษกกับ ชนเผ่าแดนทุ่งหญ้าของแคว้นหนาน ชนเผ่าทุ่งหญ้า ไร้อารยธรรม หากนางแต่งเป็นภรรยาหัวหน้าเผ่า แต่ถ้าสามีของนางสิ้นใจไป นางจะต้องตกเป็นภรรยาของหัวเผ่าคนใหม่ทันที เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงจะไม่ต่างจากสตรีนางโลม ดังนั้นเอง ฟางหลันจึงได้ไม่เคยบอกฐานะแท้จริงกับใคร จนกระทั่งนางกลับมายังแคว้นหนานอีกครั้ง พร้อมกับบุตรีของนาง
เมื่อนั้นเองตำแหน่งฮองเฮา พระมารดาแผ่นดิน กลายเป็นไทเฮา พระนางทรงหายกริ้วที่พระธิดาของสนมเอกเมินเฉยต่อคำสั่ง แต่ทว่าเพียงแค่เห็นดรุณีน้อย ติดตามพระมารดากลับวังหลวง ทำให้ไทเฮา เบิกบานพระทัยไม่น้อย กับความน่ารักสดใส และเป็นเด็กช่างพูดจา ออดอ้อน
เพียงเท่านี้ไทเฮาก็มีเสียงสรวลในทุก ๆ วัน แม้ว่าจะมีเรื่องราววุ่นวายในวังหลวงมากมายก็ตามที แต่ทว่าหลานสาวตัวน้อยนั้น ได้มอบความสุขให้พระนางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมแม่ทัพหลวงอ้ายซือฟง ขอกราบทูลว่า ยามนี้องค์หญิงกุ้ยอิงอายุยังน้อย หากองค์หญิงยังประสงค์อยู่ต่างแคว้น หรือปฏิเสธการหมั้นหมาย กระหม่อมไม่ขอบีบบังคับพ่ะย่ะค่ะ”
ด้วยความซื่อสัตย์และจริงใจ เขาไม่เคยบีบบังคับใจ กับนางเองก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าจะเฝ้าปรารถนาได้พบนางอีกครั้ง แม้จะเฝ้าปรารถนาให้นางอยู่เคียงกายจนแก่เฒ่า ผูกผมไปด้วยกันจนสีผมจากดำเป็นขาว แม้ว่าจะรักนางมากเพียงใด แต่ก็ไม่อยากจะฝืนใจของนางให้เจ็บปวดและชอกช้ำใจ
“เจ้าพูดจริง ๆ รึ” สุรเสียงมั่นคงและพระพักตร์บึ้งตึงเอ่ยถามขึ้น
“กระหม่อมพูดจากใจจริงพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” อ้ายซือฟงเอ่ยขึ้น สีหน้าของเขายังคงสุขุมรอบคอบ แผ่กลิ่นอายผู้นำออกมาชัดเจน แม้สีหน้าของเขาคล้ายคนเย็นชา และไร้ความรู้สึก แต่ทว่าภายในใจของเขามีเพียงแค่นางผู้เดียวที่ครอบครองหัวใจที่เหน็บหนาวและด้านชา
มหาเสนาบดีกลาโหม หรือบิดาของแม่ทัพอ้าย สีหน้าประเดี๋ยวดำประเดี๋ยวแดง เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวนัก ลูกชายของเขามีความคิดอ่านไม่รอบคอบ หากเกี่ยวดองกับราชวงศ์แล้ว อำนาจและเงินทอง รวมถือบรรดาศักดิ์จะตามมา
“ทูลฝ่าบาท” มหาเสนาบดีอ้ายกำลังจะกล่าวขึ้นมา ทว่ามีน้ำเสียงเนิบนาบรื่นหูหลังม่านกล่าวขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
“เอาล่ะ พวกเจ้าไม่ต้องโต้เถียงกัน ยามนี้อ้ายเจียได้ส่งไท่จื่อ ออกติดตามกุ้ยอิงกลับวังหลวงแล้ว อีกไม่นานคงจะได้ข่าว รอข่าวดีจากอ้ายเจียอีกหน่อย รับรองว่าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง” ไทเฮา หรือ พระมารดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันกล่าวขึ้น
น้ำเสียงเนิบนาบ นั่งอยู่หลังบัลลังก์มังกร มีม่านโปร่งสีทองเหลืองอร่ามขวางกั้นเอาไว้ รับปากอีกฝ่ายเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าอย่างไรเสีย พระนางจะต้องตามตัวหลานสาวผู้ไม่รักดีกลับมาให้ได้ แม้จะยากเย็นเพียงใด
ใครเล่าจะรู้ว่ามือของพระนางแปดเปื้อนเลือดมาเท่าไหร่ ทุกคนต่างเข้าใจว่าพระนางมีจิตใจที่โหดร้าย หากพระนางไม่ร้ายกาจ มีหรือจะดูแลวังหลังอันแสนวุ่นวาย และสกปรกนี้ได้ พระราชกิจของฮ่องเต้มีมากมาย ขุนนางน้อยใหญ่ฝักใฝ่อำนาจ ราษฎรอดยากนั่นเพราะมีขุนนางชั่วช้า
ฐานอำนาจของพระนางในมือยามนี้กำลังลดลง ทำให้ขุนนางน้อยใหญ่กระด้างกระเดื่อง คิดเปลี่ยนขั้วอำนาจ ส่งเสริมให้ชินอ๋องแดนเหนือก่อกบฏ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว จะต้องเสียไพร่พลกี่หมื่นคนกัน แผ่นดินจะต้องนองเลือด ผู้คนล้มตายเป็นเบือ
พระนางทำทุกอย่างก็เพื่อแคว้นหนาน แต่ทว่าบรรดาพระโอรส และองค์หญิงต่างมิเข้าใจเจตนาที่ดีของพระนาง เรื่องราวทุกอย่างจึงได้กลับกลายเป็นเช่นนี้ เพียงแค่คำยุแยงของใครบางคนที่กำลังปั่นหัวให้เข้าใจผิด
“หลังประชุมขุนนางเสร็จแล้ว อ้ายเจียขอเชิญแม่ทัพอ้ายดื่มน้ำชาที่ตำหนักริมน้ำเสียหน่อยนะ” ไทเฮากล่าวขึ้นมาอีกครั้ง พระนางลุกขึ้นยืน และกำลังจะเดินออกไปจากการประชุมในท้องพระโรงอันเคร่งเครียดและน่าเบื่อหน่าย กับพวกขุนนางเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
ฮ่องเต้แม้จะมีพระพักตร์ราบเรียบ แต่ทว่ากลัดกลุ้มพระทัยนัก นั่นเพราะยามนี้ศึกในศึกนอกไม่อาจจะดูเบาได้ มีเพียงแค่ขุนนางไม่กี่คนที่จงรักภักดีอย่างแท้จริง ฉะนั้นเมื่อพระมารดาเดินออกไปแล้ว พระองค์จึงทำได้เพียงแค่กล่าวขึ้นมาว่า “น้อมส่งเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”
“น้อมส่งเสด็จไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างพากันยกมือขึ้นประสาน จากนั้นจึงได้กล่าวขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่ละคนสีหน้าแตกต่างกันออกไป บางคนก็ชอบใจในฝ่ายของตนเองสนับสนุนอยู่ บางคนก็สีหน้าไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ นั่นกำลังหวาดกลัวว่าแผนของตนที่วางเอาไว้จะไม้สำเร็จลุล่วงเป็นไปได้ด้วยดี
ขุนนางผู้หนึ่งในบรรดาที่ยืนเรียงรายกันหลายสิบคน สีหน้าแย้มยิ้ม นั่นเพราะเมื่อครู่ไทเฮาหลุดปากออกมาว่า ไท่จื่อไม่ได้พำนักอยู่ในวังหลวง แต่กำลังออกตามหาใครบางคน คราวนี้เห็นทีว่า ตัวเขาจะต้องจัดการกับไท่จื่อเสียก่อน เพื่อตัดอำนาจ
เมื่อการประชุมจบลง แม่ทัพอ้ายเดินไปยังด้านหลังของวังหลวง พระตำหนักของไทเฮา เดินลัดเลาะไปตามทางเดินครู่ใหญ่ก็จะพบกับพระตำหนักริมน้ำ ไทเฮาสีพระพักตร์แย้มยิ้มเมื่อเห็นที่พึ่งพิงที่สุดท้ายของพระนางในยามนี้
“เชิญนั่งก่อนแม่ทัพอ้าย” น้ำเสียงของหญิงชรากล่าวขึ้นมา อีกทั้งพระพักตร์แย้มยิ้มราวกับกำลังมีความสุขยิ่งนัก “นานแล้วที่เจ้าไม่มาพบยายแก่เช่นข้า ช่วงนี้งานยุ่งมากนักหรือไร” น้ำเสียงยังคงเนิบนาบ ติดแต่จะแหบแห้งเล็กน้อย ใบหน้าแม้จะแต่งแต้มให้ดูงดงาม แต่ภายใต้ความงดงามนั้นมีร่องรอยของการเจ็บป่วย อำพรางเอาไว้อย่างแนบเนียน
“ขอรับ ช่วงนี้ดูวุ่นวายไม่น้อย ตามแนวชายแดนก็ยังไม่สงบสุข อีกทั้งคลื่นลมในวังหลวงก็ดูไม่สงบ หากแผนการของชินอ๋องสำเร็จเกรงว่าไทเฮาและฝ่าบาท” แม่ทัพอ้ายกล่าวขึ้น หากมีเวลาเขามักจะมาเข้าเฝ้าไทเฮาเสมอ นั่นเพราะว่าตัวเขาเองมีความคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก เรียกได้ว่าเติบโตขึ้นมาคู่กับองค์รัชทายาทแห่งแคว้นหนาน นั่นก็คือไท่จื่อเฟิ่งหวง
พวกเขาทั้งสองได้รับการอบรมสั่งสอน เรื่องต่าง ๆ มากมายจากไทเฮา อีกทั้งยังได้รับพระเมตตาจากไทเฮามากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นแล้วตัวเขาเองก็คล้าย ๆ กับหลานชายอีกคน และเป็นคนสำคัญเป็นกองหนุนให้กับไท่จื่อ
“ชีวิตของข้าปรารถนาเพียงแค่ผืนแผ่นดินมีความสงบสุข ร่มเย็น ไร้สงครามเลือด ข้าไม่ต้องการให้อาหลานช่วงชิงบัลลังก์” พระพักตร์ของพระนางเศร้าหมองลงมาทันที แม้ว่าจะล่วงรู้แผนการของอีกฝ่ายมานานหลายปี หากหลักฐานไม่แน่นหนา แน่นอนว่าจะกระทำการอันใดไม่ได้ เช่นนั้นแล้วจะแหวกหญ้าให้งูตื่น
ทว่าชินอ๋องผู้นี้อยู่ที่แดนเหนือมานานหลายสิบปี งานเลี้ยงใด ๆ ของวังหลวงก็ไม่เคยจะมาสักครั้ง ทว่าเขากำลังวางแผนการรวบรวมอำนาจและกองกำลังเอาไว้ แต่นั่นก็ยังคงเป็นเพียงแค่ข่าวลือที่ได้ยินมา พระนางเองไม่ใช่จะปักใจเชื่อทั้งหมด แต่ก็ส่งคนไปสืบให้กระจ่าง แต่ก็ต้องคว้าน้ำเหลวทุกครั้งไป
เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ทำให้พระนางไม่สบายพระทัยเป็นอย่างมาก อีกทั้งยามนี้ร่างกายก็อ่อนแอ เริ่มไร้กำลังวังชาแล้ว ไม่ว่าจะเดิน ลุก นั่ง ก็เจ็บปวดทั้งสิ้น เพียงแค่ทนฝืนอาการเจ็บป่วยเช่นนี้เอาไว้ เกรงว่าจะทำให้ ฮ่องเต้กลัดกลุ้มพระทัยไปอีกคน
“บัดนี้ชินอ๋อง วางแผนมานานนับหลายปี อีกทั้งยามนี้ไท่จื่อมิได้พำนักในวังหลวง เกรงว่าพระองค์จะถูกปองร้ายเอาได้ขอรับ” อ้ายซือฟงกล่าวขึ้น เขาหวั่นวิตกนักเรื่องความปลอดภัยของไท่จื่อ กลัวจะมีคนคิดไม่ซื่อ ปองร้ายขึ้นมา บ้านเมืองจะไม่สงบสุข
“อย่าห่วงเลยเฟิ่งหวงเพียงแค่ไปตามน้องสาว มีผู้ติดตามและองรักษ์เงาก็หลายสิบคน อีกอย่างเฟิ่งหวงก็เก่งกาจไม่น้อย คงจะดูแลตัวเองได้ ข้าเพียงแค่กลัดกลุ้มใจเรื่องของพวกเจ้าทั้งสอง ที่ยังไม่ได้หมั้นหมายให้เป็นทางการเสียที” พระนางกล่าวขึ้นมา ยามนี้ดูเหมือนจะเหนื่อยหนักขึ้น น้ำเสียงจึงดูขาดช่วงไปบ้าง แต่ก็ยังฝืนทนเอ่ยกล่าวกับแม่ทัพอ้าย และยังคงเป็นห่วงหลานสาวเพียงคนเดียวไม่รู้ว่ายามนี้ตกระกำลำบากเพียงใด
จดหมายที่ส่งมา มีแค่ถ้อยคำบอกกล่าวเรื่องรวม ๆ มาเท่านั้น พระนางเองอยากจะเดินทางไปยังแคว้นจิ่วโจว อีกสักครั้ง เพื่อพบหน้าหลานสาว ที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพระนาง เพราะรู้สึกผิดนักปล่อยให้ลูกสาวและหลานสาวเผชิญชีวิตยากไร้อยู่นอกวังหลวง
“อย่างทรงเป็นห่วงเลยขอรับ” อ้ายซือฟง แม้จะรักนางแต่ก็ไม่อาจจะครอบครอง ความเจ็บปวดนี้เขายินดีรับเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว หากนางมีความสุขกับการจากไปเขายินดีเป็นอย่างยิ่ง
“จะไม่ให้เป็นห่วงได้อย่างไรกัน เจ้ารอกุ้ยอิงมานานถึงเพียงนี้” ไทเฮาดุชายหนุ่มเข้าให้เล็กน้อย
“ไม่ว่าจะนานเพียงใด กระหม่อมขอเพียงแค่ได้เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ แม้มิใช่คนในสายตาของกงจู่ กระหม่อมก็ยังยินดี” อ้ายซือฟงยิ้มเจื่อน แม้ว่าแววตาของเขาจะดูปวดร้าว แต่ก็เข้าใจอีกฝ่ายเป็นอย่างดี เฉพาะสตรีที่เขารักและชอบนางมาเนิ่นนาน
“เจ้าปรารถนาสิ่งอื่นใดอีกหรือไม่ หากยายแก่เช่นไม้ใกล้ฝั่งผู้นี้ช่วยเจ้าได้ก็ยินดี” ไทเฮากล่าวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ยอมรับและนับถือน้ำใจของอีกฝ่ายไม่น้อย ผิดจากมหาเสนาบดีที่มักจะเร่งการหมั้นหมายให้เกิดขึ้นโดยเร็ว
“แม้ว่ากระหม่อมจะปรารถนา เพียงแค่เคียงคู่กับนาง จนเส้นผมสีขาวไปด้วยกัน หากแต่ทว่าความปรารถนาของกงจู่มิอยากจะอยู่ในวังวนแห่งความแก่งแย่งชิงดี หรือมีใจให้ชายอื่น กระหม่อมก็ปรารถนาเพียงแค่กงจู่มีความสุข เพียงเท่านั้นกระหม่อมก็สุขใจ” ความจริงข้อนี้ของเขา มิอาจจะทำให้กงจู่รับรู้ได้
“แม้ว่าเจ้าจะเจ็บปวด” ไทเฮากล่าวขึ้นมา และส่งยิ้มอย่างอบอุ่นมาให้ชายหนุ่มเบื้องหน้า เขาช่างเป็นคนดีมากจริง ๆ เสียดายก็แต่หลานสาวที่มองไม่เห็นค่า
“กระหม่อมยินดีน้อมรับเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว” ท่าทางของเขาดูขึงขังนัก น้ำเสียงยังคงหนักแน่นอยู่เหมือนเช่นเคย
“ยายแก่คนนี้ อยากจะให้กุ้ยอิงมาได้ยินสิ่งที่เจ้าพูดเหลือเกิน แต่นางช่างเอาแต่ใจนัก เหมือนแม่ของนางไม่ผิด ดื้อรั้น” เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาก็ทำให้เจ็บแปลบในทรวงอุราเกินจะทนไหว ฝ่ามือของพระนางจึงยกขึ้นมาทาบทับที่หน้าอกเล็กน้อย เพื่อมิให้อีกฝ่ายจับอาการป่วยของพระนางได้
“กงจู่แต่ไหนแต่ไรก็เติบโตนอกวังหลวง ความคิดอ่านก็แตกต่างจากในวัง อีกทั้งกงจู่ยังสดใสร่าเริง หากจะว่ากงจู่ดื้อรั้น ก็คงจะเป็นเหมือนกับไทเฮา ที่ยังคงประสงค์ให้กงจู่กับกระหม่อมแต่งงานกัน” เขากล่าวขึ้นพลางขบขัน ยายหลานนิสัยไม่ต่างกัน แต่กับคล้ายคลึงกันนัก
“เจ้ามันช่างร้ายกาจนัก เหน็บข้าเข้าให้จนได้” หญิงชรากล่าวขึ้น สีหน้าดูเบิกบาน แต่ทว่าซ่อนความปวดร้าวเอาไว้
“กระหม่อมมิกล้า เพียงแค่กราบทูลตามความเป็นจริง ท่านยายอย่างไร มีหรือหลานสาวแตกเหล่าผ่ากอ ออกไปได้อย่างไรกัน หากกงจู่ได้รับรู้ความจริงใจของไทเฮา สักวันจะต้องเข้าใจถึงความหวังดี” เขากล่าวขึ้นมา เมื่อนึกถึงใบหน้าของนางในดวงใจก็รู้สึกเหมือนมีกำลังใจขึ้นมา ยามนางแย้มยิ้มดูสดใสไร้พิษภัย แต่ทว่าอย่าให้นางได้จับดาบเชียว คล้ายกับนางปีศาจน้อยก็ว่าได้
“เกรงว่าวันนั้นคงจะมาไม่ถึง ไม่รู้ว่าจะได้พบหน้าของกุ้ยอิง อีกครั้งหรือไม่” น้ำเสียงของไทเฮาดูเจือจางเต็มไปด้วยความปวดร้าว และทรมานใจ ใบหน้าของผู้สูงวัยดูจะหมองหม่นนัก ดวงตาคู่งามก็คล้ายกับกำลังมีความฝ้าฟาง นับวันสุขภาพของนางกำลังแย่ลงไปทุกที
สิ่งเดียวที่ไทเฮานึกถึงตลอดเวลา และเป็นห่วงยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ก็คือหลานสาวที่แสนจะดื้อรั้นเอาแต่ใจ ไม่สนใจว่ายายแก่เช่นพระนางนั้นหวังดีกับหลานสาวผู้นี้ยิ่งกว่าชีวิตของนางเองเสียด้วยซ้ำไป แต่ทว่าความปรารถนาดีกลับถูกเมิน และยังถูกเด็กสาวทอดทิ้งไปอย่างไม่ไยดีอีกด้วย
“หากคลื่นลมในวังหลวงสงบสุข ไร้คนคิดไม่ซื่อก่อกบฏ กระหม่อมก็คงจะขอติดตามไท่จื่อเดินทางไปพบหน้ากงจู่เช่นเดียวกัน หากวันนั้นมาถึง กระหม่อมจะกราบทูลให้กงจู่ได้ฟัง ว่าไทเฮาทรงเป็นห่วงกงจู่ยิ่งนัก”
“ข้าจะรอวันนั้น วันที่นางเดินทางกลับมา และให้อภัยยายแก่ผู้นี้”