ตอนที่ 5 แกล้งคนเล่น
ห้องโถงใหญ่ มีแขกที่ฟางหรูไม่ได้เต็มใจยินดีต้อนรับให้เข้ามาในจวนนี้แต่อย่างใด ทว่าชายคนนี้กลับใช้เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว อ้างฐานะคู่หมั้นมาเยี่ยมเยือน ก่อนจะกลับไปเมืองหลวงอีกครั้ง ดังนั้นแล้วเย่วฟางหรูจึงทำได้เพียงแค่กล้ำกลืนฝืนทนกับความหน้ามึนของอีกฝ่าย
มิหนำซ้ำส่งแววตาหวานฉ่ำ ฉีกยิ้มหวานยั่วยุนางให้อีก มีหรือคนอย่างฟางหรูจะดีอกดีใจได้พบเจอบุรุษเช่นเขาคนนี้ นางจึงประชดเขาเข้าให้ ด้วยการกลอกกลิ้งตาไปมา เหลือบตามองบนเบะปากใส่อย่างหมั่นไส้ นึกแล้วยังแค้นใจไม่หาย ฟางหรูไม่รู้จะสรรหาคำพูดอันใดมาตอกหน้าอีกฝ่ายให้หงายท้อง
ช่างอับจนหนทางเสียเหลือเกิน!
“หลานชายวันนี้อยู่รับอาหารมื้อกลางวันด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับนะ” เถาจื่อเทากล่าวขึ้นมาแย้มยิ้มให้ว่าที่ลูกเขยอย่างเป็นมิตร เห็นชายหนุ่มขยันแวะเวียนมาพบหน้าลูกสาวของตนเองเช่นนี้ ก็ดูท่าว่าชายหนุ่มจะมีใจให้ฟางหรูไม่น้อย ผิดกับนางที่มักทำตัวเย็นชาหรือไม่ก็แยกเขี้ยวยิงฟันใส่ชายหนุ่ม
คนเจ้าเล่ห์ยิ้มพราวระยับ เมื่อเห็นว่าท่านอาเอ่ยขึ้นอย่างเชื้อเชิญ เขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง อดยิ้มแป้นอย่างชอบใจไม่ได้ แม้ว่าภายนอกของเขาจะดูคล้ายกับคนโหดเหี้ยม เย็นชาไร้ความรู้สึก นั่นคือในตำแหน่งหน้าที่ของเขาที่จะต้องดูแลและสั่งการเหล่าทหารภายในหน่วยที่มีมากมาย
แต่ทว่ายามเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าสาวงามที่พึงใจแล้วละก็เขาจะเป็นคล้ายดั่งคนเจ้าเล่ห์ หลอกล่อนางให้จนมุม แย้มยิ้มคอยยุแหย่หยอกเย้าให้โกรธ หรือกระทั่งหัวเราะขบขัน สิ่งนี้คือสิ่งที่เขาปรารถนาในตัวของฟางหรู เมื่อได้เพียงแค่พบหน้าอีกครั้ง ก็ทำให้เขาตกหลุมรักนางโดยไม่รู้ตัว
หนึ่งปีเต็มที่เขาเฝ้าคิดถึงสาวงามคนนั้น และก็คือนางในวันนี้ เถาฟางหรู คือสตรีที่เขาพึงใจ และนางจะเป็นเพียงภรรยาคนเดียวของเขาเท่านั้น ชายหนุ่มแย้มยิ้มและจึงได้กล่าวขึ้นมา “วันนี้ข้าก็ตั้งใจมาฝากท้องที่นี่ล่ะขอรับ ได้ยินมาว่าหรูเอ๋อร์ทำอาหารฝีมือยอดเยี่ยมนัก จึงอยากจะลองชิมสักครั้งก่อนกลับเมืองหลวง”
หลิวมู่ฉวนกล่าวขึ้น แต่ทว่าเห็นสาวงามทำหน้าบูดบึ้งก็อดที่จะชอบใจไม่ได้ “วันนี้หรูเอ๋อร์ของพี่จะทำอะไรหรือ ให้พี่ช่วยดีหรือไม่” เขาทำอาหารอร่อยนะ มิใช่หยิบจับอันใดไม่เป็น ยามเมื่อต้องออกเดินทางไกล ห่างไกลจากเหลาอาหารหรือโรงเตี๊ยม กระทั่งโรงน้ำชาก็หาได้มีไม่ ยามนั้นก็ต้องจับปลาในแม่น้ำขึ้นมาย่าง ขุดมันในดินขึ้นมาเผาเพื่อประทังชีวิต
“...” คนตัวเล็กไม่กล่าวอันใด นางจึงเงียบปากมิอยากจะพูดมากความกับอีกฝ่าย หาไม่แล้ววันนี้นางคงจะได้จัดการชายหนุ่มเบื้องหน้า เมื่อเห็นเขาส่งสายตาราวกับเจ้าหมาป่ากระหายหิวเนื้อลูกกวาง ประเดี๋ยวนางจะใช้น้ำร้อนสาดไล่เสียให้รู้แล้วรู้รอดไป จะได้ไม่เล่นหูเล่นตาน่ารำคาญเช่นนี้อีก
“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าก็พูดคุยกันไปต้อนรับมื้อกลางวันแล้วกัน ส่วนข้าก็คงจะต้องขอตัวไปส่งหมิงเอ๋อร์ที่สำนักศึกษา วันพรุ่งนี้ถึงจะกลับ ระหว่างนี้ก็พูดคุยศึกษากันไปก่อนแต่งงาน” จื่อเทาปล่อยโอกาสให้หนุ่มสาวทำความคุ้นเคยกันมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าลูกสาวของตนจะไม่ค่อยชอบว่าที่สามีตนเองเท่าไหร่นัก บิดาเช่นเขาก็มิได้บีบบังคับนาง แต่ก็รู้สึกผิดต่อลูกสาวไม่น้อยจะต้องมาแต่งงานกับคนที่ไม่รัก
เย่วฟางหรู นางยังใช้แซ่เย่วเพื่อระลึกถึงมารดาที่จากไป แซ่เถาจะเรียกขานเพียงแค่เฉพาะคนรู้จักกับบิดาของนางเพียงเท่านั้น แท้จริงแล้ว แซ่เย่วของนางดูจะสลักสำคัญไม่น้อย ชาติกำเนิดแท้จริงของเย่วฟางหรูยังคงถูกปกปิดเอาไว้
นั่นเพราะเย่วฟางหรูมิเคยเปิดเผยฐานะแท้จริงของนาง ตั้งแต่ท่านแม่ถูกขับออกจากวังหลวง เพราะขัดพระประสงค์รับสั่ง ให้แต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก ดังนั้นเองเย่วฟางหลันจึงได้พบรักแท้ก็คือบิดาของนางในยามนี้
ทว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับท่านแม่ของนาง แน่นอนว่าฟางหรู บุตรีเพียงคนเดียวของฟางหลันรับรู้ทุกเรื่องราวก่อนหน้านั้นและ ฐานะที่แท้จริงของนาง ขณะเดียวกันบิดาของนางไม่เคยรู้เลยว่าท่านแม่ของนางแท้จริงแล้วคือใครกัน
เหวินซื่อรู้สึกปวดศีรษะจึงคิดว่าอยากจะพักผ่อนอยู่ในเรือน จึงให้ทั้งสองคนได้พูดคุยทำความรู้จักกันให้มากขึ้น “หรูเอ๋อร์ วันนี้แม่รองปวดหัวยิ่งนัก ถ้าอย่างไรก็ทำเผื่อแค่คุณชายหลิวก็พอ” เมื่อกล่าวจบก็ถูกสาวใช้ประคองร่างบอบบางคล้ายจะเป็นลมได้ทุกเมื่อเข้าไปในเรือนของนาง
“เจ้าคะท่านแม่” ฟางหรูยิ้มหวานมอบให้กับมารดาเลี้ยง แต่ดวงตาซ่อนเล่ห์เอาไว้ “หึ อร่อยแน่เจ้าค่ะงานนี้” ฟางหรูยิ้มเหี้ยมขึ้นมา ส่งสายตาให้ชายหนุ่มเล็กน้อย ทว่าสายตานี้เหมือนกำลังแฝงบางอย่างเอาไว้ ทำให้ท่านรองแม่ทัพรู้สึกถึงลางร้ายมาเยือน
สาวงามเดินจากไป ปล่อยให้ชายหนุ่มเดินเล่นอยู่ด้านหน้าของจวน นั่นคือสวนดอกไม้ที่นางชมชอบยิ่งนัก อีกทั้งยังมีศาลาขนาดใหญ่ยื่นไปอยู่ในสระบัว ทำให้บรรยากาศช่างดูอบอุ่นและผ่อนคลายไปในคราวเดียวกัน สาวงามเดินเข้าไปในครัว จัดการอาหารมื้อกลางวันสุดแสนพิเศษให้ชายหนุ่ม
สำรับอาหารสี่อย่างถูกจัดเรียงในถาด พร้อมกับข้าวเมล็ดสีขาวกลิ่นหอมกรุ่น จากนั้นเสี่ยวเสียนจึงได้ยกสำรับออกมาให้ท่านรองแม่ทัพหลิวที่ศาลารับลมในสระบัวแห่งนี้ ชายหนุ่มได้กลิ่นอาหารพลันท้องก็ร้องประท้วงด้วยความหิวขึ้นมาทันที
“หอมจริง ๆ สีสันน่ากินมาก” เขากลืนน้ำลายลงหอเพราะหิวจนไส้จะขาดแล้ว เขาสูดดมก่อนจะเริ่มตักน้ำแกงไก่เข้ามาซด
พรวด... เพียงแค่ตักเข้าไปและกลืนมันลงเพียงเท่านั้น เขาก็สำลักน้ำแกงไก่ของสาวงามทันที เขาเงยหน้ามองไปยังเด็กสาวแสนแสบเข้าให้แต่ก็ไม่ได้ไม่พอใจ
ฟางหรูยิ้มแพรวพราวขึ้น “เสียดายของ พี่ฉวนต้องกินให้หมดนะเจ้าคะ ข้าตั้งใจทำอย่างสุดฝีมือเชียว” ฟางหรูเอ่ยขึ้นท่าทางน่าสงสารอีกทั้งน้ำเสียงเหมือนลูกแมวน้อยที่กำลังออดอ้อน เจ้านายให้หลงรัก
หลิวมู่ฉวนมองใบหน้าเจ้าลูกแมวตัวน้อย นางช่างกลั่นแกล้งเขาได้ลงคอ เขาจึงได้กล่าวขึ้นมาอย่างตรงไปตรงมา “จะให้ข้ากินลงได้อย่างไร เจ้าทำเรือเกลือคว่ำรึ ถึงได้เค็มเช่นนี้” ถึงแม้จะเสียรู้ถูกคนตัวเล็กแกล้งเข้าให้ แต่ก็แอบดีใจไม่น้อย ที่เห็นนางแย้มยิ้มอย่างมีความสุขและเบิกบานใจเช่นนี้ พลอยทำให้เขามีความสุขยามเมื่อได้มองนางมีรอยยิ้ม มิใช่ตีหน้าราบเรียบเย็นชาไร้ความรู้สึก
สาวงามสาแก่ใจนักที่ได้แกล้งชายหนุ่มเบื้องหน้าแต่ก็อดที่จะสงสารอีกฝ่ายไม่ได้ เห็นสีหน้าของเขาแล้วก็ทำให้แกล้งไม่ลงจึงได้ยื่น น้ำแกงเห็ดให้อีกฝ่าย “เอา! ถ้วยนี้อร่อย” รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นมาอีกครั้ง “อร่อยจริง ๆ ข้าไม่ได้แกล้งท่านแล้ว”
แววตาของชายหนุ่มดูไม่เชื่อใจสักนิด เขาวางช้อนตักน้ำแกงลงที่ถ้วยของตนเอง มองใบหน้าของนางอีกครั้ง ด้วยความสงสัย ไม่ใช่นางจะแกล้งเขาอีกเล่า “ถ้วยนี้ไม่ใช่เรือเกลือคว่ำอีกเล่า”
ฟางหรูเห็นชายหนุ่มไม่เชื่อใจนาง จึงได้เอ่ยขึ้นมาอย่างมั่นอกมั่นใจ “อร่อยจริง ๆ เจ้าค่ะ ข้าไม่แกล้งท่านแล้ว เสียดายของด้วย”
จากนั้นชายหนุ่มมีทีท่ากล้า ๆ กลัว ๆ ไม่กล้าตักน้ำแกงเห็ดขึ้นมา หญิงสาวจึงยิ้มหวานอีกครั้ง พยักพเยิดให้เขาลองชิมดู เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ลงมือเสียที นางจึงได้ตักน้ำแกงนี้ขึ้นมาชิมให้ชายหนุ่มดู
เห็นนางตักขึ้นมาและก็กลืนลงคอไป สีหน้ายังคงราบเรียบและดูมั่นใจ ดังนั้นเขาจึงได้ลองลิ้มชิมรสชาตินี้ แต่ทว่าเมื่อตักเข้าปากและกลืนลงคอเพียงเท่านั้น ก็อดที่จะกล่าวชื่นชมนางไม่ได้ “อร่อยยิ่งนัก นี่เจ้าทำเองรึ”
ชายหนุ่มกล่าวชมสาวงาม ว่าที่ภรรยาของตนเอง สีหน้าของเขาคล้ายกับว่าไม่เชื่อว่าจะเป็นฝีมือของนาง เพราะเห็นท่าทางของนางราวกับม้าพยศเช่นนั้นคงจะทำอาหารไม่อร่อยเป็นแน่
“ข้าทำเอง ไก่หมักข้าก็ทำเอง อาหารมื้อนี้ฝีมือของข้าหมดเจ้าค่ะ” นางโอ้อวดหลงลืมไปแล้วว่าตนเองไม่ชอบหน้าอีกฝ่าย แต่แปลกนักเขาทำให้นางสบายใจเมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกัน ไม่ต้องสำรวมกิริยาตามที่มารดารองเคยเพียรสอน
“ต่อไปหากเจ้าเป็นภรรยาข้าแล้ว ข้าคงจะอ้วนลงพุงเป็นแน่ เพราะมีภรรยาทำอาหารอร่อยเช่นนี้” มู่ฉวน
กล่าวขึ้น แววตาหวานฉ่ำ อยากจะแต่งงานกับนางให้เร็วที่สุดก็ว่าได้
แต่นั่นทำให้ฟางหรูฉุกคิดขึ้นมาและนางจึงได้ถามขึ้น “ท่านจะแต่งงานกับข้าทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รักไม่ได้ชอบ ท่านทำใจได้หรือ” แววตาของนางสงสัย แม้ว่าตนเองจะมีฐานะสูงส่ง หากจะแต่งงานกับท่านรองแม่ทัพก็คงจะเป็นเป็นอันใด ท่านยายและท่านลุงก็คงจะไม่กล่าวโทษว่านางเอาแต่ใจ หรือโง่งมกระมัง อีกอย่างดู ๆ แล้วชายผู้นี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
“เอ่อ...ตอนนี้ไม่ได้ชอบ อนาคตไม่แน่” เขากล่าวขึ้นพลางแย้มยิ้ม นางคือรักแรกพบของเขาก็ว่าได้ หนึ่งปี
กว่าที่เขาคิดถึงใบหน้าหวาน ๆ ของนางเช่นนี้ แต่นางจำเขาไม่ได้นี่สิ
“เห็นว่าพรุ่งนี้ท่านจะกลับเมืองหลวงแล้วหรือเจ้าคะ” ที่ถามก็เพราะนางไม่อยากเจอเขาอีกแล้ว นางเหนื่อยล้าเหลือเกิน ราวเหมือนกับว่าจะต้องใช้สมองมากยามเมื่อเจอคนยั่วโมโห ช่างทำให้นางปวดหัวนัก เพียงแค่รู้จักกับเขาแค่สองวันเท่านั้น ใบหน้าของนางก็มีริ้วรอยแล้ว
“อืมใช่ พอดีมีงานด่วนเข้ามาเสียก่อน หากไม่มีงานเร่งด่วนคิดว่าข้าจะมาพบหน้าของว่าที่ภรรยาทุกวัน” เขาว่าแต่แอบส่งสายตาหวานให้นางอีกครั้ง แต่กลับถูกนางปาค้อนอันใหญ่มาให้เขาเกือบจะสำลักน้ำชาที่ตนเองกำลังดื่มอยู่ นางช่างเป็นคนตรงไปตรงมาเสียจริง
“ถามจริง ๆ เถอะ ท่านมักพูดจาเกี้ยวสตรีแบบนี้หรือไม่” อีกครั้งที่ถามขึ้นเพราะอยากรู้เหมือนเขาจะชำนาญนักกับการพูดจาหว่านล้อมสตรีให้หลงใหล แต่นางไม่หลงกลเขาเด็ดขาด และไม่มีทางหลงเสน่ห์คนเช่นนี้
“เปล่า เป็นแค่กับเจ้าคนเดียวเท่านั้น” เขากล่าวขึ้นสีหน้าจริงจังต่างจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
“เหตุใดท่านไม่กล่าวปฏิเสธแต่งงานกับข้า” ก็เพียงแค่นางอยากรู้เท่านั้น หน้าที่การงานก็ดูจะมั่นคง สตรีมากมายก็ล้วนอยากจะเป็นภรรยาของเขาเป็นแน่ เพราะรูปงามใบหน้าก็หล่อเหลา
“ทำไมข้าจะต้องปฏิเสธด้วยเล่า ก็เพราะข้ารอเจ้ามาเป็นปีแล้ว” เขากล่าวขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาจะเปิดเผยความในใจกับนาง
“ช่างพูดได้น่าขันนัก ข้าไม่เคยพบท่านมาก่อน” ฟางหรูยังคงไม่รู้ว่าเขาพูดจาอันใด นางมั่นใจว่าไม่เคยพบเขามาก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน เขาโกหกได้หน้าตายนัก
“ต้นฤดูหนาวปีที่แล้ว เจ้าคือคุณชายเถา ข้าคือทหารคนหนึ่งที่มากล่าวขอบคุณเจ้า จำได้หรือไม่” เขาทวนความหลังเมื่อพบกับนางครั้งแรก และครั้งเดียวแต่เขาจดจำนางได้อย่างขึ้นใจ นั่นเพราะเขาประทับใจนางยิ่งนัก ยืนทนหนาว มิปริปากบ่นสักคำ ตักข้าวต้มให้เหล่าชาวบ้านที่ประสบภัยหนาว นางช่างมีจิตใจที่ดีและงดงามนัก
“คนนั้นก็คือท่านเองหรือเจ้าคะ” เมื่อนึกขึ้นได้ พลันทำให้นางรู้สึกบางอย่างขึ้นมา เขาก็คือชายหนุ่มคนนั้นที่นางได้พบหน้าและแอบชอบเขา แต่ก็ไม่เคยรู้ว่าเขาชื่ออะไร เพราะนางไม่กล้าเอ่ยปากถาม
“ใช่ข้าเอง ตกใจมากหรือ ตอนนั้นใบหน้าของข้ามีแต่คราบเศษฝุ่นเลอะเทอะเปรอะเปื้อน แต่ยามนี้หล่อเหลามากสิ เจ้าคงจำไม่ได้” ชายหนุ่มขบขันตนเองยามนั้นหน้าตาของเขาช่างแตกต่างจากยามนี้อย่างสิ้นเชิง
“อัปลักษณ์มากต่างหาก ใครว่าท่านหล่อเหลากัน ช่างหลงตัวเองยิ่งนัก” คนงามเขินอายทันที นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคนที่นางแอบชอบ พลันทำให้หัวใจดวงน้อย ๆ เต้นโครมครามขึ้นมาอย่างดื้อ ๆ ใบหน้างดงามแดงระเรื่อทันที
เมื่อเห็นสาวงามเขินอายได้น่ารักก็จึงได้หยอดคำหวาน แต่คำนี้ออกมาจากใจของเขาอย่างแท้จริง และก็อยากจะบอกนางมานานแล้วด้วย นางคือคนที่เขาชอบตั้งแต่แรกพบ
“แต่ข้าชอบเจ้านะ ชอบมาตั้งแต่แรกพบ”