ตอนที่ 3 คู่หมั้น
คนที่แอบซ่อนตัวอยู่ก็กระโจนลงมา พลางปรบมือเอ่ยชมนางไปสองสามคำ แต่แล้วก็ได้สีหน้าที่เมินเฉยกลับมาแทน แถมนางยังไม่ปริปากพูดกับเขาสักคำ ก้มหน้าก้มตาเก็บรองเท้าใส่อย่างเรียบร้อย แต่ทว่าเส้นผมงดงามดำคลับดุจสีน้ำหมึกนั้นส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ทำให้เขาผ่อนคลายไม่น้อย เหมือนว่าเคยได้กลิ่นนี้มาจากที่ไหนสักแห่ง นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกเสียที
“คุณหนูเถา รอเดี๋ยวก่อน” หลิวมู่ฉวนให้ความสนใจกับว่าที่คู่หมั้นคู่หมายของเขายิ่งนัก ยามเมื่อนางทำหน้าบูดบึ้งเมินเฉย กระทั่งส่งแววตาเย็นชาไร้ความรู้สึกเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาสนใจนางยิ่งขึ้น ก้อนเนื้อข้างซ้ายนั้นเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ รุนแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอกแกร่งของเขาเสียแล้ว
“พี่ชายขอโทษแทนพี่สาวของข้าด้วยที่เสียมารยาท” จื่อหมิงเอ่ยขอโทษก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนจะกระชับร่างคนตัวเล็กให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตนเองให้ดี เด็กน้อยคนนี้คือคนที่เขาชมชอบ นางมักแต่งกายเป็นบุรุษเลียนแบบพี่สาวของเขา
นั่นเพราะว่าเถาจื่อหมิงเคยกล่าวว่า หากเขาจะมีสตรีในดวงใจแล้วไซร้ คนผู้นั้นจะต้องมีลักษณะคล้ายคลึงกับพี่สาวของตน นึกไม่ถึงว่าจะมีคนตัวเล็กใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ แต่งกายคล้ายบุรุษไม่พอยังถ้าต่อยตีกับกลุ่มอันธพาลนี้อีก ตัวเล็กเพียงเท่าลูกแมวกลับทำตัวราวกับพยัคฆ์ นี่มันหนูแอบอ้างเป็นราชสีห์ชัด ๆ
“หมิงเอ๋อร์ ทำไมต้องขอโทษคนอื่นด้วย ในเมื่อเราไม่ผิด” ฟางหรูดุน้องชายเข้าให้เล็กน้อย เหลือบตามองชายหนุ่มอย่างไม่พอใจ ถึงจะเป็นว่าที่คู่หมั้น แต่ก็ไม่ได้เป็นทางการ หนังสือหมั้นหมาย หนังสือสินสอดก็ยังไม่มี ดังนั้นนางเองก็หาได้ใส่ใจอีกฝ่าย
“ผิดที่เจ้าเป็นเด็กไม่ตอบผู้ใหญ่เช่นข้าอย่างไรคุณหนูเถา” หลิวมู่ฉวนกล่าวขึ้นมา ดูท่าแล้วเขาคงจะต้องปราบนางให้อยู่หมัดเร็ว ๆ นี้ มิเช่นนั้นตัวเขาเองจะต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบนางแน่ ๆ
“...” ฟางหรูผู้ไม่สนคำพูดใคร นางไม่ตอบคำถามของเขาอีกด้วย ยังคงตีหน้ามึนไม่สนใจอีกฝ่ายที่พูดไม่หยุด และยังเดินตามนางกับน้องชายมาอีก ดังนั้นแล้วสาวงามทนความอึดอัดไม่ไหว จึงได้ขึ้นเสียงใส่อีกฝ่าย
“จะตามมาทำไม!” ฟางหรูตวาดใส่ชายหนุ่มอย่างไม่นึกหวาดกลัว เขาเป็นถึงรองแม่ทัพหลิวแห่งเมืองหลวง นางเป็นแค่สตรีรูปร่างบอบบาง แต่ก็หาได้หวาดกลัวอีกฝ่ายไม่ เพราะนางไม่ชอบที่เขากำลังเล่นหูเล่นตา พลางเล่นลิ้น หยอกเย้านางเช่นนี้ เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่ถึงวัน เขาก็ทำตัวตีสนิทกับนางจนเกินไปแล้ว
‘พวกบุรุษเจ้าสำราญคงทำตัวแบบนี้กระมัง’ ฟางหรูครุ่นคิดอยู่ในใจมิได้พูดออกมา
เถาจื่อหมิงรีบอุ้มเด็กสาวในอ้อมกอดของตนเองเร่งรีบส่งที่จวนของนาง โดยทิ้งพี่สาวไว้ตามลำพังกับชายหนุ่มแปลกหน้า เห็นว่าเข้ากันได้ดีเขาก็สบายใจแล้ว แต่ทว่าเข้ากันได้ดีก็คือต่างฝ่ายต่างลับฝีปากกันไปมา เช่นนี้เขารู้สึกชมชอบว่าที่พี่เขยไม่น้อย
“คือข้าจะไปจวนของสตรีว่าที่คู่หมั้นของข้า ผ่านจวนของเจ้าพอดี” เขาเล่นลิ้นเข้าให้ สีหน้าของเขาเบิกบานใจนัก เมื่อได้กลั่นแกล้งนางให้หงุดหงิดรำคาญใจ ดูเหมือนกำลังจะมีเพลิงโทสะอยู่ในแววตาคู่งามอีกด้วย ลำแขนทั้งสองไพล่หลังเอาไว้ จากนั้นก็หัวเราะขบขันเบา ๆ กับกิริยาท่าทางเกินสตรีของนาง
“คุณหนูเถา” เสียงทุ้มดังแว่วมา ทำให้คนหน้าตาไม่พอใจต้องหยุดการเดินลงโดยทันที พลางปรับสีหน้าคล้ายกับว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้น
ชายหนุ่มผู้นี้ส่งเสียงเรียกสาวงามในดวงใจ เขาเฝ้ามองนางมานานหลายปี แต่ก็ไม่เคยได้เอ่ยความในใจสักครั้ง “นึกไม่ถึงจะพบเจ้าที่นี่ ช่างบังเอิญนัก” เขากล่าวขึ้น ทว่ากลับเห็นนางมีชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้วยกัน ทำให้เขาแปลกใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามว่าชายคนนี้เป็นใครกัน
“อืมเจ้าค่ะ ว่าแต่ท่านหมอไป๋กลับมาจากโรงหมอหรือเจ้าคะ” ฟางหรูกล่าวขึ้นมา แม้ว่าจะมีสีหน้าราบเรียบ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีห่างเหินกับท่านหมอผู้นี้ น้ำเสียงของนางยังคงพูดจาไพเราะรื่นหู มิใช่พูดจายียวนกวนประสาท น้ำเสียงแข็งกระด้างเหมือนกับใครบางคน นั่นก็คือท่านรองแม่ทัพหลิวมู่ฉวน
“เหตุใดจึงพูดจาห่างเหินกับข้านักเล่า” ท่านหมอกล่าวติดตลกเล็กน้อย “ว่าแต่คุณหนูใหญ่ไปทำอะไรมา เหตุใดเสื้อผ้าของท่านจึงได้เลอะเช่นนี้ล่ะ” ท่านหมอไป๋หย่งเล่อกล่าวขึ้น ทำทีว่าจะเข้าไปช่วยหญิงสาวเช็ดคราบเลอะเทอะเปรอะเปื้อน แต่ก็ถูกขัดขวางด้วยชายแปลกหน้า เขาไม่เคยรู้จักและไม่คุ้นหน้าชายคนนี้มาก่อน และดูเหมือนจะไม่ใช่คนเมืองตงหยางแห่งนี้เสียด้วย
“คู่หมั้นของข้า เมื่อครู่นี้เพิ่งจะจัดการกับพวกอันธพาลมา นางก็เลยมีคราบเล็กน้อย ไม่ต้องรบกวนให้คุณชายเช็ดให้!” หลิวมู่ฉวนวางตัวเป็นคู่หมั้นของนางเข้าให้ เขาไม่ถูกชะตากับหมอคนนี้นัก เพียงแค่เห็นแววตาก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรกับคู่หมั้นของเขาเข้าให้
เขาจึงได้เอ่ยว่าคู่หมั้นเต็มปากเต็มคำ หวังประกาศให้อีกฝ่ายรับรู้ฐานะของเขาทางอ้อมก็เพียงเท่านั้นเอง เขาคือคนเจ้าเล่ห์มากด้วยแผนการ
“คู่หมั้น!” ไป๋หย่งเล่อตกใจนัก จึงได้ทวนคำพูด สมองของเขาอื้ออึงไปหมด คล้ายว่าถูกก้อนหินหล่นใส่ศีรษะจนมึนงงไป “คู่หมั้นหรือ ทำไมข้าไม่เห็นจะรู้เลยว่าคุณหนูเถามีคู่หมั้นแล้ว” ชายหนุ่มไม่เชื่อสักนิด พลางกล่าวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คิดเข้าข้างตนเองว่า ชายแปลกหน้านี้พูดจาโป้ปดไปกระมัง
“ตอบไปสิ หรงเอ๋อร์เป็นคู่หมั้นของพี่ใช่หรือไม่” หลิวมู่ฉวนแววตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ ยกยิ้มอย่างชั่วร้ายขึ้นมา จ้องมองสาวงามไม่วางตา แสดงทีท่าหวงนางจนเกินงาม ดังนั้นทำให้โฉมงามนึกหมั่นไส้ชายหนุ่มว่าที่คู่หมั้นจอมเจ้าเล่ห์ เพียงแค่เริ่มรู้จักเท่านั้น ชายคนนี้ก็วางท่าเป็นเจ้าของเสียแล้ว
‘เดี๋ยวจะรู้ว่าใครแน่กว่าใคร’ บุปผางามแย้มยิ้มอย่างคนเหนือชั้น แววตาของนางช่างเจิดจ้าไม่น้อย เมื่อเห็นทีท่าของชายหนุ่มรูปงาม จากนั้นนางจึงแย้มยิ้มพลางว่านเสน่ห์ให้ชายหนุ่มเบื้องหน้า
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ชายคนนี้สติฟั่นเฟือนวิปลาส เห็นสตรีก็มักจะพูดจาโอ้อวดว่าเป็นคู่หมั้นของตนเองอยู่บ่อยครั้ง ท่านหมออย่าใส่ใจคนบ้าเลยนะเจ้าคะ” ฟางหรูยิ้มหวานส่งสายตาพราวระยับให้อีกฝ่าย ท่านหมอไป๋อึ้งนิ่งงัน ตั้งแต่รู้จักกับนางมาวันนี้เห็นนางส่งยิ้มให้เขา ทำให้หัวใจและร่างกายอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงไปหมดแล้ว
แย่แล้วล่ะทีนี้เมื่อเย่วฟางหรู กล่าวขึ้นมาทำให้ท่านรองแม่ทัพหน้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ เขาจึงรีบแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ขึ้นทันที “หรูเอ๋อร์ก็ชอบพูดเล่นแบบนี้ คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าเป็นสตรีไร้คู่ อย่าโป้ปดผู้อื่นสิ แบบนี้ไม่น่ารักเอาเสียเลยนะ” หลิวมู่ฉวนรีบร้อนกล่าวขึ้นมา แต่ทว่าเขากำลังแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ไม่ให้เสียหน้าต่างหากเล่า นึกไม่ถึงว่าสาวงามจะหักหน้าของเขาจนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เช่นนี้ ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว
“หน้าตาก็ไม่เลว แต่ทว่าสติฟั่นเฟือนไม่น้อย คนเช่นนี้คุณหนูใหญ่ต้องอยู่ให้ห่าง ๆ นะขอรับ” เมื่อคนตัวเล็กกว่าเอ่ยว่าชายคนนี้สติฟั่นเฟือน เขาก็เห็นดีเห็นงามไปกับนางด้วย กระนั้นจึงได้แสร้งกลั่นแกล้งอีกฝ่าย เอ่ยเออออไปกับสาวงามเบื้องหน้า
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะเดินไปส่งท่านที่จวนดีหรือไม่ขอรับ” ท่านหมอไป๋อาสาจะไปส่ง เกรงว่าหากให้นางเดินกลับบ้านคนเดียว เดี๋ยวจะเกิดอันตรายเอาได้ ชายคนนี้ไม่น่าไว้วางใจ หากมีเขาเดินไปด้วยนางย่อมปลอดภัยไร้อันตราย
“ไม่ต้อง!” หลิวมู่ฉวนส่งเสียเหี้ยมทันที วางท่าหวงนางเข้าให้ จนทำให้ชายหนุ่มอีกคนตกใจไม่น้อยน้ำเสียงและสีหน้าของเขาทำให้ท่านหมอไป๋หวาดกลัว เหมือนว่าจะมีสายตาอำมหิตซ่อนเอาไว้บนใบหน้าของฟางหรู
“ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ ท่านหมอไป๋เชิญกลับจวนของท่านเถอะนะเจ้าคะ เขาไม่กล้าทำอันใดข้าหรอกเจ้าค่ะ” หญิงสาวกล่าวขึ้น คลี่ยิ้มหวานเล็กน้อย ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองต่างพากันหลงใหลในรอยยิ้มเล็ก ๆ ช่างดูน่ารักและสดใส ทำให้เบิกบานใจ ราวกับบุปผางามกำลังเบ่งบานขึ้นมาท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว
“ถ้าเช่นนั้นแล้วพบกันใหม่นะขอรับคุณหนูเถา” ไป๋หย่งเล่อกล่าวขึ้นมาอย่างมีความหวัง น้อยครั้งที่จะพบนางบนถนนแบบนี้ ปกติแล้วนางมักจะแต่งกายเป็นบุรุษ แต่ทว่าวันนี้นางงดงามเหลือเกิน ทำให้เขาลุ่มหลงนางจนไม่อาจจะต้านทานไหว อยากจะสารภาพออกไปเสียเหลือเกิน ว่าเขาชอบนางมากขนาดไหน
แต่ก็กลัววนางจะปฏิเสธทำให้ความสัมพันธ์เช่นสหายจบลง มิตรภาพนี้เขาอยากจะมันอยู่อย่างยั่งยืน มิอยากให้จางหายไป จึงไม่คิดจะสารภาพกับนาง แม้ว่าจะมีชายแปลกหน้าคนนี้แอบอ้างว่าเป็นคู่หมั้นของหญิงสาว ตัวเขาก็หาได้ใส่ใจไม่ ในเมื่อเถ้าแก่เถามิเคยเอ่ยกล่าวเล่าให้ใครต่อใครได้ฟัง ดังนั้นนางก็ยังเป็นสตรีไร้คู่ครอง คู่หมั้นคู่หมาย
“เจ้าค่ะ” ฟางหรูพยักหน้าให้ท่านหมอ ส่งยิ้มหวานให้เขาเล็กน้อย
“ทีอย่างนี้ล่ะยิ้มหวานเชียวนะ” หลิวมู่ฉวนนึกอิจฉา แต่ทว่าเขารู้สึกคุ้นหน้านางขึ้นมา เหมือนเคยเห็นที่ไหน เขากำลังครุ่นคิดอยู่ ครั้งแรกเมื่อแอบดูนางก็รู้สึกคลับคล้ายว่าเคยเจอนางมาก่อน แต่ทว่านึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
“มันเกี่ยวอะไรกับท่านกัน ข้าจะยิ้มให้ใครมันก็เรื่องของข้า หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับท่านรองแม่ทัพไม่” สาวงามหน้าบึ้งตึงใส่ชายหนุ่มทันที เขาทำให้นางไม่อยากจะพูดจาด้วยสักคำ นางไม่เคยเจอบุรุษเช่นนี้มาก่อน ช่างรับมือยากเสียจริง คนอะไรหน้าหนาหน้าทนยิ่งนัก ฟางหรูชักอยากจะตะบันหน้าของรองแม่ทัพหลิวสักที ให้หายคันไม้คันมือสักทีสองที
“จะไม่เกี่ยวได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า” เขากล่าวขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มไหวไหล่เบา ๆ หัวเราะนางเล็กน้อย เขาชอบดูเวลานางโมโหช่างทำให้เขาเบิกบานใจนัก ยามหน้าตาบูดบึ้งช่างน่ารัก ดูคล้ายกับลูกแมวตัวน้อยที่กำลังพองขนขู่ศัตรู
“ข้าเพิ่งจะรู้ไม่กี่วันนี้เอง” นางกล่าวขึ้นแล้วก็ก้าวเท้าเดินต่อไป มุ่งหน้ากลับจวนของนาง อีกไม่ไกลก็ถึงแล้ว เขาถามนางจะตอบ หากเขาไม่ถามนางจะเงียบเพราะรำคาญเหลือเกิน
พลางครุ่นคิดหากแต่งงานกับชายคนนี้ นางจะอยู่กับเขาได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องทะเลาะกันไม่เว้นวัน มิเช่นนั้นแล้วในจวนคงจะมีแต่สงครามสาดน้ำลายกันไปมาแน่ ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว นางกำลังจะมีสามี แต่ดูเหมือนจะเป็นศัตรูคู่ปรับกันเสียมากกว่า
“ถามจริง ๆ เจ้าจำข้าไม่ได้หรือ” และแล้วหลิวมู่ฉวนก็นึกขึ้นได้ เมื่อต้นฤดูหนาวปีที่แล้วเขานำเหล่าทหารกลุ่มหนึ่งเดินทางมายังเมืองตงหยาง เพื่อส่งเสบียงให้กับเหล่าชาวบ้านที่ประสบภัยหนาว และยังได้พบหน้าของคุณชายเถาที่มายืนแจกอาหารให้ชาวบ้านผู้ประสบภัยด้วย
ยามนั้นเขารู้สึกซาบซึ้งใจนักที่มีคุณชายผู้หนึ่งทนหนาวยืนตักข้าวต้มและไม่ปริปากบ่นสักคำ เมื่อสืบทราบว่านางเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลคหบดีในเมืองตงหยาง ตัวเขาเองงก็ยังมาขอข้าวต้มโรงทานตระกูลเถาของนางในวันถัดมา และเอ่ยกล่าวขอบคุณแทนทหารที่ได้รับข้าวต้มจากจวนคหบดีของเมืองตงหยาง
เขาได้พูดคุยกับนางเพียงแค่นั้น
“ข้าไม่เคยพบท่านมาก่อน เหตุใดจะต้องเคยพบท่านด้วยเล่า” นางจำเขาไม่ได้สักนิดอีกอย่างนางไม่เคยสนใจชายใดนอกเสียจากชายคนนั้น เขาเป็นทหารเดินทางมายังเมืองตงหยาง ได้พูดคุยกับเขาเพียงแค่ครู่เดียว ชื่อของเขานางก็ไม่รู้ ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเศษฝุ่น ดังนั้นจึงเห็นหน้าไม่ชัด มิหนำซ้ำยังแต่งกายเหมือนกันหมดทุกคนอีกด้วย
“แต่ข้าจำเจ้าได้นะ ไม่เคยลืมด้วยซ้ำไป” เขากล่าวพลางเดินตามแผ่นหลังอันบอบบาง นึกไม่ถึงว่านางก็คือคุณหนูเถาคนนั้นนี่เอง ช่างเป็นโชคชะตาทำให้เขาได้พบนางอีกครั้ง หลังจากชอกช้ำรักมานานหลายปี พบนางหนึ่งครั้งยังตราตรึงจนถึงทุกวันนี้ เห็นทีว่านางจะต้องเป็นพรหมลิขิต วาสนาด้ายแดงของผู้เฒ่าจันทราได้ผูกนางกับเขาให้มาเจอกันอย่างแน่นอน
“อยากจำก็จดจำให้ขึ้นใจเล่า แต่ตัวข้าคร้านจะใส่ใจบุรุษเช่นท่าน” สาวงามเร่งฝีเท้าหนีคนบ้า เกิดมาเพิ่งจะเคยเจอผู้ชายคิดเข้าข้างตนเอง เขาคงจะฝึกฝนหนักเป็นแน่ หรือไม่สมองของเขาก็กระทบกระเทือนอย่างหนักอาการจึงได้ดูวิปลาสเช่นนี้
“สักวันข้าจะทำให้เจ้าจำข้าได้ขึ้นใจ ว่าข้าคือคู่หมั้นและสามีของเจ้าในอนาคต หรูเอ๋อร์ เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอกนะ”