ตอนที่ 2 ทวงสัญญา
เย่วฟางหรูกล่าวขึ้นมา “ก็ได้ อย่าให้เจอว่าที่คู่หมั้นของข้าเชียว ข้าจะเล่นงานจนกลับเมืองหลวงไม่ถูกเลย” สีหน้าดูจะมั่นอกมั่นใจนัก ดูเหมือนว่านางไม่รู้ตัวสักนิดว่ามีใครคนหนึ่งกำลังแอบมองนาง กระทั่งการเดินของนางก็ทำให้เขาสนใจถึงเพียงนี้
ชายหนุ่มกำลังซ่อนตัวเองอยู่บนต้นไม้ได้ยินน้ำเสียงของสาวงาม ยามนางกล่าวคำพูดนั้นออกมาทำให้เขานึกขบขันอยากจะเล่นสนุกกลั่นแกล้งนางนัก เพียงแค่เห็นใบหน้าของโฉมงามแม้จะมองอยู่ไกล ๆ ก็พบว่านางงดงามไม่น้อย ยามเดินเยื้องย่างคล้ายกับบุรุษห้าวหาญ ทำให้เขาชมชอบนางเพียงแค่พบหน้ากันครั้งแรก
“แบบนี้สิถึงจะสนุก” เขากล่าวขึ้นมา ยามเมื่อแอบมองนางอยู่ที่ไกล ๆ หัวใจของเขากลับมาเต้นแรงอีกครั้งหนึ่ง จนต้องยกมือขึ้นมาทาบทับที่หน้าอกข้างซ้ายเพียงแค่เห็นใบหน้าของนาง “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะทำให้ข้าหวั่นไหว เพียงแค่มองไกล ๆ ก็งดงามบาดตาบาดใจข้าขนาดนี้เชียวรึ”
ในเรือนรับรองยามนี้ขุนนางหลิวกำลังกล่าวถึงสัญญาหมั้นหมายระหว่างหลานชายของเขาซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่การงานมั่นคง ไม่ทำให้อีกฝ่ายลำบากอย่างแน่นอน “หลานชายของข้าก็ล่วงเลยอายุยี่สิบห้าปีแล้ว เหมาะที่จะมาสู่ขอหรูเอ๋อร์เป็นภรรยา เจ้าว่าเป็นอย่างไรเล่าน้องชาย”
“พี่หลิวท่านกล่าวหนักเกินไปแล้ว หรูเอ๋อร์ของข้าอายุยังน้อยนัก เกรงว่าจะทำให้ท่านรองแม่ทัพปวดหัวกับนางเป็นแน่” เถ้าแก่เถายังไม่อยากจะให้ลูกสาวแต่งงานออกเรือน อีกทั้งยังต้องย้ายไปอยู่เมืองหลวง มิหนำซ้ำผู้คนที่นั่นก็มักจะมีแต่เหล่าขุนนาง และชนชั้นสูง เกรงว่าลูกสาวของตนจะสร้างเรื่องวุ่นวาย
“อายุของนางน้อยเสียเมื่อไหร่กันเล่า ปีนี้ก็ยี่สิบแล้วมิใช่รึ เลยวัยออกเรือนแล้วกระมัง หากยังไม่ตกลงแต่งงานแล้วละก็ เกรงว่าหลานสาวของข้าคนนี้จะออกเรือนไม่ได้แล้วกระมัง” ชายสูงวัยกล่าวขึ้น สีหน้าของเขานั้นมิได้แย้มยิ้ม แต่กำลังข่มขู่อีกฝ่าย มาดหมายว่าให้เถ้าแก่เถาตอบตกลงเสียแต่โดยดี
คราวนี้ชายสูงวัยไม่พูดอ้อมค้อมแล้ว “หรือว่าเจ้าลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับข้าแล้ว เจ้าอย่าลืมสิ ปีนั้นครอบครัวของเจ้าเป็นเช่นไร หากไม่ใช่เพราะข้ายื่นมือช่วยเหลือ...” ชายสูงวัยเท้าความหลัง หวังว่าจะใช้ไม้นี้ทวงสัญญา รู้สึกว่าตนเองหน้าด้านหน้าหนาก็ยินดี ขอเพียงแค่ให้หลานชายได้เกี่ยวดองกับตระกูลเถา เพียงแค่นี้เขาก็มีความสุขมากพอแล้ว “ข้าไม่ได้ทวงหนี้บุญคุณเจ้าหรอกนะ แต่น้องชายเถาลองไต่ตรองดูให้ดีเถิด”
“ใต้เท้าหลิว โปรดอย่าได้กล่าวเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ แต่ไหนแต่ไรมาพวกเราตระกูลเถา หากไม่ได้ท่านยื่นมือช่วยเหลือ ยามนั้นเกรงว่าชีวิตคงหามีไม่” เหวินซื่อกล่าวขึ้นมา นึกถึงเมื่อยามที่นางกำลังคลอดลูกชาย ยามนั้นตระกูลเถาถูกใส่ร้าย ข้อหาค้าขายของเถื่อน ซุกซ่อนอาวุธเข้ามายังแคว้นจิ่นโจว
โทษหนักร้ายแรงถึงขั้นประหารทั้งตระกูล ดีที่ท่านแม่ทัพหลิวออกหน้าสืบหาคนร้ายตัวจริงจนพบ มิเช่นนั้นแล้วตระกูลเถาคงจะสิ้นชื่อเสียตั้งแต่เมื่อสิบห้าปีก่อน นางกับครอบครัวก็คงจะได้มีชีวิตอยู่อย่างทุกวันนี้
“พี่ชาย ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องแล้วแต่หรูเอ๋อร์แล้วล่ะขอรับ” เถาจื่อเทาไม่อาจจะตอบรับอีกฝ่ายได้เต็มปาก รู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง ทำให้ลูกสาวต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก แม้ว่านางจะไม่มีชายในดวงใจก็ตามที ทว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องขออนาคตอันยาวไกล เขามิอยากจะบังคับโดยไม่ไต่ถามลูกสาวเสียก่อน
เย่วฟางหรู รู้ต้นสายปลายเหตุเรื่องราวของตระกูลเถาเป็นอย่างดี และนี่คือเรื่องสำคัญที่นางรับรู้มาก่อนหน้าที่ท่านลุงหลิวจะเดินทางมาพบหน้าของนางในวันนี้ ดังนั้นเพื่อตอบแทนบุญคุณของท่านลุงหลิวที่เคยช่วยเหลือตระกูลของบิดา
แค่แต่งงานคงจะไม่เป็นไรไป นั่นเพราะว่าข่าวลือของท่านรองแม่ทัพก็หนาหูไม่น้อย จึงทำให้หญิงสาวโล่งอกยิ่งนัก นั่นเพราะว่าเขาคือบุรุษเย็นชา ไร้ความรู้สึกกับสตรี เหมือนว่าฟางหรูเข้าใจว่าเขาคือชายตัดแขนเสื้อ จึงได้โล่งอก
“หรูเอ๋อร์ นี่คือท่านลุงหลิว” ฟางหรูแต่งกายงดงามนัก สวมอาภรณ์สีฟ้าอ่อน ประดับปิ่นปักผมลวดลายดอกโบตั๋นช่างดูงดงามลงตัวไม่น้อย ต่างหูห้อยลงมายาวถึงลำคอระหงส์ ส่งเสริมให้หญิงสาวดูสะสวยเจิดจ้ายิ่งนัก
“หรูเอ๋อร์ คารวะท่านลุงหลิวเจ้าค่ะ” สาวงามยอบกายลงมาอย่างอ่อนช้อย นางทำได้ดีเพียงเท่านี้ จากนั้นคลี่ยิ้มบางเบาตามที่เหวินซื่อสอนสั่งนาง พลางนึกในใจอยู่เสมอว่า ‘อย่าทำให้แม่รองและท่านพ่อขายหน้าเด็ดขาด’
“หรูเอ๋อร์ ช่างงดงามนักเหมาะสมกับว่าที่หลานสะใภ้ข้าเสียจริง” ขุนนางหลิวถูกใจไม่น้อย สีหน้าบึ้งตึงเมื่อครู่ได้จางหายไปในพริบตาเดียว เมื่อเห็นว่าที่หลานสะใภ้เดินเข้ามา ช่างถูกใจคนแก่ชราไม่น้อย หากหลานชายได้พบหน้าก็คงจะชมชอบนางเช่นเดียวกันแน่ ๆ
“หรูเอ๋อร์ไม่คิดจะคัดค้านการแต่งงานเจ้าค่ะ เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ท่านลุงเมตตา ช่วยเหลือตระกูลเถา ยามนั้นหรูเอ๋อร์เพียงแค่สิบห้าปี มิได้อยู่ที่แคว้นจิ่วโจว แต่ท่านพ่อตกที่นั่งลำบากเช่นนี้ หรูเอ๋อร์ยินดีทดแทนคุณเจ้าค่ะ”
“ช่างเป็นเด็กรู้ความจริงเชียว เจ้าอบรมลูกสาวได้ดียิ่งนัก” ขุนนางหลิวกล่าวขึ้นมา สีหน้าเบิกบานไม่น้อย ผิดกับอีกฝ่ายหน้าตามืดคล้ำ ไม่อาจจะพูดอันใดได้ เขาเจ็บปวดใจเหลือเกินทำให้ลูกสาวต้องลำบากเช่นนี้
เหวินซื่อเห็นสีหน้าของนางมี นางเข้าใจเป็นอย่างดี ดังนั้นมือนุ่มนิ่มของนางจึงสวมจับเข้ากับฝ่ามือของเขา คล้ายปลอบประโลมทำให้สามีสบายใจขึ้น
“แต่มีข้อแม้นะเจ้าคะ” หญิงสาวกล่าวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ถึงจะตอบตกลงแต่งงานแล้วก็ตามที แต่เรื่องอื่นนางจะต้องขอเพิ่มเติมสักเล็กน้อยก็แล้วกัน หญิงสาวแย้มยิ้มอย่างน่ารักน่าชัง
“ข้อแม้อะไร หากไม่เหลือบ่ากว่าแรง ลุงยินดีมอบให้เจ้า” ชายสูงวัยยืนกรานเช่นคำพูด มือหนาหยาบกร้านนั้นลูบหนวดเคราของตนเอง สายตามคมกริบจดจ้องเด็กสาวอย่างใคร่รู้ยิ่งนัก
“ข้อแม้ที่ว่า ห้ามมิให้ท่านรองแม่ทัพรับภรรยาเพิ่ม แม้แต่อนุ หรือสาวใช้อุ่นเตียงก็ห้ามมี ตราบใดที่เขายังเป็นสามีของหรูเอ๋อร์ นี่คือสิ่งต้องห้ามของหลานจึงขอร้องเอาไว้ล่วงหน้า หากเขาผิดคำสัญญาเมื่อไหร่ หรูเอ๋อร์จะไม่ขอทนอยู่ให้เจ็บปวดใจคงจะต้องขอหย่าร้าง เป็นสตรีหม้ายยังดีเสียกว่าเป็นสตรีด้อยค่าให้สามีเหยียบย้ำเกียรติของตนเอง”
หลิวมู่ฉวนได้ยินถ้อยคำของหญิงสาว ตัวเขาเองเดินเข้ามานานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เข้ามาในห้องรับรองเสียที คิดว่าจะอยู่ดูความสนุกด้านนอกนานเสียหน่อย แต่นึกไม่ถึงว่านางจะกล้าเอ่ยปากเช่นนี้ เรื่องง่าย ๆ เพียงเท่านี้มีหรือเขาจะทำไม่ได้ ในเมื่อเขาต้องใจนางเข้าให้ เพียงแค่แวบแรกนางก็เป็นที่ถูกใจเขานัก
“กล่าวได้ดี ข้าตกลงแต่งงานกับเจ้า หรูเอ๋อร์” จู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมา ชายหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่มแววตาเป็นประกายวาววับเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ แฝงไปด้วยเสน่ห์ ใบหน้าอันหล่อเหลาคมคาย ผิวพรรณคล้ำแดดไม่น้อย ทำให้ฟางหรูตกตะลึงกับการมาของชายแปลกหน้า
นี่คือว่าที่สามีของนางหรอกรึ!
“คารวะท่านอาทั้งสองขอรับ ข้าน้อยหลิวมู่ฉวน” กล่าวจบก็แนะนำตัวเองทันที พลางส่งยิ้มให้สาวงามไปหนึ่งครั้ง แต่กลับได้ค้อนอันใหญ่กลับมาให้ทันที ฟางหรูหน้างอใส่ชายหนุ่มเมื่อเห็นว่าชายคนนี้สายตาแพรวพราวช่างเจ้าเล่ห์นัก ผิดกับข่าวลือที่นางได้ยินมา ดูเหมือนว่างานงอกเสียแล้ว
“ที่แท้ก็รองแม่ทัพหลิวเองนี่นา เชิญนั่งก่อน” เถ้าแก่เถากล่าวขึ้นมา เหวินซื่อนึกไม่ถึงว่าจะเป็นชายหนุ่มองอาจเช่นนี้ พลางสำรวจเบื้องต้นก็พอใจยิ่งนัก เห็นทีว่าลูกสาวของนางจะมีคนดูแลแล้ว ต่อไปนี้นางจะได้หมดห่วงเสียที
เหวินซื่อแม้จะเป็นเพียงแค่แม่เลี้ยง แต่รักและเอ็นดูลูกสาวคนนี้เหมือนกับเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ฟางหรูน่ารักและร่าเริงสนุกสนาน เป็นเด็กสดใสไม่คิดมาก อีกอย่างนางเป็นเด็กดีเชื่อฟังคำสอนสั่ง แต่ทว่าแอบดื้อเงียบ มีนิสัยประหลาดคล้ายกับเด็กผู้ชาย ดังนั้นจึงเข้ากันได้ดีกับจื่อหมิงลูกชายของนาง ทั้งสองคนเป็นพี่น้องที่รักใคร่กันกลมเกลียวกันนัก คนหนึ่งร้อง คนหนึ่งรับเสมอ
“หรูเอ๋อร์ คารวะท่านรองแม่ทัพเจ้าค่ะ” ฟางหรูรู้ว่าตนเองจะต้องทำเช่นไร ดังนั้นนางจึงไม่อาจทำให้ท่านพ่อและท่านแม่เสียหน้าเอาได้ ถึงจะไม่ชอบหน้าของอีกฝ่ายก็ตาม นึกไม่ถึงว่าตนเองจะเพลี่ยงพล้ำตอบตกลงแต่งงานไปแล้ว หากรู้เช่นนี้ขอปฏิเสธทีหลังจะได้หรือไม่นะ
“เรียกพี่มู่ฉวนก็ได้ พี่ไม่ถือ” ว่าแล้วพลางยักคิ้วหลิ่วตาเล็กน้อยใส่สาวงาม แต่ก็ถูกค้อนวงใหญ่ปามาให้อีกครั้ง ดูเหมือนว่านางจะไม่ชอบหน้าเขาแล้วสิเนี่ย ดูสนุกไม่น้อย คงจะต้องปราบพยศเด็กน้อยคนนี้ให้อยู่ในโอวาทแล้วกระมัง
เขาเป็นถึงรองแม่ทัพ ผู้คนต่างก็หวาดกลัวในความโหดเหี้ยมของเขา แต่ทว่าสาวงามกลับมีทีท่าไม่ละความ มิหวาดกลัวเขาสักนิด ยังคงตีสีหน้าราบเรียบ แต่แอบเบะปากใส่เขาเล็กน้อย นางช่างเป็นสตรีที่แสนแสบเสียจริง แบบนี้สิถูกใจใช่เลย เขาแย้มยิ้มอย่างถูกใจนัก
จู่ ๆ ก็มีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องรับรอง สีหน้าของเด็กคนนี้ดูจะมีแต่ความกังวลใจ ฝีเท้าของเขาเร่งรีบวิ่งเข้ามาจนคนด้านในหันมองเป็นตาเดียวกัน
“พี่ใหญ่เร็ว ๆ เข้า พวกอันธพาลกำลังทำร้ายเพื่อนของข้า” น้องชายตัวแสบไม่สนว่าจะมีใครพูดคุยกันอยู่ในห้องนี้ เขาออกไปได้เพียงแค่ครึ่งก้านธูปก็ก่อเรื่องขึ้นมาอีกจนได้ แล้วใครเล่าจะช่วยเหลือน้องชาย นอกเสียจากจะเป็นพี่ใหญ่ผู้เก่งกาจเรื่องของการต่อยตี
“อีกแล้วรึ! คนพวกนี้ ช่างไม่เข็ดเสียจริง ๆ ” ฟางหรูหลงลืมตนเอง เมื่อนึกได้จึงยิ้มเก้อเขิน “ขออภัยเจ้าค่ะท่านลุง หรูเอ๋อร์ขอตัวออกไปข้างนอกกับหมิงเอ๋อร์สักครู่นะเจ้าคะ” ว่าแล้วก็ไม่รอให้ใครออกปากอนุญาต น้องชายช่างมาได้จังหวะพอดิบพอดี เห็นทีว่าจะต้องให้รางวัลน้องชายเสียแล้ว
เพราะนางกำลังอึดอัดกับแววตาราวกับหมาป่าจะเขมือบลูกกวาง แต่นางไม่ใช่กวางน้อยเสียด้วย แต่เป็นกวางป่าที่ดุร้ายต่างหากเล่า
“พี่ใหญ่ หากชักช้า คนพวกนั้นคงจะต่อยตีเพื่อนของข้าตายไปแล้วกระมัง” เจ้าตัวแสบเร่งพี่สาวอย่างร้อนใจ กลัวว่าสหายรักจะถูกเจ้าอันธพาลต่อยตีจนสลบหมดสติไป จะมีใครกล้าท้าดวลเหมือนพี่สาวของเขาไม่มีอีกแล้ว ดังนั้นคิดว่าพี่สาวของตนจะต้องเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน เพราะบ่อยครั้งที่เขาต้องมาขอความช่วยเหลือจากพี่สาว ในเมื่อเขามันอ่อนแอเกินไป
พี่สาวผู้งดงามถูกกระชากลากออกจากเรือนด้วยน้ำมือของน้องชายที่ดึงข้อมือของพี่สาวอย่างเร่งรีบ จากนั้นพี่น้องคู่นี้ก็รีบวิ่งไปยังจุดเกิดเหตุ ดีที่ว่าไม่ได้ห่างจากจวนตระกูลเถามากมายนัก เพียงแค่ครู่ใหญ่สองพี่น้องก็วิ่งมาถึงแล้ว
“นั่น ๆ มันกำลังทำร้ายเพื่อนของข้า” จื่อหมิงชี้มือไปยังชายรูปร่างอวบอ้วน กำลังลงมือรังแกสหายรักอยู่ตรงนั้นพอดี หลักฐานคาตาเห็นชัดแจ๋วแจ่มแจ้ง ฟางหรูมองเห็นแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปห้ามปราบก่อน หากไม่ฟังนางยินดีที่จะประเคนส้นเท้าน้อย ๆ ให้พวกมันได้ลิ้มลองเสียหน่อย
“หยุดนะ นั่นจะทำอะไร ปล่อยเด็กคนนั้นซะไม่งั้นเจอดีแน่ ๆ!” สาวงามตวาดแผดเสียงอันเกรี้ยวกราด คล้ายกับว่าทรงพลังนัก ยกมือชี้ไปยังใบหน้าอันอวบอ้วนของอีกฝ่าย มุ่งหมายให้คนพวกนี้หวาดกลัว แต่ทว่าคนกลุ่มนี้ไม่หยุดลงมือ สายตาของพวกมันพุ่งเป้ามายังสาวงามส่งเสียงอู้อี้มาแต่ไกล
เมื่อสาวงามเดินมาใกล้ ๆ ได้เห็นโฉมงามชัด ๆ แบบนี้ก็ทำให้พวกมันยิ้มกรุ้มกริ่ม แววตาเย้ยหยัน เหยียดหยามยังส่งเสียงก้าวร้าวและคุกคามอีกด้วย “ดูสิวะ หน้าตาของพี่สาวเจ้าจื่อหมิง งดงามไม่เบา แถมยังเป็นคนต่างแคว้นอีกด้วย วันนี้ข้าจะจับสตรีผู้นั้นทำภรรยาเลย” ชายรูปร่างสูงใหญ่ อายุก็น่าจะมากกว่าน้องชายของฟางหรูหลายปี กล่าวขึ้นมา
สีหน้าชายรูปร่างอวบอ้วนดูแย้มยิ้มพลางเหยียดหยามและคุกคามฟางหรูไม่น้อย เมื่อเห็นสาวงามรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นเช่นนี้ มีหรือที่จะปล่อยนางไป ขืนใจนางจับนางเป็นภรรยาคงจะดีไม่น้อย ไหน ๆ นางก็เป็นลูกสาวเถ้าแก่เถาที่ร่ำรวยในเขตนี้ เขาจะได้เป็นลูกเขยเศรษฐีก็คราวนี้แหละ
ท่านรองแม่ทัพหลิวทะยานกายมา แต่ทว่าแอบมานั่งอยู่บนหลังคา อยากจะรู้นักว่า สาวงามของเขาจะช่วยเหลือน้องชายตนเองได้อย่างไร แต่ถ้าหากนางพลาดท่าเสียที เขาจะเป็นคนยื่นมือช่วยเหลือนางเอง เรื่องเล็ก ๆ เพียงเท่านี้ แค่กระบวนท่าเดียว พวกกลุ่มอันธพาลคงจะนอนสลบไปสามวันสามคืน
“นี่จื่อหมิง เจ้าคงต้องกลับไปนุ่งกระโปรงพี่สาวเจ้าแล้วกระมัง ถึงได้ตามนางมาช่วยแบบนี้” คนตัวโตพ่นคำพูดดูถูกไปให้เถาจื่อหมิงมักทำตัวอ่อนแอปวกเปียก ถึงขั้นต้องไปตามสตรีรูปร่างบอบบางให้ออกมาช่วยเช่นนี้ ช่างดูน่าขบขันนัก
แต่เปล่าหรอก เถาจื่อหมิงกลัวใบหน้าอันหล่อเหลาของตนจะฟกช้ำมีร่องรอยบาดเจ็บ เกรงว่าจะทำให้สตรีน้อยใหญ่เจ็บปวดใจที่เห็นใบหน้าอันงดงามราวกับเทพสวรรค์บาดเจ็บ นั่นเพราะเขากำลังหลงตัวเองว่าหล่อเหลาราวกับเทพสวรรค์
“ไม่ต้องไปสนใจพวกมัน จะพูดอะไรให้มันพูด เดี๋ยวพี่ใหญ่จะเลาะฟันหน้าของพวกมันออกมาให้เจ้าได้เห็นเป็นบุญตาเอง รออยู่ตรงนี้นะ” จะเรียกได้ว่า น้องข้าใครอย่าแตะ มิเช่นนั้นแล้วฟางหรูจะไม่อภัยคนพวกนี้อย่างเด็ดขาด
สิ้นคำพูดฟางหรูสะบัดรองเท้าไปกระแทกหนึ่งในหน้าพวกนั้น พวกมันหลบไม่ทัน ฟางหรูวิ่งเข้าใส่กระโดดเตะปากจนฟันหน้าของคนที่พ่นคำดูถูกน้องชายเมื่อครู่นี้ ฟันหน้ากระเด็นออกมาสองซี่อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ใบหน้าของเจ้าตัวอวบอ้วนนั้นสะบัดตามแรงฝ่าเท้าอย่างเต็มแรง จนฟันของมันกระเด็นออกมาในที่สุด
เจ้าคนตัวอวบอ้วนล้มลงนอนที่พื้น ร้องโอดโอยเสียงหลง มืออวบ ๆ กุมที่แก้มของตนเอง มองเห็นโลหิตไหลเต็มฝ่ามือก็ร้องโวยวายเสียยกใหญ่ ส่วนเถาจื่อหมิงกระโดดดีใจราวกับเด็กน้อยสี่ขวบปี เห็นพี่สาวล้มคนตัวโตราวกับดึงหัวผักกาดออกจากดิน ดูเหมือนจะช่างง่ายดายเกินไปแล้ว
ท่านรองแม่ทัพหลิวมองดูหญิงสาวและตกตะลึงนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพึมพำว่านางจะเก่งเกินไปแล้ว เพียงแค่กระโดดเตะปากของอีกฝ่ายจนฟันหน้ากระเด็นหลุดออกมา เขาเผลอกุมแก้มของตนเองเข้าให้อย่างไม่รู้ตัว เขาจะถูกนางทำร้ายแบบนี้หรือไม่นะ ช่างเป็นสตรีที่น่ากลัวไม่น้อย
หลิวมู่ฉวนยังคงดูต่อไป เห็นนางจับที่คอเสื้อของอีกคนหนึ่งที่ยืนตกตะลึงไม่ต่างกันกับเขา จากนั้นนางก็กระแทกด้วยเข่าเข้าให้ที่ปลายคางของอีกฝ่าย จนทำให้เจ้าหมอนั่นหลับกลางอากาศไปเลยทีเดียว
หลิวมู่ฉวนขนแขนลุกซู่กลืนน้ำลายลงคอทันที นางทำให้เขาแปลกใจนัก และนางดูน่าสนใจยิ่ง เขาชื่นชมความสามารถของคู่หมั้นสาวแสนสวย นางทำให้เขาอยากจะรู้จักนางให้มากขึ้น อยากจะพูดคุยกับนางให้มากขึ้น อีกทั้งยังอยากจะปราบม้าพยศเช่นนางด้วย นางดูท้าทายเขายิ่งนัก แบบนี้สิถึงจะคู่ควรเป็นภรรยาของรองแม่ทัพ
“พี่ใหญ่ พอแล้วเดี๋ยวพวกมันตาย” เถาจื่อหมิงเอ่ยห้ามขึ้นมา เมื่อครู่ตนเองยังดีใจกระโดดโลดเต้นอยู่เลย นึกไม่ถึงอึดใจเดียวก็เปลี่ยนท่าที เป็นสงสารฝ่ายตรงข้ามเสียแล้ว ที่เห็นเจ้าพวกอันธพาลนอนแอ้งแม้งไม่เป็นท่า
แต่ละคนนอนหลับไม่รู้เรื่อง อีกคนก็เลือดออกเต็มปาก เพราะถูกพี่สาวของเขาเตะเข้าให้ จากนั้นก็เตะท้องไปอีกครั้ง จนนอนแน่นิ่งเช่นนี้ พี่สาวของเขาช่างน่ากลัวยิ่งนัก
เกรงว่าหากแต่งงานออกเรือน สามีของนางก็คงจะไม่ต่างกับกระสอบทรายในจวนแน่ ๆ ยิ่งคิดยิ่งสงสารว่าที่พี่เขยของเขาเสียเหลือเกิน จะรับมือพี่สาวของเขาไหวหรือไม่นะ
ฟางหรูกล่าวขึ้นมา พลางยกมือขึ้นมาซับเหงื่อบนหน้าผากมนของตนเองไปสองครั้ง นางดูเย่อหยิ่งและยังดูผยองพองตัวข่มอีกฝ่ายเข้าให้ “เป็นไง เชื่อมือพี่ใหญ่หรือไม่ ข้าตัวเล็ก ๆ เพียงเท่านี้แต่กลับล้มคนตัวโตเช่นเจ้านั่นได้” แววตาของหญิงสาวช่างดูเย้ยหยันคู่ต่อสู้ยิ่งนัก
“พี่ใหญ่ของข้าเก่งที่สุด แต่ข้ากลัวว่า” จื่อหมิงเข้าไปพยุงสหายของตนเองที่บาดเจ็บ ประคองให้เขาอยู่ในท่าที่สบาย ฟางหรูเหลือบตามองน้องชายอย่างแปลกใจนัก เจ้าสหายคนนี้รูปร่างคล้ายสตรียิ่งนัก ทำให้นางอยากรู้จริงว่า เจ้าเด็กน้อยคนนี้เป็นลูหลานตระกูลใดกันแน่
“กลัวว่าอะไร” หญิงสาวเท้าเอวคล้ายดั่งแจกันหยกมีหู เมื่อครู่นางยังช่วยเจ้าน้องชายตัวแสบจัดการกลุ่มอันธพาล นึกไม่ถึงทำดีแล้วไม่ได้ดี เจ้าน้องชายตัวแสบจะต้องพูดอะไรไม่เข้าหูอีกเป็นแน่
“กลัวว่า ว่าที่พี่เขยหากเห็นท่านเป็นเช่นนี้เขาจะทำสีหน้าอย่างไร” จื่อหมิงกล่าวขึ้นมา หัวเราะเบา ๆ อีกด้วย ส่วนคนที่นั่งอยู่บนหลังคาก็ขำขันกับพี่น้องสองคนนี้เหลือเกิน เมื่อครู่ยังเห็นรักใคร่กันอยู่เลย เผลอครู่เดียวน้องชายก็พูดใส่ความเข้าให้อีกจนได้
ฟางหรูนึกไม่ผิด เจ้าน้องชายตัวดีปากสุนัขอีกแล้ว มันน่าจะฟาดปากสักทีสองทีให้เข็ดเสียจริง ดังนั้นนางจึงได้ส่งเสียงคำรามอันกึกก้องใส่ใบหูของน้องชายตัวแสบว่า “มันก็เรื่องของเขา จะมีสีหน้าเหมือนเห็นผี ข้าก็หาได้ใส่ใจไม่!”