บท
ตั้งค่า

บทที่2 ลางสังหรณ์ 1

บทที่2

ลางสังหรณ์

เจ้าชายรามีเลสทรงนิ่งสดับฟัง พระดำริเริ่มย้อนนึกถึงคำพูดของนางกำนัลคนหนึ่งที่พูดกับหัวหน้านางกำนัลมูซา ...และสายพระเนตรขององค์ราชินี ก่อให้เกิดความไม่ไว้วางพระทัยเกาะกุมในหทัย ...ด้วยสายเลือดแห่งขัตติยะที่เติบโตมาพร้อมภาระหน้าที่ที่รู้แน่ชัดว่าต้องทรงแบกรับปัญหาและชีวิตของราษฎรทั้งประเทศ ทำให้พระองค์ไม่มีโอกาสได้เล่นสนุกเหมือนเด็กคนอื่น ทุกวันต้องจบลงด้วยการท่องตำรา เขียนหนังสือ ดูดาวและฝึกอาวุธเพื่อความชำนาญ

ฟาโรห์อานิมมูเซตผู้เป็นพระบิดาเสด็จสวรรคตตั้งแต่พระองค์ยังทรงเจริญชันษาแค่3ชันษา ทำให้ไม่มีผู้สืบทอดบัลลังก์ทอง เนื่องด้วยฟาโรห์อานิมมูเซตไม่มีโอรสกับสนมคนอื่นอีกจะมีก็แต่ราชธิดาซึ่งอยู่ในวัยไม่เกิน10ชันษาเท่านั้น ราชินีอานิโฮเตปผู้เป็นพระมารดาจึงตัดสินพระทัยคัดเลือกชายหนุ่มที่เหมาะสมมาเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระนาง ซึ่งบุรุษผู้นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากวิเซียรขุนนางชั้นสูง ชื่ออิมฮูที่ได้จับผลัดจับผลูนั่งบนบัลลังก์ ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนพระนามโดยเพิ่มคำว่าเทปลงหลังพระนาม

ต่อมาไม่นานพระราชินีอานิโฮเตปก็ทรงสิ้นพระชนม์อีกองค์ เนื่องจากทรงประชวรเรื่อยมานับตั้งแต่พระสวามีสวรรคต บางคนจึงเล่าลือกันว่าพระนางทรงตรอมพระทัยจนสิ้นพระชนม์ตามพระสวามีอานิมมูเซต

ส่วนฟาโรห์อิมฮูเทปได้ทรงเกษมสำราญกับพระสนมทั้งหลายเช่นเก่าโดยไม่ได้มีทีท่าจะเศร้าเสียพระทัยกับการจากไปขององค์ราชินีอานิโฮเตปเลยแม้แต่น้อย

ฟาโรห์อิมฮูเทปทรงปกครองราชย์ด้วยความขลาดและเขลา มีกษัตริย์ไว้เป็นแค่เครื่องประดับหัวโขน ยามรบ พระองค์ก็กลัวการสิ้นพระชนม์ในสงครามเกินกว่าจะนำทัพเหล่าทหารออกสู้ศึกได้ด้วยตัวพระองค์เอง นอกจากจะให้แม่ทัพฝีมือดีคุมทหารไปรบเท่านั้น หารู้ไม่ว่า…ทหารเมื่อขาดเจ้าอยู่หัวก็เหมือนตะขาบไร้หัว กำลังใจพลอยหดหายไปไม่น้อย แม้แต่กลยุทธิ์เล่ห์กลในเชิงรบและล่อหลอกศัตรูพระองค์ก็ไม่มีเลยสักนิดเพราะไม่ได้ให้ความสนพระทัยกับบ้านเมือง ชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรและงานราชการไปมากกว่าการเริงรักกับเหล่านางสนมนับร้อยที่พระองค์มี

แต่นับว่าสุริยเทพรา (เทพเจ้าที่สูงสุดในสรวงสวรรค์ เป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์และท้องฟ้า ถือกำเนิดมาจากดอกบัว เป็นผู้สร้างเทพเจ้าทุกพระองค์และสร้างมนุษย์ในโลก สุริยเทพราจะมีพระเศียรเป็นเหยี่ยว) ยังไม่โหดร้ายกับชาวอียิปต์มากนักเพราะยังมีเจ้าชายรามีเลสที่สนพระทัยทุกอย่างที่เกี่ยวกับผืนแผ่นทรายร้อนระอุที่พระองค์ทรงเหยียบใต้ฝ่าพระบาทไว้

เพียง14ชันษา พระองค์ก็สามารถคิดแผนการตีเมืองต่างๆได้อย่างชาญฉลาด และเมื่อชันษาเพียง16ชันษาพระองค์ก็ออกรบเป็นแม่ทัพใหญ่ปลุกเร้ากำลังใจนายทหารออกสู้รบด้วยความปรีชาจนอียิปต์รุ่งเรืองและแผ่บารมีไปไกล....ภายใต้พระนามของอิมฮูเทปฟาโรห์ผู้ครอบครองบัลลังก์...และไม่นานสิ่งที่เจ้าชายรามีเลสทรงหวั่นพระทัยมากที่สุดก็มาถึงเมื่อฟาโรห์อิมฮูเทป รับสนมเอกพระนามว่าฟาริอามุนซึ่งเป็นบุตรีของขุนนางขึ้นเป็นราชินี...ราชินีที่ต่อให้ทอดพระเนตรอย่างไรก็หาความจริงใจไม่มี ยามประทับเคียงฟาโรห์อิมฮูเทป พระนางก็คอยแต่จับจ้องมองเจ้าชายรามีเลสจนพระองค์รู้สึกไม่ชอบพระทัยกับทีท่าสนพระองค์อย่างเปิดเผยของราชินีองค์ใหม่ ด้วยว่าฟาโรห์อิมฮูเทปทรงมีโอรสกับสนมอีกคนซึ่งมีชันษาได้10ชันษาแล้ว พระองค์จึงเกรงว่าแผ่นดินอียิปต์จะตกไปอยู่ในหัตถ์ของโอรสฟาโรห์อิมฮูเทปที่มีพระนามว่าเจ้าชายอัสฮัดเซป ถึงแม้อียิปต์จะต้องเป็นของพระองค์ตามกฎก็ตาม แต่ขึ้นชื่อว่าอำนาจซึ่งเป็นเหมือนขนมหวานที่น่าลิ้มรสแล้วคงไม่มีใครคิดจะทิ้งมันไปง่ายๆทั้งๆที่อยู่ในอุ้งหัตถ์แล้วหรอก ฟาโรห์คือผู้ที่อยู่เหนือกฎหมาย...

เห็นได้ชัดเลยว่าฟาโรห์อิมฮูเทปตั้งพระทัยจะให้เจ้าชายอัสฮัดเซปขึ้นครองแผ่นดินอียิปต์...ถึงจะยังไม่ได้ประกาศเจตจำนงแน่ชัด แต่ทุกคนที่อยู่ในวังล้วนรู้ดี...เหล่านักบวชพากันแยกตนเป็นสองฝักฝ่าย ในขณะที่นักบวชรุ่นเก่าต้องการให้เจ้าชายรามีเลสขึ้นครองราชย์ตามเดิมที่พระองค์มีสิทธิ์ ทว่านักบวชรุ่นใหม่อีกจำพวกหนึ่งกลับสนับสนุนเจ้าชายอัสฮัดเซปครองบัลลังก์ แม้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังความรุ่งเรืองบารมีแห่งอียิปต์จะมาจากเจ้าชายรามีเลสผู้ที่เป็นเงาอยู่หลังบัลลังก์ก็ตาม...

สิ่งนี้ทำให้เจ้าชายรามีเลสเก็บมาครุ่นคิดว่าทำไมเจ้านักบวชที่อ้างตนว่าเป็นพวกหัวใหม่คิดจะไม่ทำตามกฎมนเฑียรบาลดั้งเดิม จะให้เจ้าชายหัวอ่อนและขี้ขลาดเหมือนผู้เป็นบิดาขึ้นครองแผ่นดิน มันจะมีเหตุผลอะไร..นอกจากพวกมันคิดก่อการกบฏ!!!

ถึงจะยังทรงไม่แน่พระทัยสักเท่าไหร่ แต่ความหวาดระแวงที่เกาะกุมหทัยบวกกับความไม่ไว้วางพระทัยใครทั้งสิ้นทำให้พระองค์ทรงระมัดระวังทุกย่างก้าวและส่งนางกำนัลเมซาที่รับใช้อยู่ตำหนักของพระองค์เข้าไปถวายการรับใช้ที่ตำหนักอันยะห์ขององค์ราชินีฟาริอามุน

ความที่รับใช้ราชินีฟาริอามุนมานาน จนในที่สุดราชินีก็มีความไว้วางพระทัยในนางกำนัลของพระองค์โดยไม่ได้คิดระแคะระคายเลยแม้แต่น้อยว่าเมซาคือคนของเจ้าชายรามีเลส

“พระองค์จะทรงประสงค์อย่างไรพระเจ้าค่ะ...จะให้นางเมซาพบเวลานี้...หรือจะทรงผัดผ่อนไปก่อน” เสียงของฟาเซียสดึงพระองค์ให้ออกจากห้วงพระดำริ

“เจ้าไปบอกให้นางมาพบข้าที่ราชวังหลวงด้านหลัง”

“พะยะค่ะ”

ลับร่างขององครักษ์แล้ว เจ้าชายรามีเลสก็ได้แต่ทอดถอนพระปัสสาสะ(ถอนหายใจ)ก่อนจะดำเนินออกนอกตำหนักด้านหลังอย่างเงียบเชียบ

“ไหนล่ะนางเมซา เรื่องที่เจ้าอยากเล่าให้ข้าฟัง”

เมซาก้มหน้าต่ำ ไม่กล้าเหลือบมองไปยังเจ้าของสุรเสียงเข้มที่แฝงวรกายเร้นอยู่ในเงามืดของแมกไม้ประกอบกับภูษาสีดำกลมกลืนกับความมืดมิดแห่งรัตติกาลยิ่งทำให้พระองค์ดูเหมือนภูติร้ายในเงามืดที่จ้องจะขย้ำผู้เคราะห์ร้ายอยู่ทุกเมื่อ…

“เมื่อหลายยามก่อน ยามเทพเรหยุดทำหน้าที่ องค์ราชินีฟาริอามุนทรงเสด็จลงสู่สระสรงเพื่อชำระวรกาย หม่อมฉันมีหน้าที่ถือเครื่องอิสริยาภรณ์ภายในห้องสรงแต่แล้วองค์ราชินีกลับมีรับสั่งประหลาด...คือทรงรับสั่งให้พวกกำนัลออกจากห้องสรงให้หมด”

นางกำนัลเมซาหยุดพูดไปเฉยๆอย่างอึกอัก แต่พอเงยหน้าขึ้นมองเห็นดวงเนตรที่เห็นวาวแววอยู่ในเงามืด ก็รีบปากคอสั่นกราบทูลต่อทันที

“เมื่อหม่อมฉันและนางกำนัลคนอื่นๆออกมาแล้ว ก็ได้แต่ยืนรอว่าเมื่อไหร่องค์ราชินีจะมีรับสั่งให้พวกหม่อมฉันเข้าไปถวายการแต่งองค์ให้ที่นอกห้องสรง บังเอิญเหลือเกินที่หม่อมฉันลืมกำไลผูกข้อพระหัตถ์ราชินี หม่อมฉันจึงจะกลับไปเอา...แต่ระหว่างที่ออกจากตำหนักขององค์ราชินีแล้ว เดินผ่านช่องพระแกลของห้องสรงองค์ราชินีที่ปิดไม่สนิท มีเสียงดังลอดออกมา ไม่ดังเท่าไหร่แต่พอจะจับใจความได้”

เมซาเงียบไปเมื่อเล่าถึงตรงนี้ เล่นเอาฟาเซียสที่ยืนฟังอยู่เงียบๆไม่ห่างชักจะอารมณ์เสีย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel