บทที่2 ลางสังหรณ์ 2
“เมซา เจ้ารู้เห็นอะไรมาก็รีบกราบทูลให้จบเสียสิ ยืนอ้ำอึ้งเช่นนี้หรือเจ้าอยากคอขาด” ฟาเซียสแกล้งดึงดาบออกจากฝักเล่นๆเพื่อกระตุ้นให้นางกำนัลขี้ขลาดยอมเล่าออกมาให้หมดเปลือก
“ทะ...ท่านฟาเซียส” เมซาเหงื่อตกและดูจะยิ่งกลัวจนลนลานมากยิ่งขึ้น
“ฟาเซียส” สุรเสียงเข้มเรียกชื่อองครักษ์หนุ่มหนักๆเป็นเชิงเตือนก่อนจะตรัสขึ้นมาสุรเสียงเรียบเช่นที่เคยเป็นมา
“เมซา เจ้าไม่ต้องกลัวข้าและฟาเซียส หากเจ้ารู้อะไรจงบอกข้ามาเถอะ”
เมซากัดริมฝีปากของตัวเองแน่น สีหน้าแทบเป็นสีขาวเผือดอย่างหวาดกลัว
“ยังนิ่งอยู่อีกนางกำนัลเมซา เจ้าชายรามีเลสสั่งเจ้าว่าอย่างไรไม่ได้ยินหรือ?” ฟาเซียสพูดเสียงเข้มเลียนแบบเจ้าชายรามีเลสอย่างรู้สึกสนุกที่ได้ข่มคนอื่นให้หวาดกลัวได้เล่นๆ
แต่แล้วโดยที่ไม่มีใครคาดคิด นางเมซารีบทิ้งตัวทรุดลงกับพื้นแทบพระบาทเจ้าชายรามีเลสพร้อมตัวสั่นงันงกราวจะจับไข้
“อภัยให้หม่อมฉันด้วยพระองค์”
“ได้โปรดอย่าทรงประหารหม่อมฉัน”
“หากพระองค์จะรับสั่งเฆี่ยนหม่อมฉัน...ยังดีกว่าที่พระองค์จะบั่นคอ เพราะบุตรหม่อมฉันยังเล็กนัก ได้โปรดประทานความเมตตาให้แก่เด็กบริสุทธิ์ด้วยเถิดพระองค์” เมซาแนบหน้าผากลงกับพื้นดิน น้ำตาไหลเต็มสองแก้มด้วยรู้ดีว่าคำตัดสินของเจ้าชายคือประกาศิตที่จะสั่งให้ใครอยู่หรือตาย และการฝ่าฝืนกฎของพระราชวังยิ่งเป็นเรื่องที่เกินกว่าจะให้อภัยได้
“นางเมซาเจ้าพูดอะไรของเจ้า” ฟาเซียสขมวดคิ้วมุ่นพร้อมดุนางกำนัลสาวเบาๆ ด้วยความเกรงพระทัยเจ้าชายที่ต้องมาประทับยืนที่มืดๆฟังข่าวจากนางกำนัลที่ตั้งท่าจะเสียสติขึ้นมาถึงได้ร้องห่มร้องไห้ฟูมฟายเช่นนี้
“หากเจ้าไม่หยุดร้อง...เจ้าชายรามีเลสทรงกริ้วขึ้นมาเจ้าจะคอขาดนางเมซา” ฟาเซียสใช้วิธีการขู่ที่ตัวเองถนัดทันที แต่แล้วก็ต้องหน้าสลดลงเมื่อเจ้าชายรามีเลสกลับตรัสสวนคำขึ้นมาอย่างเหลืออด
“เจ้าจะไปขู่ให้นางกลัวข้าเพิ่มทำไมกันฟาเซียส หากถึงรุ่งอรุณข้ายังไม่ได้รับการบอกเล่าจากเมซา เจ้านั่นแหละจะเป็นคนแรกที่ข้าจะตัดหัว”
“เอาล่ะเจ้าจงบอกความผิดพร้อมกับเรื่องที่เจ้าต้องการจะบอกข้ามาให้หมด...แล้วข้าสัญญาว่าจะไม่บั่นคอเจ้า” เจ้าชายรามีเลสหันมาตรัสปลอบนางกำนัล พลางครุ่นคิดในหทัยว่าหากเรื่องที่นางกำนัลเมซาเล่าให้พระองค์ฟังจะเกี่ยวข้องกับราชินีฟาริอามุน แสดงว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญต่อบัลลังก์เป็นแน่ คำพูดเกี่ยวกับพิษงูเห่าลอยล่องเข้ามาในเศียรอีกครั้ง จนกระวนกระวายพระทัยด้วยแรงสังหรณ์
พอได้ฟังคำมั่นว่าจะไม่ตวัดดาบในหัตถ์ประหารนาง เมซาก็เริ่มโล่งใจแต่ยังมิวายจะระแวงอยู่ดี เจ้าชายรามีเลสอ่านสายตานั้นออกจึงตรัสออกมาสั้นๆให้นางเบาใจ
“ข้ามีสายเลือดแห่งขัตติยะอยู่ในกายเช่นกัน ไม่มีวันที่ข้าจะตะบัดสัตย์”
“คือ...หม่อมฉัน” เมซาอ้ำๆอึ้งๆพลางหลุบเปลือกตาลงต่ำ
“หม่อมฉัน...ได้ยินเสียงของบุรุษเพศดังมาจากสระสรงขององค์ราชินีเพคะ”
ได้ฟังประโยคนี้เข้าไป เนตรคมก็ฉายประกายแข็งกร้าวขึ้นชั่ววูบก่อนจางหายไป
“และหม่อมฉันก็กระทำผิดกฎโดยการแอบมองทางช่องพระแกล(หน้าต่าง)เพคะ” เมซากลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ พูดต่อไปเสียงปร่า “หม่อมฉันรู้ดีว่าการทำเช่นนี้เป็นสิ่งมิบังควร.....”
และก่อนที่นางกำนัลจะคร่ำครวญถึงความผิดตัวเองมากไปกว่านี้ เจ้าชายรามีเลสก็ชิงตัดบทเสียก่อน
“แล้วยังไง...เจ้าเห็นอะไรในห้องสรงบ้าง”
“หม่อมฉัน...เห็นองค์ราชินีกำลังเริงรักกับชายชู้เพคะ” สิ้นเสียงของนางกำนัลก็บังเกิดความเงียบขึ้นชั่วอึดใจก่อนที่ฟาเซียสจะพูดโพล่งขึ้นมา
“นางเมซา...เจ้ากำลังดูหมิ่นองค์ราชินีนะ”
“ชายชู้ที่เจ้าเห็นคือใคร” เจ้าชายรามีเลสตรัสถาม แต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบ ลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งมาปักที่คอของนางกำนัลเมซาอย่างรวดเร็วจนพระองค์เองยังตกตะลึง
“กรี๊ดด” เมซาร้องออกมาสั้นๆก่อนจะเงียบเสียงลงใบหน้ากระแทกพื้นดินอย่างแรงราวและขาดลมหายใจที่จะต่อชีวิต
“นั่นใคร” ฟาเซียสโผนทะยานไปยังพุ่มไม้หนาทึบซึ่งเป็นที่มาของลูกธนูปริศนาทันที
เงาดำเงาหนึ่งลุกขึ้นพรวดพราดจากหลังพุ่มไม้ที่เร้นกายเตรียมจะวิ่งหนี แต่ก็ยังไม่ทันกริชเล่มเล็กสีเงินที่พุ่งเข้าปักคอมือสังหารนางกำนัลเข้าจุดอย่างแม่นยำราวจับวาง
“อ๊ากกกกกกก” มันร้องโหยหวนก่อนที่ร่างจะกระตุกเฮือกล้มลงสิ้นลมอย่างหมดท่า
ฟาเซียสชะงักฝีเท้าตัวเอง พร้อมกับหันไปมองเจ้าของกริชที่ยืนพักตร์ตึงอยู่ในเงามืดเช่นเดิม
“ช้า...เป็นอูฐเหมือนเดิมไม่มีผิดเลยนะฟาเซียส” สุรเสียงนิ่งฟังดูราวจะประชดประชันอย่างไรบอกไม่ถูกยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดที่ไม่อาจทำงานได้รวดเร็วทั้งๆที่เป็นถึงองครักษ์แท้ๆ
“เจ้าจะยืนนิ่งอยู่แบบนั้นอีกนานไหมฟาเซียส...รีบมาดูนางเมซาสิ”
ฟาเซียสรีบเดินไปทรุดลงนั่งใช้ข้อนิ้วแตะที่ชีพจร แล้วหันไปพูดกับบุรุษสูงศักดิ์ที่ประทับยืนคอยคำตอบอยู่ “นางสิ้นชีวิตแล้วพะยะค่ะ”
พักตร์ที่ถูกซ่อนเร้นไว้ใต้ผ้าสีดำสลดลงยามเมื่อพยักพักตร์รับราวกับรู้คำตอบอยู่แล้วว่านางเมซาคงไม่รอด
“นางเมซาบอกว่านางมีบุตรอยู่ เจ้าจงไปรับบุตรของนางเข้ามาอยู่ในวัง” เจ้าชายรามีเลสตรัสบอกองครักษ์ขรึมๆ ภายนอกดูเย็นชา แต่ภายในกลับร้อนรุ่มอย่างแสนเสียดายกับข้อมูลที่เกือบจะได้รับรู้
ทั้งๆที่พระองค์เกือบจะรู้อยู่แล้วเชียวว่าราชินีฟาริอามุนกำลังจะทรงทำอะไร...เรื่องที่คบชายชู้ที่นางเมซาเล่าคงจะเป็นเรื่องจริงแน่ๆ ถ้าไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกลอบฆ่าตอนที่กำลังจะเปิดปากเล่า'ความลับ'เช่นนี้หรอก เจ้าชายรามีเลสถอนพระปัสสาสะอย่างกลัดกลุ้ม
ส่วนฟาเซียสที่เดินไปดูศพของมือสังหารที่จบชีวิตลงด้วยกริชของเจ้าชายรามีเลสก็ตะโกนลั่นออกมาจนเจ้าชายแทบสะดุ้งกับเสียงแปดหลอดของเจ้าองครักษ์
“เฮ้ย !!”
“เบาๆหน่อยสิเจ้าฟาเซียส อยากให้คนทั้งวังแตกตื่นกันหรือไง”