บทที่ 4 ชะตาชีวิตที่เปลี่ยนไป
บทที่ 4
ชะตาชีวิตที่เปลี่ยนไป
ซ่งลี่หมิงกอดร่างของน้องสาวเอาไว้แนบอก มือทั้งสองข้างสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว แต่นัยน์ตากลับแข็งกร้าวแดงก่ำด้วยความเคียดแค้น ฟันกระทบกันกึกๆ ด้วยพยายามไม่ส่งเสียงร้องออกมาเพื่อให้คนข้างบนได้ยิน ทุกเหตุการณ์ในห้องนั้น เขากับซ่งฮุ่ยหลิงได้ยินทั้งหมด แม้จะไม่เห็นเหตุการณ์ข้างบน แต่จากเสียงที่ได้ยินพวกเขาสองพี่น้องก็สามารถรับรู้ได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง
มือเล็กของซ่งฮุ่ยหลิงยกขึ้นมาปิดปากตนเองแน่นเพื่อไม่ให้เสียงร้องไห้เล็ดลอดออกไป ให้พวกคนชั่วช้าได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของนางกับพี่ชาย เด็กหญิงที่อายุได้เพียงเจ็ดหนาวกลับต้องมารับรู้เรื่องราวโหดร้ายในค่ำคืนนี้ บาดแผลใหญ่ได้สลักลึกเข้าไปในจิตใจของเด็กน้อย ความโกรธแค้นชิงชังสลักลึกกลางหัวใจ จดจำชื่อของคนที่ทำให้บิดาและมารดาต้องตาย
‘ซ่งเจียวซิ่ง’ ท่านอาผู้ที่ดูใจดีกับนางเสมอมา ‘นายท่านเย่’ บุคคลปริศนาที่นางรู้เพียงชื่อของเขา แต่นางนั้นจดจำน้ำเสียงของเขาได้อย่างชัดเจน รอก่อนเถิดพวกคนชั่ว ข้าจะต้องกลับมาทวงหนี้แค้นทั้งหมดที่พวกเจ้าได้ทำกับครอบครัวของข้าเอาไว้ จะสิบปียี่สิบปีความแค้นนี้ข้าจะต้องหาทางชำระคืนพวกเจ้าให้จงได้!!
ซ่งลี่หมิงประคองร่างเล็กของน้องสาวลุกขึ้นยืน แล้วเริ่มออกเดินทางไปตามทางเดินที่ทอดยาว โดยที่พวกเขาสองคนไม่รู้เลยว่าเส้นทางนี้จะสิ้นสุดลงที่ตรงไหน และจะไปโผล่ตรงส่วนไหนของเมืองเว่ย เวลาล่วงเลยผ่านไปกว่าสองชั่วยามในที่สุดพวกเขาก็พบบานประตูที่ปลายทางของอุโมงค์
เด็กชายก้าวเดินไปข้างหน้าใช้มือสองข้างผลักบานประตูออกไป แสงแรกแห่งรุ่งอรุณสาดเข้ามากระทบกับใบหน้าเศร้าหมองของเขา มือเล็กยกขึ้นมาบังหน้าเอาไว้ ดวงตาที่มองเห็นเพียงเงาลางเลือนของความมืดมิดในอุโมงค์พร่าเลือนไปชั่วขณะเมื่อโดนแสงจ้าของดวงอาทิตย์กระทบลงมา
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย กะพริบตาถี่ๆ เพื่อให้รูม่านตาชินกับแสงสว่าง เมื่อเพ่งพินิจดูจึงได้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้คือส่วนหนึ่งของบ้านไม้หลังหนึ่งที่บิดาเคยพาเขามาเยือนหลายครั้ง บ้านไม้หลังนี้ตั้งอยู่ที่นอกกำแพงเมืองเว่ย ซ่งลี่หมิงหันหลังไปจูงมือของซ่งฮุ่ยหลิงแล้วพากันเดินออกมา เมื่อปิดประตูไว้ดั่งเดิมเขาก็เอาพรมมาปิดทับไว้ เพื่อพรางสายตาของผู้อื่น
“หลิงเอ๋อร์ที่นี่คือบ้านพักของท่านพ่อ เราเปลี่ยนชุดกันก่อนเถิด พี่จำได้ว่าท่านพ่อเคยซื้อชุดมาเก็บไว้ที่นี่”
เด็กชายคิดอย่างรอบคอบ ตอนนี้พวกเขาทั้งสองแต่งตัวด้วยชุดนอน หากออกไปข้างนอกด้วยชุดนี้จะดูแปลกประหลาดเกินไป
เด็กชายเดินไปที่ห้องแห่งหนึ่ง ค้นดูหีบไม้จึงพบชุดธรรมดาที่มีขนาดของเขากับซ่งฮุ่ยหลิงกว่าสิบชุด ข้างใต้หีบยังมีถุงเงินอีกถุงใหญ่ เครื่องประดับล้ำค่าอีกสิบกว่าชิ้น หากไม่เกรงกลัวว่าจะต้องหนีไปให้ไกลจากเมืองเว่ย เขากับน้องสาวก็สามารถใช้ชีวิตที่บ้านไม้หลังนี้ได้อย่างสุขสบาย แต่ความเป็นจริงกลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ชีวิตของเขากับหลิงเอ๋อร์ยังไม่ปลอดภัยนัก
“หลิงเอ๋อร์เปลี่ยนชุดก่อน เดินเท้าอีกครึ่งชั่วยามจะมีจุดพักม้า เราค่อยขอขึ้นรถม้าโดยสารไปเมืองหลวงต่อไป” เด็กชายเข้ามานั่งข้างน้องสาว ส่งชุดให้นางเข้าไปเปลี่ยนในห้อง
“พี่ใหญ่ ข้ากลัวเจ้าค่ะ คนพวกนั้นจะมา…ฆ่าพวกเราหรือไม่เจ้าคะ” เสียงเล็กเอ่ยถามขึ้นด้วยความหวาดกลัว เนื้อตัวสั่นเทาดั่งลูกนกโดนหยาดฝน
“ไม่ต้องกลัวมีพี่อยู่จะไม่มีใครทำอันตรายเจ้าได้” เด็กชายเอ่ยปลอบ พลางยกมือขึ้นไปลูบหัวน้องสาวอย่างทะนุถนอม
“ฮือฮือ…จริงนะเจ้าคะ พี่ใหญ่ต้องปกป้องข้านะเจ้าคะ”
ซ่งฮุ่ยหลิงร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน นางเข้าไปหาอ้อมกอดของพี่ชายอย่างต้องการหาที่พักพิง แต่นี้ต่อไปจะมีเพียงนางกับพี่ชายเท่านั้น
“พี่จะปกป้องเจ้าด้วยชีวิตเอง” ซ่งลี่หมิงให้คำสัญญา เขากอดตอบน้องสาวเพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นให้กับนาง
ซ่งลี่หมิงกับซ่งฮุ่ยหลินเปลี่ยนชุดเป็นเพียงชุดสีพื้นเนื้อหยาบ เพื่อไม่ให้เตะตาคนมากนักด้วยทั้งสองยังดูเด็กเกินไป การที่ต้องเดินทางไกลเพียงสองคนนั้นดูจะสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่พบเห็น และอาจจะล่วงรู้ไปถึงหูของพวกคนชั่วนั่นได้ ซ่งลี่หมิงจึงได้ซักซ้อมกับน้องสาวว่านับแต่นี้ต่อไป ตัวเขาจะมีชื่อเพียง ‘อาหมิง’ ผู้เป็นพี่ชาย และซ่งฮุ่ยหลิงจะใช้ชื่อว่า ‘อาหลิง’ ทั้งสองนั้นมาจากหมู่บ้านเหอที่อยู่ติดชายทะเลใต้ โดยพ่อแม่ทั้งสองนั้นได้ตายไปแล้วเพราะโจรป่า จึงได้พากันเดินทางเพื่อไปหาญาติที่เมืองหลวง ซึ่งญาติจะส่งคนมารับยังเมืองท่าที่อยู่ไม่ห่างจากเมืองหลวงเพียงห้าสิบลี้เท่านั้น
ทั้งสองใช้เวลาเดินทางกว่าหนึ่งชั่วยามถึงได้มาถึงยังจุดพักรถม้า เนื่องจากอาหมิงเกรงว่าจะพบคนของซ่งเจียวซิ่ง จึงได้เดินหลบเส้นทางสายหลัก ใช้วิธีเดินลัดเลาะตามป่าเขา โดยสังเกตถนนเส้นหลักเอาไว้ อาหมิงว่าจ้างรถม้าหนึ่งคัน คนขับรถม้าเป็นชายวัยกลางคน ใบหน้าระบายยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน มองดูเป็นชายท่าทางใจดี
อาหมิงว่าจ้างให้เขาไปส่งยังเมืองรั่ว ซึ่งใช้เวลากว่าสิบวัน และเขาจะต้องจ้างรถม้าอีกต่อหนึ่งเพื่อไปลงเมืองท่า แล้วถึงจะได้เดินทางไปยังเมืองหลวงได้ ตลอดระยะเวลาเกือบเจ็ดวันนั้น อาหมิงกับอาหลิงเริ่มจะคุ้นเคยกับชายคนขับรถม้า ทราบชื่อในภายหลังว่า ‘จางกุ้ย’
“ท่านลุงจางอีกนานไหมเจ้าคะกว่าจะถึงเมืองรั่ว”
เสียงเล็กเอ่ยถามด้วยความสงสัย นางนั่งบนรถม้ามานานกว่าเจ็ดวันแล้ว รู้สึกอ่อนเพลียไม่น้อย รถม้ากลางเก่ากลางใหม่ ข้างในมีเพียงผ้าปูพื้นไว้เท่านั้น ทั้งความโคลงเคลงของตัวรถม้า และนั่งไม่สบาย จึงทำให้เด็กน้อยรู้สึกไม่ดีนัก
“ข้ามภูเขาลูกนี้ไปก็จะถึงเมืองรั่วแล้ว” จางกุ้ยเอี๊ยวตัวหันกลับมาเอ่ยตอบเด็กหญิงเสียงดัง
เมื่อเขาผินหน้ากับมามองทางข้างหน้า แล้วบังคับรถม้าให้เร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อย จากใบหน้าที่ดูใจดีกลับแปรเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้มร้ายออกมา
จางกุ้ยบังคับรถม้าจนมาหยุดที่กระท่อมเก่าหลังหนึ่งที่อยู่ระหว่างทาง คล้ายเป็นที่พักของชาวบ้านหรืออาจจะเป็นที่พักของนักเดินทาง รถม้าถูกบังคับให้หยุดลง จากนั้นจางกุ้ยกระโดดลงมาจากรถม้า แล้วเดินตรงเข้ามาเปิดผ้าม่านรถม้าออก
“อาหมิงอาหลิงพักที่นี่ก่อนเถิด”
“แต่ฟ้ายังไม่มืดเลยนะขอรับ”
อาหมิงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ สถานที่แห่งนี้หรือที่จะหยุดพักค้างคืนได้ ชั่วครู่ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็ฉายแววเคร่งเครียดขึ้นมา ก่อนจะปรับเป็นรอยยิ้มออกมา
“หากเดินทางต่อจะอันตราย หยุดพักที่นี่ก่อนจะดีกว่า” จางกุ้ยเอ่ยเหตุผลเพื่อโน้มน้ามอาหมิง เขารู้ดีว่าเด็กคนนี้ฉลาดนัก
“เช่นนั้นเดี๋ยวข้าอุ้มอาหลิงลงไปเองขอรับ ท่านลุงจางเดินล่วงหน้าไปก่อนเลยขอรับ” อาหมิงยอมเอ่ยตกลง เขาผลุบหายเข้าไปข้างในรถม้าแล้วกระซิบบอกความกับอาหลิง
“อาหลิงฟังคำพี่ อย่าได้อยู่ห่างจากพี่โดยเด็ดขาด เกาะรถม้าเอาไว้ให้แน่น เราเสียรู้ให้คนชั่วเสียแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
อาหลิงรับคำ นัยน์ตาของเด็กหญิงทอประกายหวาดกลัวออกมาชั่วครู่ แล้วเลือนหายไป ทิ้งไว้เพียงความเชื่อมั่นในตัวของพี่ชายเท่านั้น