7. กลัวอะไรกันแน่
รถม้าเคลื่อนกลับจวน ช้าๆ แต่คนที่เอ่ยปากว่าสตรีในอ้อมแขนหนักก็ยังมิปล่อยอีกฝ่ายลง แม่ทัพหนุ่มยังคงอุ้มนางไว้เช่นนั้นราวกับเด็กน้อยก็ไม่ปาน เป็นเพราะไข่มุกตัวเล็กผอมเพรียวและมีส่วนสูงแค่ไหล่คนอุ้มเท่านั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทรวดทรงอะไร เพียงแต่มันถูกซ่อนไว้ใต้ชุดสีขาวนี้มากกว่า และดูเหมือนบางคนจะฉวยโอกาสสำรวจเสียดื้อๆ เพราะเห็นอีกคนหลับลึกไม่ยอมตื่น
“หึ! หากไม่ใช่ข้าเจ้าคงได้ตื่นมาบนเตียงของบุรุษแปลกหน้าไปแล้ว ยามที่อยู่ในแดนของเจ้าจะเป็นเช่นนี้หรือไม่”
จู่ๆ เฉินตูก็เอ่ยน้ำคำสื่อถึงความเป็นห่วงออกมา และนั้นก็ทำให้คนด้านนอกอย่างตงเร่อและหยางรุ่ยได้ยิน
“เจ้าว่า” หยางรุ่ยตั้งใจจะเอ่ยกับสหาย แต่ตงเร่อกลับยกนิ้วส่งสัญญาณว่าอย่าพูดเสียก่อน
เพราะรู้ดีว่าหากเอ่ยสิ่งใดไปท่านแม่ทัพต้องได้ยินแน่ และนั่นอาจทำให้ถูกทำโทษได้ ทั้งคู่จึงเงียบไปจนกระทั่งมาถึงจวน ก็ยังเห็นการกระทำของผู้เป็นนายเช่นเดิม คือการอุ้มเอาคนที่ยังหลับอยู่เข้าจวนไปจนถึงห้องนอน
“เกิดอะไรขึ้นกับน้องกันเฉินตู”
“ท่านแม่นางแค่หลับ ออกไปคุยข้างนอกเถอะ”
หลังจากที่วางคนตัวเล็กลงเตียงกว้างแล้ว แม่ทัพหนุ่มก็จูงมือมารดาออกมาจากห้อง นายหญิงหลิวเมื่อได้ยินว่าหมิงจูแค่หลับไปเท่านั้นก็เบาใจ
“พวกเจ้าดูแลนางให้ดี ตงเร่อหาคนมาเฝ้าเรือนหลัง โดยเฉพาะประตูทางออก”
แม่ทัพหนุ่มออกคำสั่งที่ทำเอาคนในจวนนั้นสงสัย เพราะปกติจวนแม่ทัพก็มิมีผู้ใดมายุ่งวุ่นวายอยู่แล้ว แต่มิมีผู้ใดกล้าเอ่ยถามนอกจากคนเป็นแม่ เมื่อเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ในจวน แม่ทัพหนุ่มก็ไขข้อสงสัยทันที
“นางเป็นเช่นนี้คงเพราะแอบหนีออกไปเมื่อคืน บนแขนมีแต่รอยขูดขีดของกิ่งไม้ แต่แปลกที่นางกลับมาที่นี่อีก”
“เจ้าจะบอกว่าหมิงจูแอบหนีออกจากจวนหรือ นางจะทำเช่นนั้นไปไย”
“ลูกมิทราบท่านแม่ แต่บาดแผลนี้เกิดจากรอยกิ่งไม้แน่ หยางรุ่ยไปตรวจดูต้นไม้หลังเรือน มีสิ่งผิดปกติหรือไม่”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
นายหญิงหลิวเริ่มมีสีหน้ากังวลเมื่อได้ยินแบบนี้ แม้ หมิงจูจะพึ่งมาอยู่ได้ไม่นาน แต่นางก็รักใคร่เอ็นดูหญิงสาวต่างยุคนี้มาก เฉินตูเห็นมารดาเป็นทุกข์เกี่ยวกับสตรีต่างยุคก็อดสงสารไม่ได้ เช่นนี้แหละตนถึงมิอยากให้ผู้ใดเข้าใกล้นาง มิเช่นนั้นความผูกพันธ์จะทำให้จมอยู่กับความเศร้า ยามที่นางจากไปไม่กลับมาอีก
“ท่านแม่ลูกจะไม่เอ่ยห้ามที่ท่านจะเอ็นดูนาง แต่จงจำไว้ว่าหมิงจูอาจมีครอบครัวรออยู่เช่นกัน”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยแล้วก็ลุกเดินออกจากห้อง ทิ้งให้มารดาคิดเรื่องของสตรีต่างยุคอยู่เช่นนั้น
“นายหญิงนั่งเหม่อเช่นนี้มีสิ่งใดต้องกังวลหรือเจ้าคะ”
แม่นมตู้เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง เพราะผู้เป็นนายนั่งอยู่เช่นนี้นานแล้ว แต่นายหญิงของจวนก็มิอาจเอ่ยเรื่องนี้บอกกับผู้ใดได้ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อหมิงจูผู้ที่มาจากยุคพันปีข้างหน้า หากเรื่องนี้รู้ถึงหูราชสำนักหรือต่างแคว้น นางคงมิอาจกลับบ้านเมืองของตนได้
“ข้าเหนื่อยอยากไปพักแล้ว ถึงเวลาตั้งสำรับค่อยไปเรียกข้าแล้วกัน”
“เจ้าค่ะ” แม่นมตู้รับคำก่อนจะมองตามผู้เป็นนายเดินออกไปด้วยท่าทางเศร้า แต่ตนก็เป็นเพียงแค่บ่าวไหนเลยจะกล้าเอ่ยถามว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
“เจ้าสองคนอย่าลืมไปดูแลคุณหนูหมิงจูด้วย”
“แม่นมท่านเห็นตอนที่แม่ทัพอุ้มนางมาหรือไม่”
“ข้าอยู่ในครัวจะเห็นได้อย่างไร ว่าแต่ท่านแม่ทัพทำเช่นนั้นจริงหรือไม่น่าเชื่อเลย”
บ่าวรับใช้ของไข่มุกและแม่นมของจวน กำลังพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดในวันนี้อย่างเมามัน แต่ต้องชะงักเมื่อตงเร่อเดินเข้ามาพร้อมกับถ้อยคำตำหนิ ก่อนที่ทั้งสามจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน
หลังจากวันที่ได้รับอนุญาตให้ออกจากจวนก็ผ่านมาห้าวันแล้ว ไข่มุกก็ออกข้างนอกแทบทุกวัน แต่ก็ต้องมีคนของแม่ทัพติดตามอยู่ตลอด
“เจ้าจะออกไปข้างนอกอีกหรือ”
เฉินตูถามคนตัวเล็กซึ่งวันนี้แต่งตัวเหมือนบุรุษ แม้จะรวบผมขึ้นจนหมด แต่ใบหน้าหวานนี้ก็ปิดความงดงามไม่มิด เธอยืนนิ่งเมื่อถูกทักขึ้นซะก่อนจะได้ก้าวออกจากประตู
“คุณแม่ทัพมีอะไรหรือเปล่า”
คิ้วเรียวขมวดเป็นปมเมื่อเห็นแม่ทัพหนุ่มแต่งตัวเต็มยศ
“ข้าจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เจ้าไม่อยากไปด้วยหรือ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเธอก็ยิ้มกว้างออกมาทันที ทำให้คนที่ยืนถือกระบี่อยู่ถึงกับชะงัก หลายวันมานี้แม่ทัพใหญ่ไม่ได้กลับค่ายเลยตั้งแต่กลับมาที่จวน
“ไปได้เหรอค่ะ แล้วฉันต้องแต่งตัวใหม่ไหม คือจะได้เฝ้าฮ่องเต้ด้วยหรือเปล่า”
“เจ้ามิกลัวว่าได้เข้าเฝ้าแล้วจะมิได้กลับบ้านหรือ เจ้าควรรู้ว่าตนเองจะมีประโยชน์กับคนในยุคนี้มากแค่ไหน”
ไข่มุกนิ่งไป มันก็จริงที่เธออาจถูกจับไปรีดเอาความเจริญรุ่งเรืองในอนาคตมาใช้ในยุคนี้ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นอนาคตจะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงแน่ ถ้าเธอบอกในสิ่งที่รู้ แม้มันจะแค่ งูๆ ปลาๆ ก็เถอะ
“ถ้างั้นคุณจะให้ฉันรอข้างนอกเหรอค่ะ แล้วเราจะไปที่สระน้ำใช่ไหม”
เธอยังคงถามในสิ่งที่หวัง
“ข้าจะให้จินหยางอยู่รอที่สระน้ำกับเจ้า จากนั้นก็หาวิธีดูแล้วกันว่าจะกลับไปเช่นไร”
เฉินตูเอ่ยก่อนจะเดินนำไปขึ้นรถม้าเพื่อตรงเข้าวัง ไข่มุกเดินตามพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข เธอจากมาอยู่ที่นี่เกือบครึ่งเดือนแล้ว ป่านนี้ทางบ้านคงรู้ข่าวเรื่องตกน้ำแล้ว และใครอีกคนที่เธออยากกลับไปเจอ
ภายในรถม้าไข่มุกไม่ได้นั่งอยู่เฉยเลยแม้สักนาที เธอกำลังตื่นเต้นกับกำแพงสูงของวัง ซึ่งเธอเคยเห็นมาแล้วแต่ไม่ใช่ในช่วงเวลาแบบนี้ นัยน์ตาสวยเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น จนบางทีเธอลืมตัวมุดมาฝั่งที่คนตัวโตนั่งอยู่ ทำเอาแม่ทัพชะงักไปหลายรอบกว่าจะถึงวัง
“ถึงแล้วเหรอคะ” รอยยิ้มพร้อมกับคำถามตามมา เมื่อรถม้าหยุดลง แม่ทัพหนุ่มไม่ตอบอะไรเพียงแต่ลุกออกจากรถม้าลงไปยืนรอด้านล่าง
“ว้าว! สวยมากเลย ตอนนี้คงยังไม่ได้ปรับปรุงสินะ”
เธอนึกถึงกำแพงที่เคยเจอในยุคปัจจุบัน มันต่างจากตอนนี้มาก ทั้งประตูและกำแพงสูงสองด้าน
“ถ้าฉันจำไม่ผิดตอนที่เรียนประวัติศาสตร์จีน ที่นี่จะถูกระเบิดลงในช่วงสงครามโลก กำแพงตรงนี้เลยถูกสร้างขึ้นใหม่ แต่มันไม่เหมือนเดิม ตอนแรกก็คิดว่ามันคงเป็นแบบนั้น แต่พอมาเห็นของจริงถึงได้รู้ว่าตอนนี้สวยกว่ามาก”
คำพูดของเธอทำให้แม่ทัพหนุ่มชะงักเท้า รวมถึงคนสนิททั้งสองก็มีอาการไม่ต่างกัน
“เจ้าจะบอกว่าที่นี่จะถูกทำลายงั้นหรือ”
“ไม่ใช่แค่ที่นี่หรอก ทุกแห่งหนในพื้นแผ่นดินใต้ท้องฟ้านี้ แต่อย่าห่วงเลยกว่าสงครามจะเกิดพวกคุณคงตายไปหลายพันรอบแล้ว ฮ่าฮ่า”
“เจ้าเห็นมันเป็นเรื่องตลกหรือ”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยเสียงจริงจัง ทำเอาไข่มุกเงียบลงทันที แต่ก็ใช่ว่าจะเงียบเพราะกลัวคำพูดอีกฝ่าย
“ทุกคนเกิดมาก็ล้วนแต่ต้องตายไม่ใช่เหรอ อีกอย่างเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในยุคพันปีข้างหน้า ยังไงมันก็ไม่มีทางเปลี่ยนได้แน่”
ไข่มุกพูดขึ้นก่อนจะเดินตรงไปยังประตูซึ่งอยู่ด้านหน้าตรอกกำแพงสูง จนมาถึงเธอก็เดินเข้าไปพร้อมกับแม่ทัพหนุ่ม ซึ่งตอนนี้ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก
“หยางรุ่ยพานางไปที่สระน้ำ รอข้าอยู่ที่นั่น”
เมื่อออกคำสั่งกับคนสนิทแล้ว เฉินตูก็ตรงเข้าตำหนักฮ่องเต้รายงานเกี่ยวกับทัพแคว้นจินซางที่กำลังเคลื่อนพลเข้ามาประชิดชายแดน ที่เขาพาหมิงจูมาด้วยก็เพราะต้องการส่งนางกลับบ้านก่อนที่ตนจะเดินทางไปช่วยแม่ทัพภาครบ หากทางนั้นต้องการความช่วยเหลือ
“พี่จหยางรุ่ยน้ำนี่ลึกมากไหมค่ะ”
“ลึกมากขอรับ น่าจะเกือบเท่ากับกำแพงวัง”
“โห๊ว! เทียบกับตึกสี่ชั้นเลยนะนั่น”
ไข่มุกอุทานเสียงดังจนถูกหยางรุ่ยตำหนิ เพราะเกรงว่าผู้คนแถวนี้จะสงสัยเอา
“อย่าเสียงดังขอรับ คำพูดของท่านคนในยุคนี้มิคุ้นเคย หากถูกจับจ้องคงไม่ดีนัก ตอนนี้ท่านแม่ทัพก็เข้าเฝ้าอยู่”
ไข่มุกเอามือปิดปากไว้ทันที ก่อนจะหันมากระซิบกับคนสนิทแม่ทัพ
“ขอโทษค่ะ ลืมตัว”
หยางรุ่ยขมวดคิ้วงุนงงกับคำพูดอีกฝ่าย แต่ก็มิได้เอ่ยถามสิ่งใดเพราะมีใครบางคนเดินมาเสียก่อน
“หยางรุ่ยไยเจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้ นายของเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ แล้วนี่แม่นางน้อยมาจากที่ใดกัน น่าตางดงามแม้จะแต่งกายเป็นบุรุษแต่ก็ปิดความงามนี้ไม่มิดเลย”
“ถวายพระพรรัชทายาทพะย่ะค่ะ”
จินหยางคำนับผู้ที่อยู่สูงกว่า ก่อนจะส่งสายตาไปหาไข่มุกที่ยืนอยู่อีกฝั่ง เพราะเกรงว่านางจะทำเรื่องมิควร
แต่คนอย่างไข่มุกก็ไหวพริบดีพอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยิ่งเห็นสายตาของหนุ่มหล่อตรงหน้าที่บ่งบอกความต้องการ มันยิ่งทำให้เธอต้องรีบเอาตัวรอดให้เร็ว
“ถวายพระพรรัชทายาทเพคะ หม่อมฉันนามว่าหมิงจู เป็นภรรยาของท่านแม่ทัพเพคะ”
คำพูดรวดเร็วปานสายฟ้าของไข่มุกทำเอาหยางรุ่ยและคนที่กำลังเดินมาถึงกับชะงัก เฉินตูเมื่อรายงานเรื่องศึกที่ใกล้จะเกิดขึ้นเรียบร้อยก็รีบออกมาทันที เพราะก่อนนี้เจอกับรัชทายาทเผิงซีแล้ว และรู้ว่าอีกฝ่ายจะมาที่สระน้ำ ก่อนหน้านี้แม่ทัพหนุ่มสืบรู้มาว่ารัชทายาทให้คนตามสืบว่าหมิงจูเป็นบุตรสาวจวนใด หลังจากที่พบนางในตลาด
“หึ! จะให้เชื่อได้หรือ แม่ทัพหาญเคยเอ่ยว่าจะมิรับสตรีใดเป็นภรรยา เจ้าโกหกเบื้องสูงเช่นนี้มิกลัวถูกตัดหัวหรือ”
ไข่มุกหน้าซีดไปทันที เธอลืมนึกถึงข้อนี้ไปจริงๆ เพราะสายตาของคนตรงหน้านี่แหละที่ทำให้เธอพูดไม่คิด
ในขณะที่ร่างเล็กกำลังยืนนิ่งกำลังหาทางออกให้ตัวเองอยู่ อีกฝ่ายก็เดินตรงเข้ามาหาพร้อมกับยกมือขึ้นหมายจะสัมผัสใบหน้าเนียนที่น่าหลงใหล แต่ร่างนั้นกลับถูกดึงเข้าไปซบแผงอกแกร่งของใครบางคนที่ยืนฟังนานแล้วเสียก่อน ใบหน้าสวยแหงนขึ้นมองคนที่กอดเธออยู่ด้วยความตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
“ท่านมาซะที ฉันกลัวแทบแย่”
เสียงหวานเอ่ยออกมาให้ได้ยินเพียงสองคน ก่อนจะมุดหน้าลงซบอกแกร่ง ราวกับว่าเจอที่ปลอดภัยแล้ว มือหนากอดเอวกระชับแน่นขึ้นอีกเมื่อได้ยินคำพูดและสัมผัสการกระทำของคนตัวเล็กได้
“แหม! ท่านแม่ทัพไยถึงแย่งสาวงามไปต่อหน้าข้าได้ ทำเช่นนี้ไม่ให้เกียรติรัชทายาทเช่นข้าเลยสักนิด”
“นางมิใช่สตรีที่พระองค์ควรจะแตะต้อง”
“อย่างไรถึงบอกมิควร ข้ามิเชื่อว่านางเป็นภรรยาท่าน”
“กระหม่อมมิจำเป็นต้องตอบเรื่องนี้ หากนางเอ่ยว่าเป็นคนของกระหม่อมแล้ว เพียงเท่านี้พระองค์ก็มิควรยุ่งอีก เพราะนั่นหมายถึงสตรีผู้นี้มิได้อยากเข้าใกล้พระองค์”
เฉินตูเอ่ยเสียงเรียบ แม้จะรู้ว่ารัชทายาทนั้นมีอำนาจมาก แต่เขาก็มิเคยเกรงกลัวเลยสักนิด อีกทั้งอดีตเมื่อเจ็ดปีก่อนมันยังจำฝั่งใจแม่ทัพหนุ่มอยู่ คนรักที่คบหาหมั้นหมายกัน กับตกลงปลงใจเป็นสนมขององค์ชายผู้นี้ เพียงเพราะอีกฝ่ายสัญญาจะให้เป็นชายา ในยามที่ได้รับตำแหน่งรัชทายาท แต่หลังจากนั้นก็มีสนมอีกหลายคนตามมา
จนในที่สุดนางก็คิดสั้น เพราะถูกกลั่นแกล้งสารพัดจากเหล่าสนมด้วยกัน และนั่นก็เป็นสาเหตุให้นางจบชีวิตของตนลงก่อนที่เฉินตูจะกลับมาจากสนามรบเสียอีก และตั้งแต่นั้นมาแม่ทัพและรัชทายาทเผิงซี ก็มิเคยถูกชะตากันอีกเลยจนมาถึงบัดนี้