8. ลืมห้ามตัวเอง
เผิงซีขบกรามแน่น มีหรือคนเช่นเขาจะยอมง่ายๆ โดยเฉพาะการต่อกรกับผู้ที่ราชสำนักต่างก็หวั่นเกรงเช่นแม่ทัพผู้นี้ มันยิ่งทำให้คนหลงในอำนาจอย่างรัชทายาทที่พึ่งได้รับการแต่งตั้งไม่ถึงปี หึกเหิมราวกับกำลังแข่งขันกับบางสิ่งที่รอคอยมานาน
“เจ้าจะบอกว่าในแผ่นดินนี้ยังมีสตรีที่รักมั่นไม่สนต่ออำนาจหรือยศฐาเช่นนั้นหรือ แม่นางหากข้าบอกว่าจะให้เจ้าเป็นชายาข้าล่ะ ภายหน้าเจ้าอาจจะได้เป็นถึงฮองเฮาเชียวนะ ขอเพียงแค่เจ้าก้าวมาหาข้าในตอนนี้ก็พอ”
ครานี้เป็นฝ่ายที่เฉินตูขบกรามบ้าง แต่ที่ทำให้เขาอดใจหายไม่ได้ก็ร่างเล็กในอ้อมกอดนี้แหละ เมื่อมือขาวดันแผงอกออกเพื่อหันไปเผชิญหน้ากับคนที่พึ่งเอ่ยจบ ทำให้เขาหวั่นเกรงว่าสตรีตัวน้อยจะคล้อยตามคำพูดอีกฝ่าย
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อหากแต่แฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมของรัชทายาทหนุ่ม ต่างจากแม่ทัพหนุ่มที่รั้งแขนเล็กเอาไว้ โดยหารู้ไม่ว่าหมิงจูจะทำสิ่งใด
“ขอบพระทัยรัชทายาทที่เมตตาเพคะ แต่หม่อมฉันเลือกผู้ที่จะมาเป็นสามีด้วยหัวใจ หาใช่ยศฐาบรรดาศักดิ์ซึ่งอยู่ไม่คงทนเท่าความดี หม่อมฉันเชื่อว่าท่านแม่ทัพเป็นบุรุษที่ควรค่าให้รักมากกว่าทรัพย์สินเงินทองมากนักเพคะ ท่านพี่น้องอยากกลับจวนแล้วเจ้าค่ะ”
ไข่มุกหันกลับมาส่งสายตาหวานให้คนตัวโต พร้อมกับยักคิ้วพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปาก ทำเอามือเรียวที่กำแขนเล็กอยู่ต้องบีบกระชับตำหนิเป็นนัยๆ เผิงซีขบกรามแน่นเพื่อระบายความโกรธ แต่ก็มิอาจทำสิ่งใดได้ เพราะฟานซีและจินซีกำลังเดินตรงเข้ามา
“ท่านน้าอยู่ที่นี่เองหรือ ข้าจะไปหาที่จวนพอดีเสด็จพ่อบอกว่าท่านพึ่งออกมา ไม่คิดว่าจะมาที่นี่กัน”
ฟานซีเอ่ยถามทันที แต่ยังดีที่มิได้เอ่ยทักทายหมิงจู มิเช่นนั้นคงความแตกแน่
“ถวายพระพรรัชทายาท ไยพระองค์ถึงมาอยู่ที่นี่พะย่ะค่ะ หรือว่ามาพบท่านน้าของกระหม่อม”
จินซีเอ่ยถามเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ถูกกับน้าของตน แต่ที่ถามออกไปก็เพื่อให้พี่ชายต่างแม่ผู้นี้รู้สึกอึดอัด และนั่นมันก็ได้ผล เมื่อเผิงซีหันหลังกลับเดินสะบัดมือออกไป เพื่อระบายโทสะที่กำลังคุกกรุ่น
“ปะทะกันอีกแล้วหรือท่านน้า คงมิใช่เรื่องของหมิงจูหรอกนะ ข้าเห็นไกลๆ จึงมิเอ่ยทักนาง”
ไข่มุกยืนมองน้าหลานคุยกันก็พาให้งง เพราะดูแล้วองค์ชายทั้งสองไม่ได้ชอบหน้าพี่ชายที่พึ่งเดินจากไปเลย และสีหน้าท่าทางของเธอมันก็บ่งบอกจนแม่ทัพต้องเอ่ยขึ้น
“อยากรู้ก็กลับจวนแล้วข้าจะเล่าให้ฟัง”
“สัญญาแล้วนะ ห้ามทำให้อยากแล้วทิ้งเด็ดขาด”
คำพูดลืมตัวของเธอทำเอาหนุ่มหล่อและผู้ติดตามต่างก็พากันคิดตาม ทำให้ไข่มุกต้องเจอกับสายตาดุของคนตัวโตที่มองมาอย่างคาดโทษ ก่อนที่แขนเล็กจะถูกดึงให้เดินตามออกนอกกำแพงวัง
“ใครสอนให้เอ่ยถ้อยคำเช่นนี้”
“คำไหน” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมกับคิ้วขมวดเข้าหากัน แต่เพราะตอนนี้เธอเหมือนถูกอีกฝ่ายลากเสียมากกว่า เพราะส่วนสูงที่ต่างกันทำให้คนตัวเล็กเดินตามไม่ทัน
“ช้าหน่อยขาฉันสั้นเดินตามไม่ทัน”
เมื่อได้ยินแบบนั้นแม่ทัพหนุ่มก็หยุดชะงัก ทำเอาหลานชายและผู้ติดตามต่างก็ชะงักไปด้วย และสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเฉินตูหันกลับมาแบกเอาคนตัวเล็กพาดบ่าเดินไปขึ้นรถม้า สองพี่น้องหันมองหน้ากันทันที ไม่ต่างจากคนสนิทของแม่ทัพและองครักษ์ขององค์ชายทั้งสอง ทุกคนล้วนแต่ไม่เชื่อสายตาตนเอง
“นี่ท่านน้าเป็นอะไรไป ไยถึงต่างไปจากเมื่อก่อนถึงเพียงนี้ หรือว่าคิดจะรับนางเป็นภรรยาแล้วจริงๆ”
จินซีเอ่ยในสิ่งที่ตนสงสัยออกมา แต่คนสนิทของแม่ทัพกลับกำลังคิดว่าผู้เป็นนายทำเกินหน้าที่ ซึ่งก่อนนี้ได้หารือเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว และคำสั่งคือต้องขวางมิให้ผู้ใดสร้างความผูกพันธ์กับสตรีต่างยุคผู้นี้ เพื่อมิให้ต้องเสียใจยามที่นางจากไป แต่จากที่เห็นผู้เป็นนายกลับกำลังเป็นเช่นนั้นเสียเอง ทำเอาสองสหายต่างหวั่นเกรงแม่ทัพหนุ่มจะเสียใจ
“เจ้าควรเตือนท่านแม่ทัพเสียหน่อย”
“ไยเจ้ามิเอ่ยเองล่ะตงเร่อ ข้ามิกล้า”
“แล้วเจ้าคิดว่าข้ากล้าหรือ แต่เอาเถอะข้าว่าท่านแม่ทัพก็คงทำตามที่เอ่ยกับเราสองคนนั่นแหละ”
เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วมิต้องกังวล สองสหายจึงรีบตรงไปยังรถม้า เพราะผู้เป็นนายขึ้นไปด้านในเรียบร้อยแล้ว รถม้าเคลื่อนออกจากวังทันที
ภายในรถม้าไข่มุกนั่งนิ่งเพราะถูกนัยน์ตาคมจับจ้องอยู่ ตอนนี้เธอรู้สึกอึดอัดเพราะแม่ทัพหนุ่มไม่พูดอะไรเลย มีเพียงสายตาต่อว่าอยู่ในที
“คุณไม่พอใจอะไรฉันอีกเนี่ย”
เฉินตูถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะมิรู้ต้องทำเช่นไรกับสตรีตรงหน้าดี
“ไยเจ้าถึงเอ่ยวาจาเช่นนั้นต่อหน้าบุรุษมากมาย มิรู้หรือว่ามันเป็นถ้อยคำที่สตรีมิควรเอ่ย”
“คำไหนล่ะ? ฉันถามคุณก็ไม่ตอบ แล้วใครจะไปรู้ว่าพูดคำต้องห้ามออกมา บอกสิต่อไปจะได้รู้”
ไข่มุกยังคงถามออกไปอีกครั้ง เพราะเธอไม่รู้ว่าพูดคำไหนผิดไป เพราะวันนี้เธอพูดมากกว่าทุกวัน
“ก็” แม่ทัพเงียบไปเพราะมิรู้ว่าจะเอ่ยดีหรือไม่ แต่หากมิพูดเลยคนตรงหน้าก็คงไม่มีทางรู้แน่
“คำที่บอกว่า อย่าทำให้อยากแล้วทิ้งไป สตรีมิควรพูด”
ไข่มุกนิ่งไปทันที เพราะตอนนั้นเธอรีบพูดจนลืมคำว่า” รู้” จนทำให้ทุกคนเข้าใจผิดงั้นเหรอ
“เอ่อ ฉันคงลืมพูดคำว่า รู้ ล่ะมั้ง ฉันหมายถึงอย่าทำให้อยากรู้แล้วทิ้งไปเฉยๆ ไม่พูดให้ฟังทำนองนี้ พวกคุณคิดมากอะไรกันเนี่ย”
ไข่มุกต่อว่าอีกฝ่ายแก้เขินทันที แต่ดูเหมือนคนตัวโตจะไม่หลงกล แต่กลับดึงเอาคนตัวเล็กขึ้นมานั่งบนตักเสียดื้อๆ ทำเอาเธอถึงกับทำตัวไม่ถูก ยิ่งเห็นยิ้มร้ายผุดขึ้นบนหน้าหล่อ ทำเอาคนที่มั่นใจตัวเองว่าจะไม่หลงไปกับสิ่งยั่วยุตรงหน้า มันทำให้ไข่มุกต้องคิดใหม่ เพราะรอยยิ้มของคนโตกว่าเป็นรอบอย่างแม่ทัพคนนี้ ทำเธอหัวใจเต้นรัวซะแล้ว
“เจ้าพูดให้คิด มีหรือที่ข้าจะไม่คิดตาม”
“คะ คิดก็คิดไปสิ จะให้มานั่งบนตักทำไม”
“เจ้าเป็นภรรยาข้ามิใช่หรือ นั่งบนตักสามีแค่นี้จะเป็นไรไป ทำมากกว่านี้ก็น่าจะได้ด้วยนะ”
แม่ทัพหนุ่มไม่เอ่ยเปล่า แต่ยังใช้มือรั้งท้ายทอยคนตัวเล็กเข้ามารับจูบตนเสียดื้อๆ ริมฝีปากหนาขบเม้มดูดดึงหยอกเย้าราวกับเป็นของหวาน ซึ่งคนในอ้อมกอดก็มัวแต่ชะงักกับการกระทำของอีกฝ่ายจึงมิได้ปัดป้องตนเองจากการรุกราน เฉินตูละเลียดลิ้นสัมผัสปากนิ่มก่อนจะสอดมันเข้าไปในขณะที่คนน้องเริ่มคล้อยตาม
เสียงครางแผ่วเบาดังขึ้นจากทั้งคู่ พร้อมกับอ้อมแขนที่รัดแน่นขึ้น ไข่มุกเองก็เผลอไผลไปกับจูบอ่อนละมุนที่คนพี่มอบให้ จนลืมแม้กระทั่งคนรักที่อยู่ยุคปัจจุบัน มือเล็กขยำเสื้อของคนตัวโตเพื่อระบายความรู้สึก พร้อมกับเบียดกายเข้าหาอกแกร่งที่มั่นคงแข็งแรง
“จ๊วบ จ๊วบ” เสียงจากริมฝีปากที่ประกบกันพลิกไปมาตามองศาที่คนพี่นำทาง เนิ่นนานกว่าแม่ทัพหนุ่มจะยอมผละออก เพราะรถม้ามาถึงจวนพอดี เฉินตูถอนจูบออกอย่างเสียดาย ไข่มุกก้มหน้าลงซบอกแกร่งทันที
“ต่อไปถ้าดื้ออีก เจ้าจะถูกข้าลงโทษเช่นนี้รู้หรือไม่”
ไข่มุกแหงนหน้าขึ้นมองแม่ทัพหนุ่ม พร้อมกับแห้วใส่
“แบบนี้เขาเรียกลงโทษที่ไหนกัน ท่านรังแกข้าชัดๆ”
“ถ้ายังเถียงเก่งเช่นนี้ ข้าจะทำให้เจ้าปากบวมมากกว่าเดิมอีกนะหมิงจู”
ไข่มุกยกมือปิดปากไว้ พร้อมกับดันร่างตนลุกออกจากตักเมื่อรถม้าหยุดลง จึงรีบพาตัวเองกลับเข้าจวน โดยไม่แวะหานายหญิงหลิวในห้องโถงเลยแม้แต่น้อย เฉินตูเดินตามพร้อมกับรอยยิ้ม เมื่อเห็นคนตัวเล็กตรงกลับห้องทางเรือนด้านหลัง
“กลับมาแล้วหรือ แล้วน้องล่ะไยถึงไม่มาด้วย”
“คงเข้าห้องไปแล้วกระมังท่านแม่”
เฉินตูนั่งลงข้างมารดา พร้อมกับจิบน้ำชาหอมกรุ่นในมือ สร้างความแปลกใจให้ผู้ที่นั่งสังเกตอยู่ไม่น้อย จนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัย
“ดูเจ้าอารมณ์ดีเหลือเกินนะ เข้าเฝ้าฝ่าบาทมีสิ่งใดถูกใจเช่นนั้นหรือ แม่มิเห็นเจ้ายิ้มมานานแล้วนะ”
ตงเร่อบอกให้บ่าวรับใช้ออกไปจนหมด ก่อนจะหันมาเอ่ยกับนายหญิงเรื่องที่พบรัชทายาทในวันนี้ อีกทั้งคำพูดของหมิงจูที่เอ่ยตอบกลับไป จนฝ่ายนั้นต้องรีบเดินหนี
“จริงหรือที่หมิงจูเอ่ยเช่นนั้น”
“ขอรับนายหญิง แต่น่าเสียดายที่คุณหนูเพียงแต่เอ่ยเพื่อปกป้องตนเองและท่านแม่ทัพ มิได้คิดเช่นนั้นจริง เพราะอีกไม่นานนางก็คงกลับยุคสมัยของตน”
ถ้อยคำหลังดูเหมือนตงเร่อจะเตือนสติผู้เป็นนายเสียมากกว่า เพราะตอนขากลับตนและสหายได้ยินเสียงของทั้งคู่ในรถม้า ซึ่งมิต้องสืบว่าแม่ทัพนั้นกระทำสิ่งใดกับอีกฝ่าย เพราะท่าทางเอามือปิดปากและรีบร้อนถึงเพียงนั้นคงเดาได้ไม่ยาก เฉินตูคราแรกก็นั่งยิ้มอย่างพอใจ แต่พอได้ยินถ้อยคำของคนสนิทก็นิ่งไปทันที
“นี่ข้าตกหลุมที่ตนเองขุดไว้เช่นนั้นหรือ ทั้งที่มิอยากให้ผู้ใดเข้าใกล้นางแต่ข้ากลับทำมันเสียเอง ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
แม่ทัพหนุ่มนิ่งคิดถึงการกระทำที่ผิดพลาดของตน ทั้งที่ก่อนนี้เห็นมารดาเศร้าโศกเมื่อนึกถึงวันที่สตรีแปลกหน้าจะจากไป ตนยังอดสงสารไม่ได้ แต่บัดนี้เพียงครึ่งเดือนสาวงามผู้นี้ก็ทำให้เขาต้องจมอยู่กับภวังค์จนได้
“ลูกจะไปฝึกดาบ ถึงเวลาอาหารค่อยให้คนไปตามลูกแล้วกันท่านแม่”
แม่ทัพหนุ่มเดินออกจากห้องโถงโดยไม่เอ่ยสิ่งใดอีก และใบหน้านั้นก็ต่างจากตอนที่เข้ามาเป็นอย่างมาก แม่ทัพหนุ่มเดินออกประตูหลังของจวน ซึ่งอยู่ติดกับเชิงเขาและเป็นที่ฝึกซ้อมยิงธนูฝึกดาบในทุกๆ วันยามว่าง
หลังจากวันนั้นแม่ทัพหนุ่มก็ไม่เข้าใกล้หมิงจูอีกเลย ซึ่งไม่ต่างจากอีกฝ่ายที่เอาแต่หลบหน้าเช่นกัน จนผ่านไปถึงห้าวันแล้ว ทั้งคู่ก็ยังมิได้พบหน้ากัน
พอมาวันนี้ภายในจวนมีแขกจากในวัง ซึ่งก็มิใช่ใครที่ไหน และยังอยู่ทานอาหารร่วมโต๊ะด้วย ทำให้คนที่มักจะหาทางหลีกเลี่ยงกลับต้องเจอกันในที่สุด และเป็นแม่ทัพหนุ่มที่มักทำตัวยุ่งและมิยอมมาร่วมวงเช่นแต่ก่อน
“พรุ่งนี้ท่านน้าต้องเข้าเฝ้าเสด็จพ่ออีกใช่หรือไม่”
“พะย่ะค่ะ” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยตอบไปเพียงเท่านั้น และตั้งใจจะลุกออกจากโต๊ะไปเมื่อทานเสร็จ แต่กลับต้องชะงักเมื่อหลานชายเอ่ยถามขึ้น
“หมิงจูมาจากอีกยุคสมัยใช่หรือไม่ท่านน้าท่านยาย”
คนในจวนต่างก็เงียบไปทันที หยางรุ่ยหันไปสั่งให้บ่าวออกไปทันที เฉินตูหันกลับมายังจินซีซึ่งเป็นผู้เอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้น รวมถึงหมิงจูและนายหญิงของจวน
“องค์ชายไปเอาเรื่องนี้มาจากที่ใดกัน”
“มีคนรายงานเสด็จพ่อ ข้าคิดว่าที่พระองค์เรียกท่านน้าเข้าเฝ้าก็คงเพราะเรื่องนี้”
เฉินตูนิ่งไปอีกครั้ง ก่อนจะหันไปหาคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ตรงข้าม ไข่มุกเองก็กังวลใจไม่น้อย เพราะก่อนนี้เฉินตูเคยบอกแล้วว่าถ้ามีคนรู้เกี่ยวกับตัวเธอมาก นั่นจะทำให้เกิดเรื่องราวมากมายตามมาได้
“นางมาจากที่ใดพระองค์ก็เห็นแล้วมิใช่หรือ กระหม่อมจะส่งนางกลับไปยังที่ของนาง เพื่อมิให้เกิดปัญหาในภายหน้า ต่อตัวนางและยุคสมัยข้างหน้า เช่นนี้แล้วพระองค์ทั้งสองจะช่วยหมิงจูหรือไม่”
เฉินตูหันไปตั้งคำถามกับหลานชายทั้งสอง ทำเอาทั้งคู่หันมองหน้ากันก่อนจะเลยไปยังคนที่นั่งตัวตรงอยู่ พร้อมกับสายตาอ้อนวอนน่าสงสาร
“เจ้าคงคิดถึงครอบครัวสินะ เสียดายที่ข้าพึ่งรู้ว่าเจ้ามิใช่คนในยุคสมัยนี้ มิเช่นนั้นเราคงมีเรื่องคุยกันมากมาย”
ฟานซีเอ่ยกับสตรีตัวน้อยอย่างเสียดาย จินซีเองก็รู้สึกมิต่างกันเลยสักนิด แม้จะพึ่งรู้จักไม่นาน