6. แค่กันหรือแอบหวง
เสียงทุ้มดังมีอำนาจส่งมาเสียงดังกังวานภายในจวน ทำเอาสองเท้าเล็กชะงักลงทันที พร้อมกับใบหน้าหวานหันมาตามเสียง เธอยืนนิ่งมองคนตัวโตที่กำลังเดินตรงมา
“นายหญิงอนุญาตคุณหนูหมิงจูออกไปเดินเที่ยวเล่นได้เจ้าค่ะ เห็นว่าอยู่แต่ในจวนคงเบื่อ ก็เลย”
ชิงลี่เอ่ยได้เพียงเท่านั้นผู้เป็นนายก็ส่งเสียงขึ้นเสียก่อน
“จะออกไปเดินเล่นหรือหาทางหนีกันแน่”
“จะให้ฉันหนีไปไหน ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่ คะ อือ! อ่อย”
มือเรียวปิดปากคนตัวเล็กไว้ทันที เพราะนางกำลังจะเอ่ยเรื่องของตนออกมาให้ผู้อื่นรับรู้ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อตัวหมิงจูได้ นั่นคือสิ่งที่แม่ทัพหนุ่มคิด เขามิอาจไว้ใจผู้ใดได้แม้จะเป็นคนในจวน
เพราะหากคนตัวเล็กมาจากวันข้างหน้าจริง คงเป็นที่ต้องการของใครหลายๆ คนแน่ โดยเฉพาะผู้ที่อยากมีอำนาจในราชสำนักหรือนอกแคว้น ใบหน้าหล่อก้มลงข้างหูของอีกฝ่าย ก่อนถ้อยคำนุ่มจะเอ่ยให้ได้ยินเพียงสองคน
“อย่าได้เอ่ยเรื่องที่เจ้าไม่ใช่คนในยุคนี้ให้ใครฟัง ถ้ายังอยากจะกลับบ้านเมืองของเจ้าอยู่”
เสียงทุ้มเงียบไปแล้ว พร้อมกับขยับใบหน้าสบตากับคนตัวเล็ก ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่อยู่ใกล้กันมากจนลมหายใจอุ่นของคนโตเป่ารดมือตัวเองที่ยังปิดปากอีกฝ่าย มืออีกข้างแม่ทัพหนุ่มก็รั้งเอวเล็กไว้ จนมันดูเหมือนเขากำลังจะกอดเธอ
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของนายหญิงของจวนอีกครั้ง ก่อนที่มันจะหายไปเมื่อนึกได้ว่าอาจไม่เป็นไปอย่างที่หวัง หากหมิงจูสามารถหาทางกลับยุคตนได้จริง นางจึงเดินผละกลับเข้าห้องไป ปล่อยให้เป็นไปตามชะตาของทั้งคู่เสียดีกว่า แม้นมีวาสนาได้เคียงคู่คงจะมิอาจจากกันได้ ตาสวยกระพริบถี่ๆ เมื่อเห็นว่าคนตัวโตไม่ยอมปล่อยเธอเสียที และอีกอย่างเธอก็เริ่มประหม่ากับท่าที่ยืนอยู่นี้มากๆ
มือเล็กยกขึ้นจับมือของคนพี่ออก สื่อให้รู้ว่ามันนานเกินไปแล้วที่เขาปิดปากเธอเอาไว้ แม่ทัพหนุ่มถึงกับยืนนิ่งทำหน้าขรึมเมื่อเห็นสายตาของทุกคนจ้องมองตน จึงขยับถอยออกมายืนห่างกว่าเดิม พร้อมกับทำหน้าดุคนคนตัวเล็ก ไข่มุกมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ เพราะตนได้รับอนุญาตให้ออกไปแล้ว
“นายหญิงบอกว่าออกไปเดินเล่นได้ แล้วคุณจะห้ามทำไม ฉันอยากออกไปดูผู้คนข้างนอกเท่านั้น”
เฉินตูมองอีกฝ่ายนิ่งอยู่เพียงครู่ สุดท้ายก็ต้องเอ่ยถ้อยคำที่ทุกคนไม่คิดว่าจะได้ยินออกมา
“ข้าจะพาเจ้าไปเอง ตงเร่อไปเตรียมรถม้า”
“ขะ ขอรับท่านแม่ทัพ”
ตงเร่อตอบรับอย่างตะกุกตะกักก่อนจะรีบทำตามคำสั่ง ไม่นานรถม้าก็จอดรออยู่หน้าจวน พร้อมกับอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดของคนตัวเล็กที่ยิ้มหน้าบานตลอดเวลา ตั้งแต่รู้ว่าคนตัวโตจะพาเธอออกไปข้างนอก
“ท่านน้าขอพวกเราตามไปด้วยได้หรือไม่ ข้าเองก็อยากไปเที่ยวชมตลาดเช่นกัน จะได้ถือโอกาสไปเยี่ยมชมความเป็นอยู่ของราษฎรไปในตัว”
ฟานซีเอ่ยกับผู้เป็นน้าทันทีที่มาถึงจวน แต่สายตากลับจ้องมองคนตัวเล็กซึ่งยืนอยู่ข้างกายแม่ทัพ ใบหน้าสวยแหงนมองคนตัวสูงที่ยังคงทำหน้าบึ้งตลอดเวลาราวกับโกรธผู้ใดอยู่อย่างนั้น
“ก่อนนี้ข้ามิเคยเห็นเจ้าจะใส่ใจราษฎรเลยสักนิด ไยวันนี้ถึงอยากตามข้าไปล่ะมิใช่เพราะอย่างอื่นหรือ”
ฟานซียิ้มแห้งขึ้นมาทันที เมื่อถูกคนเป็นน้ารู้ทัน แต่องค์ชายสามผู้นี้ก็ยังไม่ละความพยายาม แม้พี่ชายจะเตือนแล้วว่าสตรีนางนี้คือว่าที่ภรรยาของผู้เป็นน้า เพราะจินซีก็พอใจนางอยู่ไม่ใช่น้อยเช่นกัน ไข่มุกกระพริบตามองหนุ่มหล่อทั้งสองอย่างสงสัย
เธอรู้ว่าทั้งคู่เป็นองค์ชายเพราะได้ยินทุกคนเรียกแบบนั้น
แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงดูเกรงใจคนที่มีตำแหน่งแค่แม่ทัพ และยังเรียกว่าน้าอีก และความสงสัยก็ไม่ได้ไขให้กระจ่างภายในตอนนี้ เพราะแขนเล็กถูกดึงให้ขึ้นรถม้าเสียก่อน โดยมิได้ใส่ใจผู้ที่ยืนมองอยู่เลยแม้แต่น้อย
ร่างสูงเดินตามขึ้นไปด้วยภายในรถม้าจึงมีหนุ่มสาวนั่งกันคนละมุม โดยที่คนโตกว่าก็ยังนิ่งเงียบเช่นเดิม แต่นั่นไม่ได้เป็นปัญหาให้ไข่มุกเลย
มือขาวแง้มผ้าม่านออกเล็กน้อยเพื่อดูบรรยากาศภายนอก รอยยิ้มผุดขึ้นเมื่อเห็นวิถีชีวิตของชาวเมืองในยุคโบราณของจริง ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากในซีรี่ย์ที่ดูเท่าไหร่นัก ที่เห็นได้ชัดก็คงเป็นอาการตื่นเต้นของชาวเมืองเมื่อเห็นรถม้าของสกุลหาญนี่แหละ ไหนจะองค์ชายทั้งสองที่ตามมาด้วยอีก ซึ่งดูแล้วมันยิ่งใหญ่มาก
“คุณแม่ทัพ เราออกไปนอกเมืองได้ไหมคะ คือ ฉันหมายถึงกำแพงเมืองเราขึ้นไปได้ไหม”
ไข่มุกถามออกไปอย่าง กล้าๆ กลัวๆ แต่อีกฝ่ายก็เพียงแค่เหลือบตามองเท่านั้นไม่ตอบอะไร จนกระทั่งรถม้าหยุดที่โรงน้ำชาที่เหล่าองค์ชายชอบมา และในบางทีแม่ทัพหนุ่มก็มาที่นี่เหมือนกัน
เฉินตูเดินนำลงไปก่อน แล้วตามด้วยสาวงามที่ผู้คนมิคุ้นหน้า ทำเอาชาวเมืองรีบพากันมามุงดูกันเนืองแน่น จนทหารต้องกันเอาไว้ ไข่มุกรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที มือเล็กจึงจับชายผ้าของแม่ทัพหนุ่มโดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายชะงักกับการกระทำของเธอ แต่ก็ปล่อยไว้แบบนั้นจนเดินเข้าหอน้ำชาไป โดยมีองค์ชายทั้งสองเดินประกบข้าง
“เจ้ามีนามว่าอะไรบอกข้าได้หรือไม่”
ฟานซีเอ่ยถามสาวงามที่ตนพึงใจ แต่กลับถูกสายตาตำหนิจากผู้เป็นน้าแทน ทำให้ต้องถอยร่นมาหาจินซี
“เสด็จพี่ข้าทำสิ่งใดผิด ไยท่านน้าถึงทำหน้าดุใส่”
“เจ้ามิเห็นหรือว่าท่านน้าใส่ใจนางเพียงใด ปกติสตรีเข้าใกล้ได้ที่ไหนกัน แต่นี่ยอมให้นางจับชายผ้าเช่นนั้น เจ้ายังคิดว่าจะจีบนางได้สำเร็จหรือ”
จินซีเอ่ยกับน้องชายตน ซึ่งยังคงมีความมุ่งมั่นจะเข้าหาว่าที่ฮูหยินของแม่ทัพ ฟานซีถอนหายใจตีหน้าเศร้าทันที เมื่อได้ฟังคำของพี่ชายเช่นนี้
แต่ความเป็นจริงแล้วเฉินตูมิต้องการให้ผู้ใดสร้างความผูกพันธ์กับนางมากกว่า มิใช่ว่าจะเก็บเอาไว้เอง หากสักวันสตรีนางนี้ต้องกลับบ้านเมืองตนไป ถึงครานั้นเขาก็ไม่อยากเห็นผู้ใดทุกข์ใจ โดยเฉพาะหลานชายตัวเอง
ทั้งสี่เดินมานั่งยังโต๊ะซึ่งเป็นระเบียงกว้างยื่นออกมา จึงทำให้มองเห็นตลาดด้านนอกได้อย่างชัดเจน และก็เป็นปกติที่จะมีเหล่าสาวงามยืนแหงนมองขึ้นมายลโฉมบุรุษหนุ่มซึ่งเป็นที่หมายปองของสตรีทั่วเมือง
ไข่มุกนั่งลงติดกับระเบียงพร้อมกวาดสายตามองไปโดยรอบ รอยยิ้มผุดขึ้นจนแก้มบุ๋มลง ทำเอาหนุ่มหล่อที่นั่งตรงข้ามต่างก็จ้องตาไม่กระพริบ เพราะมิเคยเห็นสตรีใดงดงามและยังมีตาสีเดียวกันกับท้องนภาอีก
“เจ้าชอบมากหรือ นี่มันแค่ตลาดเท่านั้นนะ”
จินซีอดไม่ได้ที่จะถามออกไป ไข่มุกหันกลับมามองคนตรงหน้าซึ่งมีความหล่อแบบตะโกน จนเธอเองไม่ค่อยกล้าสบตานัก ดูแล้วอีกฝ่ายคงมีอายุมากกว่าเธอแค่หนึ่งหรือสองปีเท่านั้น ส่วนคนน้องน่าจะรุ่นเดียวกัน และหล่อพอๆ กับพี่ชายเลยแหละ เพียงแต่ดูท่าจะเหลี่ยมจัดน่าดู
“ค่ะ ก็ฉันไม่เคย อ่ะ” ไข่มุกชะงักไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูดอะไรให้คนอื่นสงสัย “คือการใช้ชีวิตของชาวเมืองที่นี่ต่างจากที่บ้านของหม่อมฉันเพคะ”
พอตอบออกไปแล้วเธอก็แอบถอนหายใจเล็กน้อย เพราะเกิดมายังไม่เคยต้องใช้คำราชาศัพท์สักครั้ง ยังดีที่แอบสังเกตคนรอบข้างว่าพูดยังไง
แต่ก่อนจะได้พูดคุยสักถามต่ออีก “กึก” ถ้วยน้ำชาจากคนข้างๆ วางลงกระทบพื้นโต๊ะ จนฝั่งตรงข้างหน้าถอดสีไปทันที ใบหน้าสวยหันกลับมายังต้นเสียง ก็สบเข้ากับนัยน์ตาคมจ้องอยู่
“ฉันพูดอะไรผิดอีก”
เสียงหวานเอ่ยออกไปพร้อมกับทำหน้ารู้สึกผิด จนแม่ทัพหนุ่มต้องรีบหันหน้าหนี พร้อมกับเสียงเรียบตามมา
“อย่าพูดมาก มิเช่นนั้นข้าจะไม่ให้ออกมาอีก”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยแล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ แต่สายตาก็ยังคงเหลือบมองคนตัวเล็ก ซึ่งตอนนี้หันกลับไปวางมือบนระเบียง เอาคางเกยมองผู้คนจับจ่ายข้าวของ จนลืมไปว่าเมื่อครู่ตนถูกอีกฝ่ายดุ ทำเอาแม่ทัพหนุ่มถึงกับขมวดคิ้วหนา เพราะคิดว่านางจะโกรธเสียอีก
ในขณะเดียวกันก็มีสตรีงดงามพร้อมกับผู้ติดตามเดินตรงมาหาคนทั้งสี่ด้วยท่าทีดีใจ
“ถวายพระพรองค์ชายทั้งสองเพคะ คารวะแม่ทัพหาญเจ้าค่ะ ไม่คิดว่าจะมาเจอกันที่นี่”
ฉินเสี่ยวผิงคำนับคนทั้งสาม ก่อนจะมองเลยไปยังคนที่นั่งนิ่งอยู่อีกมุม แม้จะแปลกใจรวมถึงไม่ชอบใจ แต่นางก็มิอาจเอ่ยถามถึงที่มาของอีกคนได้
“ไม่คิดว่าท่านหญิงจะออกมาที่แห่งนี้ด้วย”
“แหม! องค์ชายฟานซี หม่อมฉันก็สามัญชนทั่วไปนะเพคะ ได้ตำแหน่งท่านหญิงมาก็เพราะคุณงามความดีของท่านพ่อ หากฝ่าบาทมิแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง หม่อมฉันก็เป็นเพียงคุณหนูทั่วไปเท่านั้น”
เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างถ่อมตน เพราะรู้ดีว่าแม่ทัพหนุ่มนั้นมิชอบอวดศักดินาเช่นกัน แต่ดูเหมือนคนที่นางจ้องอยู่จะเข้าใจเจตนานี้ได้ดี จึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ความสง่างามของบุรุษวัยสามสิบสี่มันช่างถูกใจใครหลายๆ คน โดยเฉพาะเสี่ยวผิง
แต่ต้องชะงักเมื่อคำพูดของแม่ทัพหนุ่มรูปงามเอ่ย
“องค์ชายทรงดื่มต่อเถอะ กระหม่อมจะพาคนของกระหม่อมกลับจวนแล้วพะย่ะค่ะ”
มือเรียวสอดเข้าใต้แขนเล็กเพื่อดึงให้ลุกจากเก้าอี้ โดยหารู้ไม่ว่าสตรีที่พึ่งหันหนีไปได้ไม่นานกำลังเคลิ้มหลับ เพราะเมื่อคืนกว่าเธอจะได้นอนก็เกือบเช้า
คนตัวเล็กถูกดึงขึ้นแบบคนไม่รู้สึกตัว ทำให้ร่างเซถลาชนกับแผงอกกว้างทันที นัยน์ตาสวยปรือมองแม่ทัพอย่าง งงๆ พร้อมกับยกมือขึ้นจะขยี้ตาเหมือนที่ทำประจำ
“นี่เจ้าหลับหรือ อย่าขยี้ตาใครเขาทำกัน”
เฉินตูส่งสายตาดุให้กับสตรีตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะอ่อนลงเมื่อเห็นนัยน์ตาฟ้าครามกำลังจะหลับลงอีก การกระทำของแม่ทัพหนุ่มทำเอาทุกคนต่างก็ตะลึงงัน โดยเฉพาะเสี่ยวผิงที่อดรนทนไม่ไหวถึงกับเอ่ยถาม
“ท่านแม่ทัพหญิงผู้นี้เป็นใครกันเจ้าค่ะ”
เฉินตูเหลือบมองสตรีที่ตั้งคำถามตนเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันได้ตอบสิ่งใดคนตรงหน้าก็เอาหัวพิงมาที่อกเสียก่อน
“เจ้าไปอดหลับอดนอนมาจากที่ใด คนพูดคุยเสียงดังเพียงนี้ยังหลับลงได้ ช่างเป็นสตรีไร้ค่ายิ่งนัก”
แม่ทัพหนุ่มกร่นด่าอีกฝ่ายให้ได้ยิน แต่ดูเหมือนไข่มุกจะหลับไปแล้วจริงๆ จะไม่ให้เป็นแบบนี้ได้ยังไง ก็เมื่อคืนแอบปีนต้นไม้ติดกำแพงเพื่อจะดูรอบนอกจวนว่ามันเป็นยังไงกันแน่
แต่พอออกมาได้ก็เดินเตร่หลบอยู่ในตรอกเล็กๆ จนหลงไปพักใหญ่ ดีที่จำต้นไม้ที่ปีนได้ แต่ก็นั่นแหละกว่าจะหาวิธีกลับเข้าจวนก็กินเวลาไปจนตีสาม สภาพของเธอเลยเป็นอย่างที่เห็น เพราะได้นอนแค่สามชั่วโมงเท่านั้น
“ท่านน้าพานางกลับจวนเถอะ คงจะง่วงมาก จริงๆ”
“ท่านแม่ทัพยังมิได้ตอบข้าน้อยว่านางผู้นี้เป็นใครกัน”
“เรื่องของข้าจำเป็นต้องรายงานผู้อื่นด้วยหรือ”
คำตอบเย็นชาเอ่ยตอบออกไปจนอีกฝ่ายหน้าถอดสี แต่ที่ทำเอาทุกคนนิ่งไปกว่าเดิมก็การกระทำของแม่ทัพนี่แหละ ปากบอกว่าสตรีตรงหน้าไร้ยางอาย แต่กลับช้อนอุ้มขึ้นแนบอกเสียอย่างนั้น ก่อนจะเดินผ่านหน้าเสี่ยวผิงไปอย่างไม่ใยดี สาวงามซึ่งเพรียบพร้อมทุกอย่างหน้าเจื่อนลงกว่าเดิมจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองผู้ที่เดินลงบันไดไปแล้ว องค์ชายทั้งสองเองเมื่อได้สติก็รีบตามไป
“อื้อ อุ่นจัง” เสียงหวานครางออกมาเบาๆ พร้อมกับซุกหน้าเข้าหาอกแกร่ง ทำเอาบุรุษหนุ่มผู้มิเคยมีใครปฎิบัติเช่นนี้ด้วยถึงกับประหม่า
“ต่งเร่อไปเอารถม้าถึงไหน ไม่รู้หรือว่าข้าหนัก”
เสียงทุ้มเอ่ยกลบเกลื่อนความรู้สึกเพราะเกรงว่าคนอื่นจะสังเกตเห็น ฟานซีได้ยินเช่นนั้นก็รีบเสนอตัวทันที
“ท่านอาเช่นนั้นส่งมาให้ข้า”
สองแขนเรียวยื่นออกไปตั้งท่าจะรับ แต่กลับโค้งตัวงอทันทีเมื่อเข้าใกล้ นั้นเป็นเพราะเท้าใหญ่ยื่นออกมายันไว้
ภาพที่ทุกคนเห็นตอนนี้ทำให้คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยว่าแม่ทัพหนุ่มหวงคนตัวเล็กในอ้อมแขนเป็นอย่างมาก แต่นั่นก็แค่ความคิดผู้อื่น ในใจของเฉินตูเพียงมิอยากให้ใครเข้าใกล้ผู้ที่มาจากยุคอื่นเท่านั้น
“คนของกระหม่อม มิต้องให้ผู้ใดมายุ่งพะย่ะค่ะ”
เพื่อตัดปัญหาทุกอย่างแม่ทัพหนุ่มจำต้องเอ่ยถ้อยคำนี้ออกมาให้ชัด เพื่อมิให้มีใครเข้าใกล้นางอีก
“ท่านน้าจะรับนางเป็นฮูหยินเช่นนั้นหรือ”
จินซีเอ่ยถามให้แน่ใจ
“นางคือผู้คว้าธงได้มิใช่หรือ เช่นนั้นชะตาของหมิงจูก็เป็นของกระหม่อม เช่นนี้แล้วพระองค์ไยต้องถามอีก”
เอ่ยจบแม่ทัพหนุ่มก็อุ้มคนตัวเล็กขึ้นรถม้า ทิ้งให้องค์ชายทั้งสองมองตามอย่างหมดหวัง