5. สตรีต่างยุค
หลังจากที่ทั้งสามทานอาหารเสร็จ นัยน์ตาคมก็จับจ้องมายังใบหน้าสวยของสตรีตรงข้าม สื่อให้รู้ว่ามันถึงเวลาที่นางควรจะเอ่ยบอกเรื่องราวกับทุกคนแล้ว
“จะกดดันอะไรนักหนาเนี่ย คนยังหาจุดเริ่มไม่ได้เลย เอาไงดีล่ะทีนี่ไม่น่ารับปากเลยอีมุกเอ๊ย”
เธอนิ่งคิดหาคำพูดน่าเชื่อถือเพื่อบอกกล่าวที่มาของตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจออกมาดังเฮือกหวังรวบรวมความกล้าให้ตัวเอง เพราะถ้ายังเงียบและปล่อยเวลาผ่านไปแบบนี้เห็นท่าต้องติดอยู่ที่นี่ไปอีกนานแน่
“เอาว่ะ ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ เพื่อมีโอกาสหาทางกลับบ้านได้ แม่ทัพอาจจะช่วยพาเราเข้าวังไปที่สระน้ำก็ได้”
พอคิดได้แบบนั้นเธอก็เริ่มมองซ้ายขวารอบห้อง เพราะในนี้คนมากเกินไป ถ้าพูดขึ้นมาคงมีคนหาว่าเธอบ้าแน่ และดูเหมือนการกระทำของเธอแม่ทัพหนุ่มจะเข้าใจดี
“พวกเจ้าออกไปให้หมด อยู่แค่เจ้าสองคนพอ”
บ่าวในจวนโค้งคำนับก่อนจะพากันเดินถอยออกจากห้อง เหลือเพียงห้าคนด้านในซึ่งรวมถึงตัวไข่มุกด้วย
“เอาล่ะจะเอ่ยมาได้หรือยังว่าเจ้าเป็นผู้ใด แล้วไยจึงโผล่ขึ้นมาจากสระน้ำในวัง ทั้งที่มิควรจะอยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำ การแต่งกายของเจ้าก็ดูจะไม่ใช่คนของแคว้นเจียงหนานเรา”
เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นเป็นชุด จนคนตัวเล็กกระพริบตาพร้อมกับฉีกยิ้มแบบไร้ความหวานส่งให้ ก่อนน้ำลายเหนียวหนึบจะถูกกลืนลงคอ เธอหันไปมองหน้านายหญิงหลิวด้วยเช่นกัน เสียงพ่นลมจากปากดังขึ้นเพื่อรวบรวมความกล้า เพราะนี่อาจหมายถึงจุบจบของเธอก็ได้ ถ้าแม่ทัพหนุ่มไม่เชื่อสิ่งที่เธอพูด
“ฉันไม่ใช่คนในยุคนี้ ถ้าบอกแบบนี้คุณจะเข้าใจไหม คือหมายถึงฉันมาจากยุคที่ก้าวล้ำกว่านี้ ไม่สิบอกแบบนี้จะเข้าใจได้ไง คำพวกนี้ที่นี่ยังไม่รู้จักเลย”
ไข่มุกพูดไปพร้อมกับสับสนในถ้อยคำของตัวเอง จะไม่ให้เป็นแบบนี้นได้ยังไง ก็เธอไม่รู้จะอธิบายแบบไหนนี่หน่า ถึงจะเรียนเก่งแต่ก็เกี่ยวกับการประดิษฐ์ลงมือทำ ไม่ใช่วิทยากรที่ใช้ทักษะเรื่องคำพูด
“เจ้าจะบอกว่าไม่ใช่ผู้ที่เกิดในยุคสมัยนี้เช่นนั้นหรือ”
เธอตาโตใส่อีกฝ่ายทันที เมื่อได้ยินแม่ทัพเอ่ยถาม เพราะดูเหมือนเขาจะเข้าใจความหมายที่เธออยากสื่อ
“ใช่ค่ะ ฉันไม่ได้เกิดในยุคสมัยนี้ และไม่ใช่คนจีน เอ่อ! หมายถึงเชื้อชาติเดียวกันกับคุณ คือฉันมาจากวันข้างหน้าซึ่งน่าจะเป็นพันปีหรือมากกว่านั้น “
เธอพูดพร้อมกับส่งตาแป๋วใส่ทั้งแม่และลูก รอดูปฎิกริยาของทั้งคู่ว่าจะทำเช่นไร รวมถึงคนสนิทของแม่ทัพหนุ่มด้วย ซึ่งตอนนี้แต่ละคนทำหน้าเหมือนกัน คือไม่เชื่อ และมันพิสูจน์ได้จากคำพูดของคนตัวโตตรงหน้า
“ตอนเจ้าโผล่ขึ้นมาหัวคงกระแทกกับอะไรบางอย่าง ถึงได้พูดจาเลอะเลือนเช่นนี้ เอาไว้ข้าจะให้ท่านหมอมาตรวจอาการอีกครั้งก็แล้วกัน”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูง คราแรกคิดว่าจะได้คำสารภาพเรื่องที่นางเป็นสายลับต่างแคว้นเสียอีก ดูท่าคงเป็นเพียงสตรีสติไม่ดีเท่านั้น ร่างแกร่งหมุนตัวเพื่อจะเดินออกจากห้อง แต่สองเท้าต้องหยุดชะงักลง เมื่อเสียงหวานเอ่ยบางอย่างขึ้น
“ถ้าคุณไม่เชื่อ ก็พากลับไปที่นั่นพร้อมธงผืนนั้นสิ ฉันเชื่อว่ามันนำทางมา เพราะตอนตกน้ำจากในโลกของฉัน มันมืดมากและสิ่งที่มองเห็นในน้ำ ก็คือแสงสว่างของธงมังกรผืนนั้นซึ่งนำทางพาให้มาโผล่ที่นี่”
ใบหน้าหล่อหันกลับมายังคนตัวเล็กที่ยืนขึ้นเช่นกัน แววตาสวยสบเข้ากับนัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวของคนตัวโตโดยไม่หลบ
เฉินตูหรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับจะมองให้แน่ว่าอีกฝ่ายโกหกหรือไม่ แต่สิ่งที่พบในแววตาสวยกลับมีแต่ความแน่วแน่และหนักแน่น จนเขาไม่คิดว่าจะได้เห็นมันในตัวตนของสตรีหน้าสวยซึ่งดูเหมือนจะทำอะไรไม่เป็นผู้นี้
“เอาล่ะ เจ้ากลับมานั่งก่อนเฉินตู แม่เชื่อว่าหมิงจูมิได้โกหกหรอก ดูจากอาภรณ์ที่เจ้าสวมใส่แล้ว มันไม่ได้มาจากการตัดเย็บของยุคสมัยเราแม้แต่น้อย ข้าเชื่อเจ้า เล่าต่อเถอะผู้ใดมิอยากฟังก็ออกไปเสีย”
นายหญิงหลิวเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน ทำให้แม่ทัพหนุ่มต้องเดินกลับมานั่งที่เดิน พร้อมกับยกน้ำชาขึ้นจิบ แต่สายตายังคงจับจ้องใบหน้าสวยตรงข้าม
“ขอบคุณนายหญิงเจ้าค่ะ คือก่อนที่จะตกน้ำเราร่องแพเที่ยวชมเมืองกันอยู่ แต่จู่ๆ ก็มีลมแรงพัดมาวูบใหญ่จนคนด้านหน้าเซมาชนจนตกน้ำ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองถูกดูดให้จมลง แต่ตอนนั้นก็มีแสงสว่างวาบขึ้น ใครคะนั่น”
ไข่มุกชะงักคำพูดทันทีเมื่อสายตามองผ่านคนตัวโตไปเจอกับหนุ่มหล่อสองคนเดินเข้ามา จินซีและฟานซีองค์ชายรองและอนุชาก้าวเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับองครักษ์
“ท่านน้าท่านยายทำอะไรกันอยู่หรือขอรับ แล้วนี่ใครกันไยจึงมีหน้าตางดงามถึงเพียงนี้”
ฟานซีไม่เอ่ยเปล่าแต่กลับเดินมานั่งลงข้างสาวงามที่ตนรู้สึกถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น โดยมิรู้ว่านางก็คือสตรีกลางสระเมื่อเจ็ดวันก่อนนั้นเอง แม่ทัพหนุ่มมองการกระทำของหลานชายก็รู้สึกขัดตาขึ้นมา เพราะอีกฝ่ายเข้าใกล้สตรีแปลกหน้าเกินไป ตนยังสืบสวนไม่ได้ความเลย ทั้งคู่ก็เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“อะไรกันองค์ชายไยจึงเดินเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียงเช่นนี้ อีกอย่างเรากำลังพูดคุยหารือกันอยู่ ออกไปก่อนได้หรือไม่ เอาไว้กระหม่อมจะออกไปพบที่สวน”
เมื่อได้ฟังคำของน้าชาย องค์ชายทั้งสองจึงรีบลุกเดินออกไป เพราะหากเป็นน้ำเสียงจริงจังเช่นนี้แล้ว ทั้งคู่ก็มิอาจขัดคำขอของแม่ทัพได้ เพราะรู้ดีว่าหากไม่ก็คือไม่สำหรับคนผู้นี้ แม้จะสงสัยมากเพียงใด แต่บุรุษรูปงามทั้งสองก็มิกล้าอยู่ต่อ แม้ตนจะเป็นถึงองค์ชายก็เถอะ
“ท่านน้ามีเรื่องสำคัญอันใดกับสตรีนางนั้นกัน”
“นั่นสิ แต่ท่านยายก็อยู่ด้วยนี่ ว่าแต่นางเป็นใครกันนะ ไยจึงมีใบหน้างามราวกับมิใช่คนในแคว้นเรา ข้าเห็นนัยน์ตาสีเดียวกันกับท้องฟ้านั้นด้วยเสด็จพี่”
“เจ้านี่ช่างสังเกตจริงๆ เช่นนี้แล้วมิรู้หรือว่าสตรีผู้นี้คือคนที่ท่านน้าพากลับมาจากสระน้ำในวังอย่างไรเล่า”
จินซีส่ายหัวให้กับท่าทางเหมือนจะฉลาดของอนุชา แต่กลับนึกไม่ออกว่านางคือใคร
“เสด็จพี่จะบอกว่านั่นคือสตรีที่คว้าธงมังกรอย่างนั้นหรือ เช่นนี้ก็เท่ากับเป็นว่าที่พระชายาของท่านน้าน่ะสิ”
“แค่ฮูหยินก็พอ เดี๋ยวท่านน้ามาได้ยินก็ถูกตำหนิอีกหรอก เจ้านี่ไม่รู้จักจำเอาซะเลย”
จินซียังคงตำหนิอนุชาเรื่องถ้อยคำที่เอ่ยถึงแม่ทัพหนุ่ม เพราะหลายคราแล้วที่เฉินตูย้ำเรื่องฐานะ ว่าตนต้องการเป็นเพียงแม่ทัพของแคว้นเท่านั้น สองพี่น้องนั่งพูดคุยถึงเรื่องของคนด้านในอยู่ที่สวนเพื่อรอผู้เป็นน้าตามคำสั่ง
ส่วนภายในห้องหลังจากที่สะดุดเพราะแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามา ก็ทำเอาไข่มุกมัวแต่นึกถึงใบหน้าหล่อขององค์ชายทั้งสอง จนถูกสายตาคมตำหนิไม่รู้ตัว
“เจ้าจะเอ่ยถึงเรื่องเมื่อครู่ได้หรือยัง หลังจากที่จมลงไปใต้น้ำ เจ้าจะบอกว่ามองเห็นแสงจากธงมังกรแล้วโผล่ขึ้นมาอย่างนั้นหรือ”
เสียงทุ้มเอ่ยถามคนที่ยังมีอาการเพ้อฝันเหม่อลอยอยู่ จนนายหญิงของจวนอดที่จะเอ็นดูท่าทางตรงไปตรงมาของคนตัวเล็กไม่ได้ ซึ่งต่างจากสตรีสมัยนี้มาก
แต่ยังไม่ทันที่คนเป็นแม่จะเอ่ยสิ่งใด แม่ทัพหนุ่มก็เอ่ยวาจาค่อนแคะคนตัวเล็กขึ้นมาเสียก่อน
“ผู้คนในยุคสมัยเจ้าคงเป็นเช่นนี้กันหมดสินะ เห็นบุรุษรูปงามเป็นไม่ได้ ดวงจิตคงเตลิดออกไปไกลแล้วสิท่า”
เพียงเท่านั้นอาการเพ้อของไข่มุกก็ชะงักลงทันควัน พร้อมกับริมฝีปากอิ่มคว่ำลง และนัยน์ตาสวยที่กลอกขึ้นด้านบน ทำเอานายหญิงของจวนอดขันกับท่าทีมิเกรงกลัวบุตรตนของหมิงจูไม่ได้
“นี่เจ้า!” นิ้วเรียวชี้ใส่ใบหน้าสวยทันที พร้อมกับสีหน้าบ่งบอกถึงอารมณ์ฉุนเฉียวซึ่งกำลังจะตามมาในไม่ช้า
“เอาล่ะ เลิกกัดกันเสียที วันนี้จะรู้เรื่องกันหรือไม่”
ไข่มุกหันกลับมาส่งยิ้มหวานให้นายหญิงหลิว แต่กลับยักคิ้วกวนใส่คนตัวโตให้ขบกรามระบายอารมณ์เล่น ก่อนจะนิ่งไปเมื่อเห็นยิ้มร้ายที่อีกฝ่ายส่งกลับมา
“ถ้าเจ้ายังมิพูดให้กระจ่างข้าจะสั่งขังเจ้าสิบวัน”
คอเรียวกลืนน้ำเหนียวลงคอทันที ก่อนจะเปลี่ยนจากท่าทียั่วโมโหแม่ทัพมาเป็นออดอ้อนแทน
“อย่านะคะ ฉันจะเล่าต่ออย่าเอาไปขังเลยนะ”
ไข่มุกไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น แต่สาวงามในชุดสีชมพู ซึ่งผมสลวยถูกรวบขึ้นกลับขยับลุกมานั่งข้างๆ แม่ทัพหนุ่ม พร้อมกับยกมือขาวจับที่ต้นแขนของอีกฝ่าย ทำเอาคนพี่ถึงกับชะงักไป เพราะเธอเอาหน้ามาใกล้จนเห็นนัยน์ตาสีฟ้าครามชัดเจน แก้มเนียนอมชมพูเมื่ออยู่ใกล้ยิ่งหน้ามอง
เฉินตูตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะจนคนเป็นแม่ยกยิ้มอย่างพอใจ แต่ก็ไม่คิดจะทำให้ทั้งคู่รู้ตัวว่ากำลังเข้าใกล้กันมากเพียงใด รวมถึงคนสนิททั้งสองที่ยืนมองพร้อมกับเอามือปิดปากเอาไว้ เพราะกลัวว่าตนจะส่งเสียงดังออกมารบกวนช่วงเวลานี้ของผู้เป็นนาย
“คุณอย่าจับฉันไปขังนะ ถ้าไม่ชอบขี้หน้ากันก็แค่ปล่อยให้ฉันกลับบ้านก็พอ จะได้ไม่ต้องทนเห็นหน้ากันไง”
เสียงหวานเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มสวยส่งให้ คนตัวโตกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเริ่มได้กลิ่นกายสาวบนตัวอีกคน ทั้งยังอยู่ใกล้เพียงคืบแม้ใบหน้าจะอยู่ต่ำกว่าก็เถอะ แต่เหมือนแม่ทัพหนุ่มจะรู้ตัวว่าตนกำลังถูกคนตัวเล็กใช้มารยาด้วย จึงเอ่ยด้วยเสียงเข้มออกมาดังๆ
“กลับไปนั่งที่ของเจ้า ถ้ายังทำตัวเป็นสตรีไร้ยางอายถือโอกาสแตะต้องบุรุษอยู่เช่นนี้ข้าสั่งขังเจ้าแน่”
ร่างเล็กลุกพรวดขึ้นทันที ทำเอาทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกกับท่าทางของเธอ ก่อนจะขันออกมาเมื่อเห็นนางถอยกลับไปนั่งที่เดิม ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินตู
“นั่งที่เดิมแล้วค่ะ”
นิ้วเรียวชี้ลงบนโต๊ะด้านหน้าตัวเอง พร้อมกับยิ้มสวยส่งให้แม่ทัพหนุ่ม เสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูดังขึ้น จนแม้แต่แม่ทัพหนุ่มที่หน้าเครียดยังอดยกยิ้มไม่ได้ เพราะคนตัวเล็กนั้นมีหลายอารมณ์มากจนเขาตามนางไม่ทัน
“เล่ามาให้จบว่าเจ้ามาที่นี่ได้เช่นไร”
ถึงจะพอใจที่อีกฝ่ายเริ่มเชื่อฟัง แต่แม่ทัพหนุ่มก็ยังคงจี้ถามเรื่องที่เขาอยากรู้อยู่ดี เพราะอันที่จริงเฉินตูก็พอจะมองออกแต่แรกแล้วว่านางมิใช่คนในยุคนี้ เพราะคำพูดคำจาภาษาสำเนียงนั้นต่างออกไปมาก ตนรบมาเกือบยี่สิบปีมีหรือจะไม่เคยพบคนต่างแคว้น แต่คนตรงหน้านั้นต่างออกไปอย่างไรก็มิใช่คนจากแคว้นอื่นแน่
“เจ้าค่ะ พอเห็นแสงสว่างจากด้านบนฉันก็ดันตัวขึ้นมาจากน้ำ แล้วคว้าธงไว้อย่างที่พวกคุณเห็น หลังจากนั้นคุณก็พาฉันมาที่นี่ ฉันอยากกลับบ้านคุณช่วยพาไปที่นั่นอีกได้ไหม ถ้าใช้ธงผืนนั้นมันอาจจะนำทางฉันกลับบ้านได้”
นัยน์ตาสวยส่องประกายหาคนตัวโตซึ่งนั่งจ้องเธออยู่ก่อนแล้ว ด้วยความหวังว่าอีกคนจะสงสารเธอขึ้นมาบ้าง และเชื่อในคำพูดทุกคำที่เอ่ยออกมา แต่แม่ทัพหนุ่มก็ยังคงนิ่งจนเธอรู้สึกกลัวว่าเขาจะไม่เชื่อในคำพูด
แต่ก็อย่างว่าแหละมันน่าเชื่อซะที่ไหนล่ะ ถ้าในยุคเธอยังพอคิดได้ว่าอาจมีคนที่ล้ำสมัย จนสร้างทรานแมชชีนขึ้นมาแล้วทะลุมิติมาได้ แต่นี้มันยุคโบราณไฟ้ฟ้าก็ยังไม่มี จะคิดได้ไงว่าจะมีคนจากอนาคตข้ามมาได้
“เอาไว้ข้าจะลองพาเจ้ากลับไปที่นั่นแล้วกัน ท่านแม่ลูกขออกไปคุยกับองค์ชายก่อน อย่างไรก็ให้นางอยู่ที่เรือนหลังเช่นเดิมนั่นแหละ เอาไว้ลูกได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทจะพานางไปด้วย หากธงผืนนั้นจะช่วยให้เจ้าได้กลับบ้าน เรายินดีจะให้เจ้าได้ใช้มันนำทาง”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ซึ่งมันทำให้ไข่มุกนั่งยิ้มจนแก้มแทบแตกทำเอาคนมองนึกหมั่นไส้ขึ้นมา
“ขอบคุณนะคะ นั่นคือประตูส่งฉันกลับบ้านเลยนะ ถ้าไม่มีสิ่งนี้ฉันคงกลับบ้านไม่ได้แน่”
ร่างสูงชะงักไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น เพราะธงมังกรนี้เป็นของบรรพบุรุษราชวงศ์หาญมานานหลายร้อยปี และไม่เคยมีผู้ใดได้แตะต้องนับจากที่ตนเป็นคนขึ้นไปมัดเองกับมือบนต้นเสากลางสระ แต่บัดนี้สตรีตรงหน้ากลับบอกว่าเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตเช่นนั้นหรือ
“ท่านแม่ลูกขอตัวก่อนนะขอรับ”
แม่ทัพหนุ่มรีบหันไปหามารดา ก่อนจะสาวเท้าก้าวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
“ท่านแม่ทัพโกรธหนูหรือเปล่าคะ”
ไข่มุกทำหน้ารู้สึกผิดกับนายหญิงหลิว เพราะเธอเห็นใบหน้าคนตัวโตแดงขึ้นก่อนจะเดินออกไป แต่คนที่ยืนอยู่กลับไม่ได้ตอบคำถาม ทำเพียงแค่ส่งยิ้มแล้วเอามือลูบหัวเท่านั้น เพราะหากจะบอกให้คนตรงหน้ารู้เรื่องสัจจะวาจาที่บุตรชายเอ่ยไว้ คงทำให้หมิงจูไม่สบายใจเป็นแน่
“หากเจ้ามาจากที่อื่น ข้าก็มิควรรั้งเจ้าไว้ อาจมีใครสักคนรอเจ้าอยู่ก็ได้ หากชะตาเจ้าเป็นของเฉินตู อย่างไรเสียก็คงได้ครองคู่กันเป็นแน่”
นายหญิงของจวนคิดในใจ พร้อมกับสายตาเอ็นดูคนตรงหน้าที่ยังคงมองไปที่ประตู ราวกับอยากออกไปสำรวจด้านนอกของจวน
“อยากออกไปหรือ ถ้าเจ้าไม่ได้อยู่ในยุคนี้ ก็คงอยากเห็นวัฒนธรรมของที่นี่สินะ เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะให้เผิงเหยากับชิงลี่พาเจ้าออกไปเดินตลาดแล้วกัน แต่คงต้องเอาคนติดตามไปด้วย เพราะอย่างไรเจ้าก็เป็นคนแปลกถิ่น”
“ไปได้เหรอคะ ขอบคุณนะคะนายหญิง”
ไข่มุกลุกขึ้นไปกอดคนแก่ที่ใจดีกับเธอเสมอตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ นายหญิงหลิวลูบหัวอย่างเอ็นดู
สายของอีกวันนายหญิงหลิวก็สั่งให้สาวใช้พาหมิงจูออกไปเดินเที่ยวในเมือง ร่างเล็กเดินนำสาวใช้ทั้งสองมุ่งหน้าจะออกประตูด้วยท่าทางร่าเริง แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขึ้นบันไดประตูเลยแม้แต่น้อย เสียงเรียกก็ดังขึ้นซะก่อน
“ใคร!! อนุญาตให้เจ้าออกจากจวน”