3. หลงยุคของจริง
ภายในห้องใหญ่ของเรือนด้านหลังอันเงียบสงบ ร่างของสาวสวยวัยยี่สิบยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงกว้าง ซึ่งมีผ้าม่านสีขาวปล่อยลงมาปิดคลุมรอบเตียงราวกับเจ้าหญิง
เพราะการตบแต่งของจวนแม่ทัพนั้นไม่ได้ต่างจากในวังสักเท่าไหร่ สาเหตุก็มาจากมารดาของแม่ทัพเคยเป็นแม่นมของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน และบุตรสาวก็กลายเป็นกุ้ยเฟยไปอีก ที่นี่จึงไม่ต่างจากตำหนักแต่อยู่นอกวังเท่านั้น
สาวใช้ถูกจัดมาถึงสองคน เพื่อให้คอยดูแลคนป่วย ซึ่งทั้งคู่ก็ทำหน้าที่เป็นอย่างดี เพราะมิอาจขัดคำสั่งผู้เป็นนายได้ แม้จะมีข้อสงสัยอยู่มาก แต่ก็เพียงแต่พูดคุยกันเองเพราะหากรู้ถึงหูคงถูกโบยเป็นแน่
"เจ้าว่าสตรีผู้นี้จะได้แต่งเข้ามาเป็นภรรยาของท่านแม่ทัพอย่างที่ใต้เท้าหยางเอ่ยหรือไม่"
"เจ้าถามข้าเช่นนี้จะให้ข้าไปถามผู้ใดได้ อยู่กันแค่สองคน ข้าก็รู้พอๆ กับเจ้า"
เสียงตอบติดรำคาญเอ่ยก่อนจะยกกะละมังน้ำตั้งท่าเดินออกจากห้อง หลังจากเช็ดตัวให้คนป่วยแล้ว เผิงเหยามองตามสหายตน ซึ่งเข้ามาทำงานรับใช้ในจวนพร้อมกัน และยิ้มแห้งใส่เมื่อเดินตีคู่กันออกมา
"แต่นางงดงามแตกต่างจากสตรีในแคว้นมากนัก ข้าอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดท่านแม่ทัพถึงไม่ใส่ใจนาง เอานางมาทิ้งไว้เช่นนี้ มิยอมรับนางเข้าเรือนใหญ่"
เสียงพูดคุยของสองบ่าวด้านนอก ทำให้คนที่หลับตั้งแต่เมื่อวานตื่นขึ้น แต่เพราะยังมีไข้อยู่จึงทำได้เพียงลุกขึ้นมานั่งบนเตียงเท่านั้น
"อื้อ ที่นี่ที่ไหนกัน โรงพยาบาลเหรอทำไมมีมุ้งกางด้วย"
นัยน์ตาสวยกวาดมองไปรอบๆ เตียง คิ้วเรียวผูกกันเป็นปมเมื่อมองดูข้าวของที่ตบแต่งด้านใน มันไม่น่าจะใช่ห้องพักในโรงพยาบาลแน่ ยังจะผ้าม่านที่ผูกจากด้านบนนี้อีก เธอกำลังคิดว่ามันเป็นฉากห้องนอนขององค์ชายในซีรี่ย์อย่างที่เคยเห็นในทีวี
“อย่าบอกว่ายังอยู่ที่กองถ่ายอยู่นะ อะไรมันจะสมจริงขนาดนี้ แต่ทำไมถึงดูเงียบจังถ้าถ่ายอยู่ก็ต้องมีเสียงคนวุ่นวายอยู่ด้านนอกสิ คงไม่ใช่หรอกเข้าอาจพักกองอยู่ก็ได้”
ไข่มุกยังพยายามคิดว่าเธอแค่หลงมาในกองถ่าย เพราะมันยากที่จะให้เชื่อว่าเธอมาโผล่อีกโลกหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะย้อนกลับมานานมาก เพราะภาษาที่ทุกคนพูดกันบางคำไข่มุกก็ไม่เข้าใจ แม้เธอจะเรียนที่จีนมาตั้งแต่มัธยมก็เถอะ แต่ภาษาเก่าๆ ผู้คนสมัยใหม่ก็ไม่ค่อยใช้กันแล้ว ทำเอาเธอเริ่มสับสนมากขึ้นทุกทีในตอนนี้
“ไม่ไหวแล้ว เป็นแบบนี้แย่แน่ ทำไมปวดหัวจัง”
เธอเอนตัวลงนอนอีกครั้ง ไม่นานเปลือกตาสวยก็หลับลงไปเพราะความอ่อนเพลียของพิษไข้ จนกระทั่งผ่านมาอีกวัน อาการก็เริ่มดีขึ้นจนเธอลุกออกจากเตียง สองบ่าวยืนมองสาวงามที่เดินไปมาราวกับสำรวจหรือหาอะไรบางอย่างอยู่
"แม่นางท่านนี้ฟื้นแล้ว ข้าจะไปรายงานนายหญิงก่อน เจ้าดูแลนางให้ดีข้าจะรีบมา"
เผิงเหยารีบเดินออกจากห้องไป ส่วนเหมยหนิงยกยาที่ต้มไว้ส่งให้คนที่เดินรอบห้องโดยไม่พูดจาอะไรเลย ไข่มุกรับถ้วยมาทั้งที่ยังงงอยู่ เพราะตอนนี้เริ่มไม่ไว้ใจกับทุกอย่าง แม้แต่กับคนที่ดูจะเป็นมิตรอย่างคนตรงหน้า
"เอ่อ นี่อะไรคะ"
"ยาเจ้าค่ะ ดื่มเสียจะได้หายป่วยไวไวอย่างไรเจ้าคะ"
"ขอบคุณนะคะ เอ่อ แล้วไม่มียาเม็ดเหรอ"
เธอยังคงเอ่ยถามถึงสิ่งที่มันไม่ได้มีอยู่บนยุคนี้ แม้อีกฝ่ายจะเข้าใจว่าสตรีนางนี้คงหมายถึงยาเม็ดสีดำที่กินได้เฉพาะคนในราชวงศ์เท่านั้น แต่พอเห็นสีหน้าของบ่าวรับใช้
ไข่มุกเลยต้องยอมยกถ้วยยาดื่มไปทั้งอย่างนั้น เพราะดูเหมือนจะคุยกันคนละเรื่องซะแล้ว พอยาหมดคนตรงหน้าก็แย่งเอาถ้วยไปวางที่โต๊ะ ก่อนจะหันมาพูดกับเธอ
"เดี๋ยวนายหญิงจะเข้ามาเยี่ยมเจ้า อย่าพึ่งหลับไปอีกเสียล่ะ ยังต้องทานอาหารอีก"
ใบหน้าสวยยิ้มออกมาให้คนตรงหน้า แม้จะรู้สึกงงอยู่แต่ก็ไม่คิดที่จะถามอะไรมาก ด้วยนิสัยที่ชอบสังเกตเองมากกว่า นัยน์ตาสวยจ้องมองคนที่น่าจะมีอายุมากกว่าเธอหลายปี ทำโน่นหยิบนี่ไปเรื่อย
"การตกแต่งดูไม่ต่างจากซีรี่ย์ที่เคยดูมาเลยแฮะ แล้วจับเราแต่งชุดแบบนี้อีก คงไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกนะ ดูจากการรักษาก็คงไม่ทำอะไรเราหรอกมั้ง"
ไข่มุกพูดกับตัวเองเบาๆ แม้จะเรียนมาทางด้านออกแบบดีไซน์ แต่ก็ใช้ว่าเธอจะรู้เพียงแค่การออกแบบเท่านั้น เธอเป็นคนฉลาดเฉลียวมากพอดู
"ฟื้นแล้วหรือ ไหนขอข้าดูหน้าเจ้าหน่อยซิ"
นายหญิงหลินรีบเดินตรงมาที่เตียง ไข่มุกมองคนแก่ซึ่งน่าจะอายุมากกว่าแม่เธออยู่หลายปี เดินตรงเข้ามาพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนโยนให้
"ดูสิ พวกเจ้าดูนาง ทำไมถึงได้หน้าตางดงามน่าชังเช่นนี้ เฉินตูทำเรื่องพลาดแล้วที่มิสนใจเจ้า"
ไข่มุกยิ้มแก้มแดงกับคำชมของอีกฝ่าย แม้ตอนที่อยู่ในยุคปัจจุบันจะมีคนชมเธออยู่ประจำ แต่คนตรงหน้ากับเยินยอเธอราวกับเป็นนางฟ้านางสวรรค์ก็ไม่ปาน นายหญิงหลิวนั่งลงข้างๆ ไข่มุกก่อนจะใช้มือเกี่ยแก้มเนียนใส
"เจ้าชื่ออะไรกัน แล้วเป็นบุตรของผู้ใด"
เมื่อถูกถามแบบนี้เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงเหมือนกัน เพราะถ้าหากที่นี่เป็นอีกยุคอย่างที่คิด ถ้าบอกความจริงไปจะส่งผลดีต่อเธอหรือไม่
"หนูจำอะไรไม่ได้ค่ะ"
เมื่อยังคิดหาวิธีไม่ได้ก็จำต้องเล่นบทความจำเสื่อมไปก่อน ไม่งั้นเธอคงถูกหาว่าบ้าแน่ถ้าคล้อยตามคนเหล่านี้ เพราะถ้าที่นี่เป็นแค่โรงถ่ายแล้วตั้งใจแกล้งเธอคงได้อายจนต้องใช้ปี้บคลุมหัวแน่
"หนูเหรอ เมื่อครู่เจ้าหมายถึงตัวเจ้าเช่นนั้นหรือ แล้วที่บอกว่าจำอะไรไม่ได้ นี่หมายถึงชื่อเจ้าด้วยใช่หรือไม่"
ไข่มุกพยักหน้าทันที การที่เธอหลุดพูดคำแปลกๆ ออกไปมันทำให้เธอจับสังเกตได้หลายอย่าง แต่ถ้าจะต้องพิสูจน์กันเธอคงต้องหาทางออกจากที่นี่ ถึงจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะอยู่แต่ในห้องแบบนี้ไม่มีทางกลับบ้านได้แน่
"เช่นนั้นข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าก็แล้วกันนะ เอาชื่ออะไรดีล่ะ เจ้ามีสิ่งที่ชอบหรือไม่ พอจะจำได้หรือเปล่า"
"ไข่มุกค่ะ" เสียงหวานรีบตอบชื่อของเธอออกไป เพราะถ้าตั้งชื่อจีนอย่างน้อยก็ต้องเป็นชื่อที่เธอคิดเอาไว้ เพราะเพื่อนในมหาลัยเรียกเธอแบบนี้
"ไข่มุกหรือ เจ้าคงหมายถึงมุกสินะ เช่นนั้นเจ้าก็ชื่อ หมิงจู ก็แล้วกันเหมาะกับเจ้าดีจริงๆ ผิวพรรณก็งามราวไข่มุกเช่นนี้ ข้าชอบชื่อนี้มากความหมายก็ดี"
ริมฝีปากอิ่มชมพูยิ้มหวานส่งให้คนตรงหน้า ที่อุตส่าห์ตั้งชื่อใหม่ให้เธอซึ่งก็เป็นไปตามคาด แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะชอบใจจนเหมือนตั้งให้ตัวเองเสียด้วยซ้ำ หลังจากพูดคุยกันอยู่สักพัก เมื่อเห็นคนป่วยมีอาการอ่อนเพลียอีก นายหญิงหลิวจึงประคองให้หมิงจูนอนลง ก่อนจะจัดการห่มผ้าให้แล้วออกจากห้องไปพร้อมรอยยิ้ม
จากวันนั้นก็ผ่านมาสามวันแล้วนายหญิงหลิวดูแล หมิงจูเป็นอย่างดี จนวันนี้เธอได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องเสียที ไข่มุกหรือหมิงจู ยืนมองบรรยากาศรอบๆ ตอนนี้เธอเริ่มแน่ใจแล้วว่าตัวเองคงหลุดเข้ามาอยู่ในยุคโบราณนี้แล้วจริงๆ เพราะถึงจะอยู่แต่ในห้อง
แต่การกระทำของทุกคนมันก็บ่งบอกให้รู้ว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจริงไม่ใช่ฝัน ไม่ใช่ถ่ายซีรี่ส์ เพราะถ้าเป็นอย่างหลังทุกคนจะมาคอยดูแลเธอตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงทำไม โดยเฉพาะสองสาวที่ตามติดเธอเป็นเงา จนดูเหมือนจะเป็นนักโทษมากกว่าคุณหนูอย่างที่นายหญิงเรือนนี้อยากให้เป็น
"ทำไงล่ะทีนี้ หรือเราจะต้องกลับไปที่เดิมถึงจะกลับบ้านได้ แล้วแบบนี้ใครจะช่วยเราล่ะ ถ้าตรงนั้นเป็นพระราชวังจริง คนธรรมดาอย่างเราจะเข้าได้เหรอ มันไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวเหมือนยุคปัจจุบันด้วยสิ"
เสียงหวานเอ่ยออกมาเบาๆ แต่สองเท้าก็ยังคงก้าวเดินตามบ่าวรับใช้ที่ดูแลเธอมาตลอดสามวัน พอมาถึงห้องทานอาหารก็มีนายหญิงของจวนนั่งรออยู่ เธอถูกเรียกให้นั่งลงข้างๆ สตรีสูงวัยซึ่งยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้ทุกวัน
"เห็นเจ้าดีขึ้นมากแล้วข้าก็ดีใจ มาเถอะทานอาหารเสียก่อน แล้วหลังจากนั้นเราค่อยมาคุยกันว่าจะทำเช่นไรต่อไปให้เจ้าจำเรื่องราวทุกอย่างได้"
ไข่มุกรู้สึกผิดขึ้นมาเมื่ออีกคนเอ่ยเช่นนั้น เพราะทุกอย่างเธอโกหก พอได้เห็นยิ้มอ่อนโยนของคนตรงหน้า ยิ่งทำให้เธอละอายใจขึ้นมาเสียดื้อๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงเพราะจะบอกความจริงก็คงไม่มีใครเชื่อแน่
“ทานมากๆ จะได้แข็งแรงมีน้ำมีนวล ดูใบหน้าเจ้ายังซูบผอมอยู่เลย เดี๋ยวพี่เจ้ากลับมาเจอจะหนีกลับค่ายอีก”
ไข่มุกชะงักไป เพราะคำพูดของนายหญิงของจวนมันดูเหมือนกำลังจับคู่ให้เธอกับใครสักคน และคงเป็นลูกชายของคนตรงหน้าแน่ เธอยิ้มแห้งใส่อีกฝ่ายทันที
นายหญิงหลิวมองเด็กสาวเห็นว่าหน้าตาสดใสขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
เผยให้เห็นใบหน้าสวยงามราวกับภาพวาด เป็นที่น่าหวงแหนของบุรุษที่ได้ครอบครองในวันข้างหน้า จนบางครานางก็อดคิดว่าบุตรชายนั้นช่างโง่เขล่าเสียจริง ที่ไม่ใส่ใจสตรีผู้นี้ แต่หากพบเจอกันสักครั้งก็ไม่แน่ว่าเฉินตูอาจเปลี่ยนใจก็ได้
ภายในค่ายชินเซียง เฉินตูยังคงฝึกทหารและตนเองอยู่เช่นนี้ทุกวัน แม้จะไม่มีศึกมาเกือบสองปีแล้วก็ตาม แต่ถึงจะอยู่ที่ค่าย แม่ทัพหนุ่มก็ยังส่งคนไปเฝ้ายังจวนของตน เพราะไม่ไว้ใจสตรีแปลกหน้าที่ตนพากลับมาด้วย แม้จะมีรายงานว่านางผู้นั้นมีไข้จนนอนซมอยู่ก็ตาม
"ท่านแม่ทัพ มีคนจากที่จวนมารายงานขอรับ"
หยางรุ่ยเดินเข้ามารายงานแม่ทัพของตน ที่กำลังฝึกดาบอยู่ แม้จะมีอายุสามสิบสี่แล้ว แต่เฉินตูก็ยังดูหน้าตาเด็กกว่าอายุมาก อีกทั้งรูปร่างที่สูงโปร่งและเต็มไปด้วยมัดกล้าม แม้จะมีรอยแผลตามร่างกายอยู่ไม่น้อย
แต่สตรีใดได้พบหน้าและรูปร่างไร้อาภรณ์เช่นนี้ เป็นต้องพลีกายให้แต่โดยดีเป็นแน่ ผมดำยาวถูกรวบม้วนขึ้นพร้อมกับครอบเอาไว้ด้วยเครื่องทองดูสง่างามน่าเกรงขาม เม็ดเหงื่อไหลลงมายิ่งทำให้บุรุษที่มีใบหน้าคมเข้มผู้นี้น่าหลงใหลไม่ต่างจากนายแบบในยุคปัจจุบัน
แม่ทัพตวัดดาบลงเมื่อคนสนิทเดินเข้ามารายงาน
"มีอะไรก็พูดมา หรือว่าสตรีนางนั้นทำสิ่งใดให้ท่านแม่ทุกข์ใจ หรือนางเป็นไส้ศึกอย่างที่ข้าคิดจริงๆ"
เมื่อคิดเองเสร็จสับว่าสตรีแปลกหน้าอาจจะสร้างปัญหาให้มารดา เฉินตูก็อดเป็นห่วงคนที่จวนไม่ได้ โดยไม่ฟังคำรายงานเลยแม้แต่น้อย ร่างสูงกระโดดควบม้าไปทั้งที่ยังไม่ได้สวมเสื้อผ้า มีเพียงผ้าคลุมที่คว้ามาได้เท่านั้น
"ท่านแม่ทัพจะไปที่ใดขอรับ"
หยางรุ่ยและตงเร่อรีบควบม้าตามผู้เป็นนายกลับเข้าเมือง เพราะค่ายทหารอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปเกือบ 2 ชั่วยาม (4 ชั่วโมง) จึงทำให้กว่าจะมาถึงก็พลบค่ำไปแล้ว เฉินตูรีบตรงเข้าไปในจวนทันที