2. นอนซม
นายทหารซึ่งทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยภายในวังเอ่ยถามแม่ทัพหนุ่มขึ้น ไข่มุกมองตามสายตาของผู้ชายซึ่งดูจากการแต่งตัวก็คงจะเป็นทหารนั่นแหละ จนสะดุดเข้ากับนัยน์ตาคมดุจเหยี่ยว
“เอาตัวกลับไปที่จวนข้า เสร็จงานทางนี้ข้าจะสอบสวนนางเอง แล้วให้คนหาเสื้อผ้าเปลี่ยนเสียด้วย”
ไข่มุกตาโตใส่ทันทีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายให้เอาตัวเธอไปที่ไหนสักแห่ง ซึ่ง” จวน” ที่ว่าคงเป็นบ้านตาคนนี้ และคนอย่างไข่มุกไม่มีทางยอมแน่
“ฉันไม่ไป คุณไม่มีสิทธิ์จะจับฉันขังไว้เข้าใจมั้ย แค่เรียกรถให้ก็พอแล้วที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
สาวสวยยังคงยืนประจันหน้ากับหนุ่มหล่อโดยไม่กลัว ทำเอาเหล่าขุนนางและทหาร ต่างก็ถอยหลังกันจ้าละหวั่น
เพราะคนสุดท้ายที่ปากเก่งกับแม่ทัพหาญได้นอนอยู่ในหลุมไปแล้ว ไข่มุกมองตามปฎิกริยาของคนรอบข้างก็เริ่มหน้าซีดขึ้นมา แต่ก็ยังคงเชิดหน้าใส่อีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว (อันที่จริงตอนนี้หน้าสวยเหลืออยู่แค่สองนิ้วแล้ว)
เฉินตูเดินตรงมาหาร่างเล็กที่มีความสูงแค่ไหล่ตนเท่านั้น พร้อมกับยิ้มเหยียดอีกฝ่ายให้เจ็บใจเล่น แต่ก่อนที่แม่ทัพหนุ่มจะได้พูดอะไรออกมา พระสนมก็ขัดขึ้นเสียก่อน เมื่อเห็นท่าทีน้องชาย
“คิดทำสิ่งใดก็นึกถึงคำพูดของเจ้าก่อนเถอะ นี่อย่างไรล่ะผู้คว้าธงมังกรได้ ให้ไปอยู่ที่จวนเจ้าก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว เอ่ยสิ่งใดไว้ก็ทำตามเสียด้วยนะท่านแม่ทัพ สัจจะวาจาต่อทวยเทพถือเป็นคำสัตย์ห้ามขัด”
พระสนมเอ่ยพร้อมกับยิ้มออกมา ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม เพราะเห็นสายตาเหล่าโอรสตนจ้องสตรีซึ่งยังหาที่มาไม่ได้ จนเกรงว่าทั้งสองจะอยากครอบครองนาง
ลี่กุ้ยเฟยนั้นอยากได้สะใภ้ที่มีฐานอำนาจมากกว่าจะเป็นสตรีประหลาดไม่รู้ที่มาเช่นนี้
"กระหม่อมแค่ทำตามหน้าที่คนแปลกหน้าโผล่มาจากน้ำ อย่างไรก็ต้องถูกสอบสวนพะย่ะค่ะ ส่วนเรื่องธงก็เป็นเพราะมันหักลงมานางถึงคว้ามันมาได้เช่นนี้"
เฉินตูไม่แม้แต่จะมองหน้าคนตัวเล็ก ทุกครั้งที่ถูกอีกฝ่ายตอกกลับนางก็รีบหันหนี ถึงจะมองเห็นเสี้ยวหน้าในบางครั้งก็เถอะ แต่สิ่งที่ดึงดูดให้ทุกคนสนใจมันคือรูปร่างใต้เสื้อคลุมตัวนี้ต่างหาก เพราะตอนนี้สภาพของสาวสวยมันไม่เหลือเค้าเดิมเท่าไหร่ จนบางคนถึงกับกลั้นขำไม่อยู่
"ฮัดเช้ย!!" เสียงขึ้นจมูกดังขึ้นมาหลังจากที่ร่างกายยังไม่ได้รับความอบอุ่นเสียที เฉินตูจำใจต้องหันมามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ นัยน์ตาคมมองมายังร่างเล็กซึ่งมีอาการหนาวสั่นจนเริ่มยืนไม่อยู่ จนมือเล็กนั้นหันมาคว้าผู้ที่อยู่ใกล้เธอจนได้ แขนแกร่งโอบกอดไว้ทันทีเช่นกัน
"คุณอาพามุกไปหาหมอหน่อยสิ มุกปวดหัว"
แม้จะมีอาการของคนไข้ขึ้น แต่เธอก็มีสติมากพอจะขอร้องอีกฝ่ายให้ช่วยเหลือ ไข่มุกยืนตัวสั่นจนคนตัวโตสัมผัสได้เช่นกัน แต่ยังไม่ทันได้พูดหรือทำอะไรต่อ เธอก็ซบลงที่ไหล่แกร่งก่อนแล้ว พระสนมและคนอื่นๆ ตกใจที่เห็นสตรีนางนี้หมดสติไป
"เฉินตูเจ้ารีบพานางกลับเถอะ แล้วรีบตามหมอมารักษาด้วยอย่าปล่อยไว้นานนางคงจับไข้แล้วเป็นแน่"
"นั่นสิท่านแม่ทัพ พาว่าที่ภรรยาของท่านไปเสียเถอะ พวกเราจะได้เลือกสนมกันเสียที"
รัชทายาทเผิงซีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ทำให้เสียเวลามากเกินไปแล้ว เฉินตูเองก็ไม่ได้อยากอยู่ที่นี่นัก เมื่อเห็นว่าเป็นโอกาสดีจึงยอมอุ้มคนตัวเล็กกลับจวนแม่ทัพของตน ผู้คนต่างก็มองตามแม่ทัพใหญ่ที่ยอมแตะต้องสตรีให้เห็นเป็นครั้งแรกเช่นนี้
แม้ว่าเฉินตูจะเรียกหาสาวงามในยามต้องการเช่นบุรุษทั่วไป แต่นี่กลับเป็นสตรีคนแรกที่เขาจะพาเข้าเรือน
"บอกท่านแม่ว่าข้าฝากดูแลนางด้วย"
"แล้วท่านจะไม่อยู่ดูนางหน่อยหรือขอรับ นางอาจจะถูกส่งมาให้เป็นฮูหยินของท่านจริงๆ ก็ได้"
เฉินตูมองหน้าคนสนิทพร้อมกับหรี่ตาลง ก่อนจะหันไปมองคนที่นอนขดอยู่บนเตียง
"เช่นนั้นหากนางฟื้นขึ้นมา ข้าจะให้แต่งงานกับเจ้าก็แล้วกัน เจ้าเองก็ยังมิมีภรรยามิใช่หรือ
"เหตุใดท่านแม่ทัพเอ่ยเช่นนี้ นางเป็นผู้คว้าธงได้ก็ต้องเป็นภรรยาของท่านแม่ทัพสิขอรับ"
"ขนาดเจ้ายังไม่อยากรับเป็นภรรยา แต่กลับจะบอกให้ข้าแต่งนางเข้ามาเช่นนั้นหรือ ข้าไม่คิดจะมีฮูหยินตั้งแต่แรก ไหนเลยจะต้องทำอย่างที่เอ่ยด้วย เรื่องธงมังกรก็แค่เรื่องที่เกิดขึ้นเหมาะเจาะพอดีเท่านั้น ข้ามิใส่ใจหรอก"
เฉินตูมองหน้าคนสนิทของตนก่อนจะเดินออกจากห้องไป เพราะตอนนี้มารดาตนทราบเรื่อง และสั่งให้คนเข้ามาดูแลสตรีไม่รู้ที่มาผู้นี้แล้ว จึงมิจำเป็นต้องอยู่ต่อ
"เจ้าพาใครมากันซ้ำยังเป็นสตรีอีก"
"นายหญิงสตรีผู้นี้คือผู้คว้าธงมังกรบนเสา ซึ่งเป็นผืนเดียวกันกับที่ท่านแม่ทัพได้เอ่ยวาจาไว้ขอรับ"
หยางรุ่ยรีบเอ่ยบอกนายหญิงของจวนทันที ก่อนจะหันมาสบเข้ากับนัยน์ตาคมของผู้เป็นนายจ้องอยู่
"เห็นทีข้าคงต้องเปลี่ยนผู้ติดตามใหม่แล้ว จัดการให้ข้าด้วยตงเร่อ เรียบร้อยแล้วก็ตามข้ากลับค่าย"
"ไม่นะขอรับ ข้าน้อยก็พูดไปตามที่เห็นเท่านั้น"
หยางรุ่ยรีบหันหัวกลับมาอ้อนวอนผู้เป็นนายที่กำลังเดินออกจากห้องทันที แม้จะรู้ว่าแม่ทัพเพียงแต่เอ่ยไปเช่นนั้นเอง แต่ที่ทำให้เฉินตูชะงักฝีเท้า กลับเป็นคำพูดของมารดามากกว่า
"นางเป็นคนที่สวรรค์ส่งมาจริงหรือ เช่นนั้นเจ้าก็ควรจะรับนางเข้ามาในฐานะภรรยาสิ หรือเจ้าจะให้แม่ตายโดยที่ไม่ได้เห็นหน้าหลานหรืออย่างไรกัน"
เฉินตูหันกลับมามองหน้ามารดาก่อนจะถอนหายใจ สุดท้ายก็เอ่ยถ้อยคำเดิมๆ ให้ได้ยินเช่นทุกครั้ง
"ท่านแม่ก็มีหลานเป็นถึงองค์ชายแล้ว ยังจะอยากได้หลานจากข้าอีกเช่นนั้นหรือ ท่านอย่าคาดหวังอะไรจากข้าเลย สตรีผู้นี้หากนางหายดีแล้วข้าก็จะส่งไปสอบสวนที่สำนักตรวจการ จะต้องสืบให้รู้ว่านางมาจากที่ใดกันแน่"
เฉินตูเอ่ยจบก็เดินออกไป ทิ้งให้มารดามองตามอย่างสิ้นหวังอีกครั้ง หลังจากที่เป็นเช่นนี้เรื่อยมาตั้งแต่บุตรชายสูญเสียคนรักไปเมื่อหลายปีก่อน ตั้งแต่นั้นแม่ทัพหนุ่มก็ให้คำสัตย์กับธงมังกร ที่เปรียบเสมือนผืนผ้าแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแคว้น เพราะจะถูกปลดลงมาทุกครั้งในยามออกรบ และจะได้ชัยชนะกลับมาทุกคราเช่นกัน
“นายหญิงหากสตรีนางนี้คือโชคชะตาของท่านแม่ทัพ อย่างไรก็หนีกันไม่พ้นหรอกเจ้าค่ะ”
แม่นมตู้เอ่ยกับผู้เป็นนาย ก่อนจะหันไปมองผู้ที่หลับไม่ได้สติบนเตียง โดยตอนนี้มีหมอกำลังตรวจอยู่ ก่อนจะส่งเทียบและห่อยาให้หนึ่งมัดแล้วก็ออกไป
สตรีในวัยห้าสิบสี่เดินเข้ามานั่งลงบนเตียง พร้อมกับมือเกลี่ยผมที่ปรกลงมาออก ใบหน้าเนียนแดงก่ำเพราะพิษไข้จนนายหญิงของจวนอดสงสารไม่ได้
“เจ้าหาผ้ามาเช็ดตัวให้นางหน่อยเถอะ ไยใบหน้าถึงเปื้อนเปรอะเช่นนี้ อย่าลืมเอาชุดมาเปลี่ยนด้วยล่ะ”
บ่าวในเรือนรับคำก่อนจะออกจากห้องไปด้วยท่าทางไม่พอใจนัก เพราะต่างก็หวังจะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปเป็นอนุหรือถ้าโชคดีก็อาจได้เป็นฮูหยินก็ได้ แต่พอได้ยินว่าสตรีนางนี้คือผู้ที่คว้าธงได้ก็เกิดไม่พอใจขึ้นมา แต่นั่นก็เป็นแค่กับบางคนเท่านั้น เพราะยังมีบ่าวที่เจียมตนอยู่หลายนาง
ไข่มุกถูกจับเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยมือของแม่นมตู้ แม้จะลำบากกับชุดที่ร่างเล็กนี้ใส่ แต่ก็ไม่เกินความสามารถของนางในขณะที่เปลี่ยนเสื้อผ้า แม่บ้านก็ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู รูปร่างเย้ายวนชวนมองแม้ตนจะเป็นสตรีเหมือนกัน ก็ยังอดชื่นชมมิได้พอคิดว่าคนบนเตียงนี้อาจจะเป็นว่าที่นายหญิงคนใหม่ อย่างที่หยางรุ่ยเอ่ยก็ยิ่งดูแลเป็นอย่างดี
"ใบหน้าของเจ้าช่างแตกต่างจากสตรีทั่วไปจริงๆ พอเช็ดรอยดำออกและแต่งตัวเช่นนี้ ก็ยิ่งเผยความงดงามไร้ที่ติ เหตุใดท่านแม่ทัพถึงมีท่าทีไม่ชอบเจ้ากันนะ หรือเป็นเพราะยังมิได้เห็นใบหน้าที่แท้จริง”
แม่นมตู้เอ่ยขึ้นอย่างเอ็นดูและสงสัยไปพร้อมกัน เมื่อแต่งตัวให้คนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว จึงห่มผ้าให้ก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อไปรายงานผู้เป็นนาย
"เป็นอย่างไรบ้าง สตรีผู้นั้นยังหลับอยู่หรือ แล้วไข้ลดลงบ้างหรือไม่"
"นางมีไข้แต่ข้าน้อยเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้คงสบายตัวมากแล้วไม่นานคงดีขึ้น"
แม่นมตู้เอ่ยพร้อมกับรินน้ำชาส่งให้ ก่อนจะชะงักกับคำพูดของนายหญิงของจวน
"หน้าตานางเป็นเช่นไร ดูท่าคงจะไม่มีสิ่งใดดึงดูดได้สินะ บุตรชายข้าถึงได้ไม่ไยดีเช่นนี้"
เสียงเล็กเอ่ยถาม ก่อนจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ
"มิได้เป็นเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ นางงดงามต่างจากสตรีในแคว้นนี้มาก ผิวพรรณก็ผุดผ่องน่าจับต้อง ที่ท่านแม่ทัพมิสนใจคงเป็นเพราะสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงมากกว่า ไหนจะรอยเปื้อนบนดำขอบตานั้นอีก พอเช็ดออกแล้วก็เผยใบหน้างามเทพธิดาที่สวรรค์สร้างมาเลยนะเจ้าคะ"
คำพูดที่ดูเกินจริงอยู่มากของแม่นมทำเอาผู้เป็นนายสนใจไม่น้อย แต่ครั้นจะเดินไปดูเสียตอนนี้เลย ก็เกรงจะไปทำให้คนป่วยตื่นขึ้นมาเสียมากกว่า
จึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้รอให้ถึงพรุ่งนี้เสียก่อนนางจะเดินไปดูหน้าสตรีผู้นี้แน่
"เจ้าพูดจริงหรือ เช่นนั้นก็จัดคนดูแลนางไว้สักคน เผื่อตื่นขึ้นมาจะได้มีคนคอยดูแล และไม่ตื่นกลัวจนหนีเตลิดไปเสียก่อน อย่างไรสตรีผู้นี้ก็ต้องถูกลิขิตให้มาเป็นฮูหยินของเฉินตูแน่ เอาไว้ให้หายดีเสียก่อนเถอะ"
เมื่อเริ่มมีความหวังที่จะได้สะใภ้ นายหญิงของจวนก็ยิ้มออกมา เพราะตั้งแต่ผู้เป็นสามีจากไป ตนก็อยู่แต่กับบ่าวรับใช้มาหลายปี ส่วนเฉินตูก็อยู่ที่ค่ายซะส่วนมาก แม้จะไม่ค่อยมีศึกก็เถอะ หากบุตรชายไม่รับนางเป็นภรรยาก็ไม่เป็นไรตนจะรับเป็นบุตรบุญธรรมเอง