บทที่ 3 ความฝัน
จางจินเยว่นั่งอ่านบันทึกเล่มแล้วเล่มเล่า ทุกอย่างที่จางจินเยว่อีกคนได้บันทึกไว้ละเอียดมาก ราวกับว่าเธอเตรียมตัวจะไปที่ไหนสักที่หรือจะเรียกได้ว่าจดทุกความทรงจำเลยก็ว่าได้ ตอนนี้เหมือนจางจินเยว่จะได้ความทรงจำของเธอมาเลยทั้งหมด
ด้วยความอบอุ่นในห้องและกลิ่นหอมจากเครื่องหอมที่พี่เลี้ยงได้จุดเทียนหอมไว้ให้ชวนให้เธอง่วงนอนยิ่งนัก จางจินเยว่วางสมุดลงก่อนจะเดินกลับไปนอนด้วยความตั้งใจว่าจะงีบพักสายตาและสมองสักหน่อย เด็กสาวล้มตัวลงนอนบนที่นอนที่เรียกว่าเตียงอุ่น โดยข้างใต้จะใส่ถ่านไว้ทำให้ที่นอนอุ่นมาก เพียงแค่ได้ล้มตัวลงนอนซุกใต้ผ้านวมผืนหนาบนเตียงอุ่นแสนสบายจินเยว่ก็ผล็อยหลับไปในเวลาอันรวดเร็ว
ในห้วงความฝันจางจินเยว่ในชุดแบบจีนโบราณสีชมพูกำลังอยู่ในสวนแห่งหนึ่งที่ต้นไม้ถูกตัดแต่งอย่างสวยงามได้ยินเสียงธารน้ำไหลเบา ๆ เมื่อมองไปใกล้ ๆ กันนั้นมีธารน้ำเล็ก ๆ ไหลมาบรรจบกันเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ เมฆลอยต่ำ มองไปเห็นทิวผาได้อย่างชัดเจน อากาศไม่ได้หนาวไม่ได้ร้อนกำลังเย็นสบาย มองไปทางไหนก็ไม่เห็นใครสักคน จางจินเยว่เดินชมต้นไม้ไปเรื่อย ๆ สวนแห่งนี้สวยมากราวกับไม่ใช่โลกมนุษย์
จางจินเยว่ก้าวขึ้นไปบนสะพานโค้งที่ทำจากไม้ที่แกะสลักลวดลายอย่างสวยงาม เธอมองลงไปยังแอ่งน้ำด้านล่าง แต่แล้วก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นในเงาบนผิวน้ำมีเธอสองคน
"สวัสดี ข้าคือจางจินเยว่" เธอหันไปมองคนที่แนะนำตัวทันที เธอมายืนที่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
"..." จางจินเยว่พูดไม่ออกด้วยความประหลาดใจ เธอมองสำรวจเด็กสาวตรงหน้าอย่างถี่ถ้วนก็พบว่าเธอสองคนเหมือนกันราวกับแกะ แม้แต่ไฝจาง ๆ ที่ลำคอก็มีเหมือนกันเป้ะ
"เจ้าไม่ต้องตกใจไป ข้าก็คือเจ้า เจ้าก็คือข้า เพียงแต่เราอยู่กันคนละช่วงเวลาเท่านั้น" ร่างนั้นยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน แต่จางจินเยว่ก็อดขนลุกกับความพิลึกนี้ไม่ได้ นี่มันความฝันอะไรกันนี่
"ทำไม"
"ทำไมเราสองคนถึงได้มาเจอกันน่ะเหรอ ข้าไม่ได้มีกายเนื้ออีกแล้ว ข้าสิ้นอายุขัยไปแล้วล่ะ" เมื่อพูดจบก็ยื่นมือมาวางทาบทับมือของจางจินเยว่บนสะพาน จางจินเย่วรับรู้ได้เพียงความรู้สึกอุ่น ๆ เท่านั้น นางไม่มีกายเนื้อจริง ๆ ด้วย เธอตาโตด้วยความตกใจ
ร่างโปร่งแสงของจางจินเยว่ยังคงพูดต่อ
"ข้าเคยฝันเห็นเจ้าบ่อย ๆ ด้วยนะรู้ไหม ข้าเห็นเจ้าโดนคนพวกนั้นทารุณ ข่มเหง ข้าอยากจะช่วยเจ้าแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ข้าสงสารเจ้าเหลือเกิน ทีนี้ข้าก็เลยทำได้แต่อธิษฐานมอบชีวิตนี้ให้เจ้า เพราะข้ารู้อยู่แล้วว่าอายุขัยของข้ามันน้อยนักข้ามีแต่เจ็บป่วยโรครุมเร้า ข้าขอฝากชีวิตที่เหลือของกายนี้ไว้กับเจ้านะ" จางจินเยว่ร้องไห้ออกมาเมื่อได้ยินคนข้าง ๆ เล่าให้ฟัง เธอรู้สึกเศร้าแต่ก็อบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
"ฉันสัญญาว่าจะใช้ชีวิตต่อจากเธอเอง ขอบคุณมากนะจางจินเยว่"
"ขอบคุณเจ้าเช่นกัน ข้าฝากทุกอย่างด้วยนะ" เมื่อสิ้นเสียงของร่างโปร่งแสง เธอก็ค่อย ๆ เลือนหายไปพร้อมกับรอยยิ้ม ที่จางจินเยว่รู้สึกว่าเป็นรอยยิ้มที่สวยที่สุดของตัวเธอเองเลยก็ว่าได้
ในเวลาพลบค่ำ จางจินเยว่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อโดนปลุกจากเจียวเหม่ย
"คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ ได้เวลาอาหารเย็นแล้วเจ้าค่ะ" เจียวเหม่ยเขย่าแขนของคนที่นอนอยู่บนเตียงเบา ๆ ก่อนจะแอบบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อคนตรงหน้าลืมตาตื่นขึ้นมา
"นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย พี่เจียวเหม่ย"
"ยามซวีแล้วเจ้าค่ะ" เธอพยุงร่างบอบบางตรงหน้ามาที่โต๊ะกินข้าวกลางห้อง
"ก็ประมาณ 17.00-18.59 น. สินะ"
"คุณหนูพูดว่าอะไรนะเจ้าคะ" เจียวเหม่ยถามเมื่อได้ยินจางจินเยว่รำพึงกับตัวเอง
"เปล่าจ้ะ"
จางจินเยว่นั่งกินข้าวต้มที่เจียวเหม่ยเอามาให้อย่างเจริญอาหารจนเจียวเหม่ยอดดีใจไม่ได้ คุณหนูของเธอดูแปลกไปแต่ก็บอกไม่ถูกว่าแปลกไปอย่างไร เธอดูแข็งแรง ใบหน้าเล็กดูมีสีเลือดฝาดมากขึ้นจากปกติที่เธอมักจะใบหน้าซีดเผือดดูไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าใดนัก
"มีอะไรหรือเปล่าพี่เจียวเหม่ย"
เด็กสาวถามขึ้นเมื่อรู้สึกว่าพี่เลี้ยงนั่งมองเธอแปลก ๆ ด้วยใบหน้าที่อมยิ้มตลอดเวลา
"เปล่าเจ้าค่ะ ข้าแค่ดีใจที่คุณหนูเจริญอาหารแบบนี้"
"แล้วที่ผ่านมาข้าไม่ได้กินเยอะแบบนี้หรือ" จางจินเยว่ลองเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวให้เหมือนกับจางจินเยว่คนที่เธอเจอในฝัน ด้วยกลัวว่าจะทำให้คนตรงหน้าตกใจหากเธอใช้คำพูดจากยุคสมัยที่เธอจากมา
"เมื่อก่อนคุณหนูจะกินเหมือนแมวดม กินข้าวทีไรไม่เคยถึงครึ่งชามเจ้าค่ะ ข้าล่ะเป็นห่วงท่านมากกลัวท่านจะป่วย" เจียวเหม่ยตอบแบบพาซื่อ ก่อนจะรีบปิดปากเมื่อเผลอหลุดพูดความในใจออกไป
"อย่างงั้นหรือ งั้นต่อไปนี้ข้าจะกินข้าวเยอะ ๆ นะพี่เจียวเหม่ยจะได้ไม่เป็นห่วงข้าอีก" จางจินเยว่ยิ้มให้คนตรงหน้าก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มแสนอร่อยตรงหน้าที่เธอคงไม่มีทางได้กินหากยังอยู่ในชาติก่อน
หลังจากที่จางจินเยว่กินข้าวเย็นเสร็จเรียบร้อย เจียวเหม่ยก็ยกสำรับออกไป ตอนนี้ในห้องเหลือแต่จางจินเยว่คนเดียวแล้ว เธออดรู้สึกเหงาขึ้นมาไม่ได้เมื่ออยู่คนเดียว ตั้งแต่เธอตื่นขึ้นมาเธอก็ยังไม่ได้ก้าวเท้าออกไปจากห้องนี้เลย แต่ว่าเธอรู้สึกว่าที่โลกนี้เธอไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป จางจินเยว่สืบเท้าไปที่หน้าต่างข้างห้องที่ลงกลอนอย่างดี ก่อนจะค่อย ๆ ปลดกลอนหน้าต่างตรงหน้า
เด็กสาวค่อย ๆ แง้มหน้าต่าง ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเป็นลานกลางบ้านแบบที่เธอเคยเห็นในซีรีส์จีน ถัดจากสวนเป็นเรือนกันไว้อีกชั้น คาดว่าตอนนี้เธอน่าจะอยู่เรือนฝั่งตะวันตก บริเวณรอบ ๆ มีตะเกียงแขวนอยู่ตามจุดต่าง ๆ แสงสลัวสีส้มช่วยให้บรรยากาศดูอบอุ่นใจอย่างประหลาด เมื่อจางจินเยว่มองสำรวจได้สักพักก็พบว่าหิมะเริ่มโปรยปรายลงมา
จางจินเยว่เงยหน้ามองหิมะที่กำลังร่วงหล่นลงมาอย่างบางตา เหมือนกลีบดอกไม้ต้องลมปลิวไปทั่วบริเวณนั้น เด็กสาวยกมือขึ้นมากุมที่หน้าอกก่อนจะหลับตาลงแล้วเริ่มอธิษฐานถึงจางจินเยว่อีกคน
"ถ้านี่เป็นชีวิตที่เธอมอบให้ฉัน จางจินเยว่คนนี้ขอสัญญาว่าจะใช้มันให้ดี ฉันจะดูแลตัวเอง ท่านพ่อท่านแม่เธออย่าได้เป็นห่วงฉันจะดูแลพวกเขาเอง และฉันขอสัญญาว่าจะเป็นฉัน เป็นเธอ ให้ดีที่สุด ขอให้เธอไปสู่ภพภูมิที่ดี แล้วก็ขอบคุณมากนะจางจินเยว่"