บทที่ 5...ลวงรักซ่อนเล่ห์...
...ปัจจุบัน...
บ้านพฤกษวัฒก์เป็นคฤหาสน์หินทรายทาสีขาวสไตล์โคโลเนียนแบบยุโรปผสมผสานความเป็นไทยตั้งอยู่บนเนื้อที่เก้าร้อยตารางวาใจกลางเนื้อที่กว่าหนึ่งร้อยไร่ ตัวบ้านล้อมรั้วอิฐแดงสูงกว่าสามเมตรสวยเด่นอยู่ท่ามกลางแมกไม้ใบบังร่มรื่น อากาศสดชื่นด้วยสวนพฤกษชาติไม้ดอกไม้ผลจากต้นชมพู่แก้มแหม่มต้นชมพู่ทับทิมต้นชมพู่ม่าเหมี่ยวต้นมะม่วงน้ำดอกไม้และผลไม้อีกสองสามอย่างในรั้วด้านหลังบ้าน
ส่วนต้นเชอร์รี่พันธุ์ไทยต้นทับทิมกับต้นอินทผลัมปลูกสลับเรียงรายในรั้วด้านหน้าบ้าน จากสนามหญ้ากว้างมีกระถาง สีขาวขนาดใหญ่ปลูกดอกชวนชมหลากสีสันตั้งเรียงประดับตามมุมสนามหญ้าต่อมาจนถึงด้านหลังล้อมแปลงดอกกุหลาบขนาดใหญ่รูปครึ่งวงกลม โดยด้านหน้าแปลงกุหลาบปูลาดอิฐสีแดงตั้งอ่างน้ำพุสีขาวปล่อยน้ำพวยพุ่งเป็นสายแผ่ละอองพรมพร่างเพิ่มความเย็นชุ่มฉ่ำแก่ผู้ที่มานั่งโล้ชิงช้าหรือนั่งเก้าอี้เหล็กดัดสีขาวใต้ซุ้มเถากุหลาบหลากสีสองฝั่งน้ำพุชื่นชมบรรยากาศน่ารื่นรมย์ในสวนสวยที่ตั้งอยู่ในผืนดินกว้างใหญ่ไพศาลล้อมรั้วรวดหนาม ปลูกต้นไม้สูงจำพวกต้นประดู่ลายหรือต้นพยูงเป็นแนวยาวกั้นอาณาเขตไร่สวน โดยด้านหลังรั้วลวดหนามเป็นพื้นที่ป่าสงวนอุดมสมบูรณ์ไล่ขึ้นไปบนเทือกเขาสลับซับซ้อนสูงเทียมท้องฟ้าสีครามเกลื่อนเมฆขาวงดงาม
แม้กาลเวลาจะผ่านมากว่าสิบปี บ้านหลังงามของลูกหลานในสกุลพฤกษวัฒก์ยังคงสวยสง่าไม่เปลี่ยนแปลง สนามหญ้าเขียวชอุ่มที่ริมรั้วยังมีต้นเชอร์รี่กับทับทิมปลูกอยู่เหมือนเดิม ส่วนที่เพิ่มเติมเข้ามาก็น่าจะเป็นซุ้มกล้วยไม้ป่าและเอื้องป่าสีสวยๆกับต้นอินทผลัมสายพันธ์ใหม่ที่กำลังออกผลดกเป็นระย้า
หญิงสาวหิ้วกระเป๋าเดินทางใบย่อมตามผู้นำทางเข้ามาในตัวบ้านที่ยังดูเหมือนเดิมเกือบทุกอย่าง ยกเว้นพรมทางเดินปูลาดจากหน้าประตูจนถึงเชิงบันไดขึ้นชั้นสองที่บัดนี้ดูแปลกตาจากการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่เป็นบันไดกว้างขวางมีเชิงที่พักตรงกลางต่างจากบันไดอันเก่าที่ทั้งแคบทั้งสูงชันน่ากลัว และเธอก็จดจำได้ว่าชั้นบนของบ้านเป็นห้องชุดรวมห้องนอนสี่ห้องและห้องพักผ่อนหรือห้องนั่งเล่นกับห้องทำงานขนาดเล็กของบิดามารดา
“ลูกกลับมาแล้วค่ะคุณพ่อขา”
ภาสินีรำพึงกับตัวเองในใจก่อนจะก้าวเดินตามคำเชื้อเชิญของเลขาทนายความทรงยศที่ไปรับมาจากสนามบินในกรุงเทพฯและพาขึ้นเครื่องบินเดินทางมาที่จังหวัดปลายทางมาลงต่อรถตรงมาบ้านพฤกษวัฒก์ของบิดา
“เชิญทางนี้ค่ะ”
หญิงสาวเดินตามเข้ามาในห้องหนึ่งที่พอเปิดประตูก็เห็นว่าเป็นห้องทำงานขนาดใหญ่ที่ดูจากความยาวของเนื้อที่ด้านหน้าอาจจะใช้พื้นที่ของห้องสองห้องปรับปรุงแก้ไขเป็นห้องทำงานใหม่ ส่วนเนื้อที่ครึ่งหนึ่งของด้านหลังจะใช้สอยทำอะไรบ้างก็ยากจะเดาใจผู้ที่ต้องการใช้สอย และเธอก็จากบ้านไปแต่เยาว์วัยจดจำไม่ได้แล้วว่าสองห้องนี้เคยเป็นห้องอะไร
“อ้าว...ห้องทำงานนี่คะ คุณพ่อจะมาพบดิฉันที่นี่หรือคะ” ภาสินีคาดว่าบิดาน่าจะนอนป่วยอยู่ในห้องนอนชั้นบนมากกว่าจะนัดพบเธอในห้องทำงาน
“เอ้อ เปล่าหรอกค่ะ คุณทรงยศให้ดิฉันเรียนเชิญคุณภาสินีมาที่นี่ก่อน” เลขาทนายทรงยศกระแอมกระไอก่อนจะตอบเสียงแปร่งปร่าพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญให้ภาสินีเข้ามานั่งบนโซฟารับแขกทางมุมขวาของห้อง และรอจนเธอเข้านั่งเรียบร้อยจึงกล่าวต่อ
“กรุณารอสักครู่นะคะ คุณทรงยศคุยงานอยู่ด้านใน ดิฉันจะไปเรียนว่าคุณมาถึงแล้ว”
“อ้อ...ขอบคุณค่ะ”
ภาสินีมองตามเลขาสาววัยสามสิบกว่าของทนายทรงยศผลักกระจกบานใหญ่ขนาดเท่าประตูเดินหายเข้าไปด้วยความทึ่งระคนแปลกใจ หากมองดูผิวเผินจะไม่เห็นสิ่งใดบ่งบอกให้รู้ว่ามีประตูอยู่ที่นั่น จากนั้นก็มีหญิงสาวรุ่นวัยใกล้เคียงกับเธอแต่งกายด้วยผ้าโสร่งปาเต๊ะลวดลายสีสดเสื้อลูกไม้แขนยาวสีโทนเดียวกันเดินนำหน้าเด็กสาวที่แต่งกายในเครื่องแบบเสื้อผ้าถุงสีน้ำตาลยกถาดเครื่องดื่มของว่างเข้ามาเสิร์ฟ และถามว่าเธอต้องการอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า เมื่อเธอปฏิเสธเด็กสาวคนที่ถือถาดมาเสิร์ฟก็เดินออกไป แต่หญิงสาวอีกคนที่เดินนำมายังคงยืนมองเธออยู่
“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” ภาสินีถามขึ้น มองใบหน้าที่หันให้เห็นเพียงด้านซ้ายด้านเดียวอย่างน่าแปลกใจ และนึกอยากให้ผู้หญิงคนนั้นหันหน้ามาทางเธอตรงๆ
“เอ้อ...ถ้าคุณไม่ต้องการอะไร ฉันก็ขอตัว” หญิงสาวบอกเสียงเบาก่อนจะหันหลังเดินจากไป
ผู้มาใหม่เริ่มสนใจในตัวหญิงสาวที่มีทีท่ารีรอเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่เมื่อหญิงผู้นั้นออกไปภาสิณีก็หันมาสนใจตู้โชว์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ติดข้างฝาตรงโซฟาที่นั่งอยู่ โดยมีรูปภาพครึ่งตัวบานใหญ่ขนาดเท่าตัวจริงของบิดาแขวนติดผนังอยู่ด้านกึ่งกลางเหนือตู้ขึ้นไป บนหลังตู้ที่สูงอยู่ในระดับสายตาจะเป็นภาพเล็กใหญ่ที่เธอเคยถ่ายคู่กับบิดาและภาพมารดากับเธอในอิริยาบถต่างๆนับสิบภาพที่เธอยังจดจำได้ว่ามันเคยอยู่ในห้องทำงานของบิดาบนชั้นสองของบ้าน
ภาสินีสะดุดตากับภาพขยายใหญ่ขนาดแปดหรือสิบนิ้วของตัวเองสองภาพวางอยู่ใต้ภาพบิดาเป็นภาพสวมชุดรับปริญญาที่เธอเพิ่งถ่ายในวันรับปริญญาเมื่อสองสามเดือนกว่ามานี่เอง เธอไม่สนใจว่าบิดาเอาภาพของเธอมาจากไหน แต่สนใจเรื่องที่บิดาตามหาตัวเธอพบเมื่อสองเดือนกว่ามาแล้วและสงสัยว่าทำไมเพิ่งให้ทนายทรงยศติดต่อพาเธอมาพบในวันนี้ เพราะทนายทรงยศแจ้งว่าบิดาของเธอป่วยหนักมากแล้ว
เมื่อเดินมาหยุดมองหน้าโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่มีรูปรวมภาพของเธอในอิริยาบถต่างๆตามช่วงวัยจากเด็กจนถึงปัจจุบันและภาพขนาดโพสการ์ดอีกอันหนึ่งตั้งอยู่ด้วยกันเหมือนกับเจ้าของโต๊ะต้องการมองเห็นเธออยู่ในสายตาตลอดเวลาที่ไม่น่าจะเป็นใครนอกจากคุณภาคย์ พฤกษวัฒก์ ผู้เป็นบิดาของเธอ เห็นอย่างนี้ ภาสินีก็อดยิ้มไม่ได้ ปลื้มใจว่าตนยังเป็นที่รักของบิดา ถึงจะอยู่ห่างไกลหรือไม่ได้พบเจอหน้าตากันนานนับสิบปี บิดาก็ยังรักคิดถึงเธออยู่
“คุณพ่อไม่เคยลืมเรากับคุณแม่จริงๆนั่นแหละ” ภาสินีพึมพำ หยิบภาพโพสการ์ดของตัวเองขึ้นมาดูด้วยความสุขและเงยหน้าขึ้นรำพึงกับภาพบานใหญ่ของบิดาว่า “คุณพ่อขา หนูดีใจจริงๆที่จะได้เจอคุณพ่อ คิดถึงเหลือเกินค่ะ”