ตอนที่ 4 แต่งงานหลอกหลอก
ตอนที่ 4 แต่งงานหลอกหลอก
“ยังไม่ได้ เราต้องไปทำพิธีแต่งงานกันที่สถานทูตของผมเสียก่อน จากนั้นก็จดทะเบียนให้เรียบร้อย แต่ทั้งหมดคงต้องทำในวันพรุ่งนี้” หญิงสาวนิ่งคิดเมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนั้น “แล้วเบนลีล่ะ เขาไม่เคยห่างหม่อมฉันเลย” เพียงฟ้าบอกอย่างร้อนรน
“ไม่ต้องห่วงหรอก ซาริมะดูแลได้ และอาจจะดีกว่าคุณด้วยซ้ำไป” เขาบอกอย่างเหยียดๆ
“ไม่มีใครดูแลลูกได้ดีกว่าแม่หรอกเพคะ” เธอกระแทกก้นลงนั่งอีกครั้งสีหน้าเป็นกังวล
“พรุ่งนี้พอทำพิธีเสร็จเราจะเดินทางกันทันที” เจ้าชายหนุ่มหันมาบอกหญิงสาวก่อนจะเดินออกไปจากห้องด้วยอารมณ์ที่ขุ่นเคือง ทั้งชีวิตเพิ่งเคยเจอผู้หญิงที่บังคับผู้ชายให้แต่งงานด้วยก็ครั้งนี้นี่เอง ไม่น่าแปลกที่ราฟีคจะตกเป็นเหยื่อของผู้หญิงคนนี้ “คุณปล่อยให้ท้องกับราฟีคได้ แต่ไม่มีทางที่จะมาใช้กับผมได้หรอก ผมจะไม่แตะต้องผู้หญิงอย่างคุณแม้แต่ปลายก้อย” เขายืนยันกับตัวเองอยู่ที่หน้าประตูห้อง ก่อนจะเดินกลับลงไปที่ลานจอดรถด้านหลัง
เพียงฟ้านอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง คืนนี้เธอนอนไม่หลับเลย เป็นห่วงหลานชาย แล้วยังจะเรื่องที่เป็นผู้หญิงหน้าด้านขอผู้ชายแปลกหน้าแต่งงานอีก แต่เธอยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้เจอกับเบนลี เจ้าชายโอมาร์เกลียดเธอ เพราะคิดว่าเธอคือเอริก้า และเธอจะใช้ข้อนี้เป็นเครื่องปกป้องตัวเอง
รุ่งเช้าเพียงฟ้าลุกขึ้นแต่งตัวแต่เช้า หรืออาจจะเรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้นอนด้วยซ้ำไป เธอนั่งลงที่หน้ากระจกบานใหญ่ก่อนจะหยิบเครื่องสำอางเก่าๆของเอริก้าขึ้นมาแต่งแต้มเพียงเล็กน้อย เพราะใบหน้าของเธอดูจะอ่อนเพลีย
“ติ๊งต่อง!” เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้น หญิงสาววางลิปสติกลง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ประตูแล้วเปิดมันออก ร่างสูงสง่างามของเจ้าชายโอมาร์ยืนจ้องมองมาที่เธอ “พร้อมหรือยัง” เขาถามออกมาเสียงเรียบ
“ขอหม่อมฉันเก็บเสื้อผ้าสักครู่นะเพคะ” เธอบอกแล้วหมุนตัวหันหลังใหญ่
“ไม่ต้อง! เสื้อผ้าที่โน่นมี ผมสั่งเขาเอาไว้แล้ว อยู่ที่โน่นต้องแต่งตัวแบบชาวบารูบัน เสื้อผ้าเก่าของคุณเก็บเอาไว้ที่นี่แหละ” เขาบอกเสียงห้วนๆแล้วเดินนำหน้าเธอไป เพียงฟ้ารีบหันมาปิดประตูห้องแล้ววิ่งตามเจ้าชายหนุ่มไป
เมื่อมาถึงรถก็รีบก้าวตามเขาขึ้นมานั่งบนรถทันที แล้วเจ้าชายหนุ่มก็สั่งออกรถมาจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว เขาเองก็ไม่อยากตกเป็นข่าวจากพวกปาปารัสซี่เหมือนกัน เพียงฟ้านั่งนิ่งเงียบมาตลอดทาง มือเรียวถูกันอยู่บนหน้าตักอย่างหวั่นๆ เธอรู้สึกอึดอัดไม่น้อยทั้งๆที่ที่นั่งระหว่างเธอกับชายหนุ่มห่างกันมาก
“นั่งตามสบาย ไม่ต้องเกร็ง ผมไม่กระโดดบีบคอคุณหรอก” เขาหันมาบอกเสียงดุดันแล้วหันไปหยิบโน้ต
บุ้คขึ้นมาเปิดทำงานของตัวเองต่อ “เมื่อคืนเซลิมโทรมาบอกว่าเด็กถึงบารูบันเรียบร้อยแล้ว และกำลังหลับสบายอยู่ในห้องพัก คุณไม่ต้องเป็นห่วง” โอมาร์บอกโดยไม่หันมามองหญิงสาว
“เพคะ” เพียงฟ้ารับคำแล้วเผลอยิ้มออกมา อย่างน้อยหลานชายของเธอก็ยังปลอดภัย
“วันนี้คงได้เข้าเฝ้าท่านพ่อ แล้วก็ผมขอเตือนคุณเอาไว้ก่อนนะว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีผู้ใหญ่รับรองจากทั้งสองฝ่าย มันคงจะไม่สมบูรณ์เท่าไร แต่ก็มีผลทางกฎหมาย คุณต้องไปอยู่ที่วังของผม แล้วผมจะพาลูกชายของคุณมาหาเอง”
“หมายความว่ายังไงเพคะ เบนลีไม่ได้อยู่ที่บ้าน..เอ่อ ที่วังของฝ่าบาทหรือเพคะ” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน หันมามองเขาตาโต โอมาร์หันมามองตอบ “เปล่า ท่านพ่อจัดห้องเอาไว้ที่วังของท่าน คุณไม่มีข้อต่อรองใดๆทั้งสิ้น ถ้าคุณต้องการจะไปที่บารูบัน”
“แล้วหม่อมฉันจะได้เจอลูกเมื่อไรเพคะ” หญิงสาวถามเสียงรัวเร็ว เธออยากเจอหน้าหลานมากที่สุด
“ผมจะเป็นคนพามาหาคุณเอง” เขาบอกพร้อมกับยกขาขึ้นไขว่กันมองออกไปนอกหน้าต่างรถ
“แล้วเอ่อ...” เพียงฟ้าทำท่าอึกอักก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา “พระบิดาของฝ่าบาทจะไม่ทรงกริ้วหรือเพคะที่ทรงแต่งงานกับหม่อมฉัน”
“ก็ต้องมีบ้าง แต่ท่านพ่อไม่เคยยุ่งเกี่ยวเรื่องส่วนตัวของลูกๆ ไม่งั้นคุณคงจะไม่ได้อยู่มาจนถึงป่านนี้แน่” โอมาร์หันมากระตุกยิ้มให้เธอ เพียงฟ้านั่งก้มหน้าเงียบกริบไม่พูดอะไรต่อ ยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าตัวเธอมากขึ้น สู้นิ่งเงียบเสียดีกว่า
และเมื่อมาถึงสถานทูตของบารูบัน เจ้าชายโอมาร์ก็พาหญิงสาวไปยังห้องรับแขกซึ่งเขาสั่งให้จัดเป็นห้องที่ใช้ทำพิธีสาบานตนและจดทะเบียนสมรสของเขาและเธอ
“มือคุณเย็นจัง หรือว่ากลัว” โอมาร์ถามขึ้นเมื่อยื่นมือออกมาจูงมือหญิงสาวให้เดินตามเขาไป
“เพคะ หม่อมฉันออกจะตื่นเต้นนิดหน่อย เป็นธรรมดาของลูกผู้หญิงทุกคน” เพียงฟ้าตอบโดยสุจริตใจ
“หึ ก็แน่อยู่แล้ว คุณมันเป็นพวกที่ชอบขโมยเขากิน คงจะไม่มีโอกาสได้เข้าพิธีทางศาสนาแบบนี้หรอก จริงไหม” เขาหันมายิ้มเยาะที่มุมปาก เพียงฟ้าก้มหน้าเม้มริมฝีปากแน่น
“อีกอย่างที่ผมจะต้องเตือนคุณ” ชายหนุ่มกระซิบที่ข้างหูเบาๆ “ระวังลักเซเรน่า ชายาของราฟีคด้วยก็แล้วกัน เจ้าหล่อนร้ายมาก แต่เธอจะไม่เข้ามาวุ่นวายในวังของผม แต่ถ้าคุณออกไปข้างนอกผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“หม่อมฉันระวังตัวเองได้เพคะ ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง” หญิงสาวบอกเสียงแข็ง โอมาร์ยักไหล่ “เปล่า ผมไม่ได้เป็นห่วงคุณ แต่ถ้าเกิดชายาของผมจะมาตายในวังของผม มันจะเป็นที่นินทาของคนทั่วโลกได้ แต่คุณระวังตัวเอาไว้ก็ดีแล้วผมจะได้สบายใจ”
“หม่อมฉันเพิ่งทราบเดี๋ยวนี้เองว่าฝ่าบาทไม่ใช่แค่เป็นทูตมาเจรจาเท่านั้น แต่ยังมีฝีปากในด้านถากถางคนไปทั่วอีก น่าชื่นชมนะเพคะ” รอยยิ้มเยาะหยันปรากฏขึ้นบนเรียวปากงาม
“คุณจะได้รู้มากกว่านี้อีก รับรองคุณจะได้เห็นว่าชาวทะเลทรายอย่างเราอยู่กันยังไง” โอมาร์บีบต้นแขนของเธอแน่น พร้อมกับมองด้วยแววตาดุดัน
“เพคะ หม่อมฉันเตรียมตัวพร้อมอยู่แล้วเพคะ” หญิงสาวยิ้มรับ ชายหนุ่มจึงสะบัดแขนหญิงสาวทิ้งไปอย่างโมโห ก่อนจะเดินนำหน้าเข้าไปในห้องรับแขก พอเขาก้าวเข้าไปในห้อง ท่านราชทูตแห่งบารูบันก็รีบก้าวเข้ามาแล้วโค้งต่ำให้เขา
“ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วพระเจ้าค่ะ เชิญฝ่าบาทเสด็จด้านนี้พระเจ้าค่ะ” ท่านราชทูตเดินนำหน้าทั้งสองคนไปที่หน้าแท่นซึ่งมีบาทหลวงยืนรออยู่ เจ้าชายโอมาร์และเพียงฟ้าเดินมาหยุดยืนตรงหน้าบาทหลวง
“เชิญแลกแหวนแต่งงานได้” บาทหลวงยิ้มให้ชาย-หญิงทั้งสองคน
“ผมให้เกียรติคุณก่อน แล้วค่อยไปทำพิธีตามศาสนาของผมอีกครั้งที่วังของผม” เขาหันมาทางหญิงสาวแล้วจับมือซ้ายของเธอยกขึ้นก่อนจะสวมแหวนทองให้ เพียงฟ้าพยักหน้ารับแล้วก็หยิบแหวนทองขึ้นมาสวมให้กับชายหนุ่มบ้าง จากนั้นเจ้าชายโอมาร์ก็พาเพียงฟ้ามานั่งลงที่โต๊ะเพื่อจดทะเบียนสมรส ชายหนุ่มลงชื่อในใบทะเบียนสมรสอย่างไม่ลังเล ผิดกับหญิงสาวที่จับปากกาจ่อด้วยมือที่สั่นน้อยๆ
“ใจเย็นๆ อย่ากลัว” เขาเอื้อมมือมาจับมือเธอเอาไว้ เพียงฟ้าหันมามองหน้าเขา ก่อนจะก้มลงไปแล้วจรดปากกาเซ็นชื่อตัวเองลงไป
“เสร็จแล้วครับ ผมขอแสดงความดีใจกับคุณทั้งสองคนด้วย” เจ้าหน้าที่ยิ้มและยื่นใบทะเบียนสมรสให้กับทั้งคู่ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ผมขอตัวก่อนนะครับ” เขาโค้งต่ำให้ทั้งคู่แล้วเดินออกไป เพียงฟ้าก้มลงมองกระดาษในมืออย่างไม่อยากเชื่อว่าเธอจะตัดสินใจแต่งงานง่ายๆแบบนี้
“เกิดลังเลอะไรขึ้นมา” เสียงชายหนุ่มถามขึ้นใกล้ๆ
“เปล่าเพคะ หม่อมฉันไม่เคยลังเล การที่ได้แต่งงานกับฝ่าบาทนับว่าเป็นโชคดีของหม่อมฉันด้วยซ้ำไป” น้ำเสียงของเธอแฝงเอาไว้ด้วยแววประชดประชัน
“หึ น่าภูมิใจมากสินะที่ข่มขู่ผมได้ ถ้าผมไม่เป็นห่วงชื่อเสียงของบ้านเมือง ผมคงสั่งเก็บคุณไปแล้ว เพราะผมไม่ใช่คนตาบอดเหมือนกับราฟีคที่เห็นสีดำอย่างคุณเป็นสีขาว” พูดจบโอมาร์ก็หันหลังเดินเข้าไปคุยกับราชทูตของเขา เพียงฟ้าได้แต่ยืนมองตามหลังเขาไปอย่างเงียบๆ เธอเป็นเหมือนคนน้ำท่วมปากที่พูดอะไรก็ไม่ได้ นอกเสียจากเงียบและเก็บมันเอาไว้คนเดียว
เพียงฟ้าออกที่จะตื่นเต้นไม่ใช่น้อยกับดินแดนทะเลทรายแห่งนี้ ดินแดนที่เธอไม่เคยคิดฝันว่าจะมาเยือนด้วยซ้ำไป แต่เธอก็หนีมันไม่พ้น ร่างบางก้าวลงมาจากเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวด้วยหัวใจที่สั่นไหว เธอต้องมาอยู่ท่ามกลางผู้คนแปลกหน้า ทั้งนิสัยใจคอก็แตกต่างกัน แล้วเธอจะได้เจอกับอะไรบ้างนะ ยิ่งคิดหญิงสาวก็ยิ่งหวั่นใจ
“บารูบันยินดีต้อนรับ และที่นี่ก็คือวังของผม วังฮันฮาร่า” โอมาร์กล่าวเสียงเรียบ ภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏต่อสายตาของเพียงฟ้าก็คือวังสีงาช้างที่ตั้งอยู่กลางทะเลทรายสีทองมีฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีเหลืองแดง ดุจกับภาพวาดที่จิตกรรังสรรค์เอาไว้ หญิงสาวก้ามตามเขาเข้ามาด้านในแล้วก็ต้องยืนตะลึงกับภาพที่เห็น
“งามเหลือเกิน เหมือนวังในเทพนิยายไม่มีผิด” หญิงสาวอุทานออกมาเบาๆ
“สมราคากับที่คุณคิดเอาไว้หรือเปล่าล่ะ” ชายหนุ่มหมุนตัวเดินหันหลังให้เธอ เพียงฟ้ารู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจทันที
“หม่อมฉันไม่เคยตีราคาสินค้าจึงไม่ทราบเพคะว่าวังหรูๆแบบนี้จะมีราคาเท่าไร” เธอตอบแบบประชดประชัน โอมาร์หยุดเดินหันมามองหน้าหญิงสาวเขม็ง “ปัง!” เสียงเปิดประตูดังแทรกขึ้นมาพร้อมกับร่างบางในชุดสีชมพูอ่อนบางเบาวิ่งถลาเข้ามาโอบกอดโอมาร์เอาไว้แน่น
“กลับมาแล้วเหรอเพคะ หม่อฉันคิดถึงฝ่าบาทจนแทบจะคลั่งอยู่แล้วนะเพคะ” ลักเซเรน่าออดอ้อนเสียงหวานใส โดยไม่คำนึงว่าจะมีใครรับรู้กับสิ่งที่เธอทำหรือไม่ โอมาร์ปลดมือของหญิงสาวออกก่อนจะหันมาแนะนำหญิงสาวทั้งสองให้รู้จักกัน
“นี่เอริก้า ชายาของผม” คำแนะนำของเจ้าชายหนุ่มทำให้เจ้าถิ่นอย่างลักเซเรน่าถึงกับนิ่งอึ้ง ก่อนจะเผยอรอยยิ้มเยาะหยันออกมา
“เธอเองหรือเมียลับๆของราฟีค ก็สวยดีนี่ แต่ไม่น่าทำตัวเป็นโสเภณีเลยนะ พอพี่ตายก็ได้กับน้องชายแทน ไม่อายบ้างหรือไง นังหน้าด้าน” เธอพูดเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดเจน ใบหน้าของเพียงฟ้าชาราวกับโดนตบ
“อย่าพูดมาก เธอรีบกลับไปก่อนจะดีกว่า อย่ามาหาเรื่องที่นี่” โอมาร์รีบพูดตัดบทขึ้น