ตอนที่ 5 บารูบัน....ดินแดนแห่งทะเลทราย
ตอนที่ 5 บารูบัน....ดินแดนแห่งทะเลทราย
“ไม่เพคะ” อีกฝ่ายปฏิเสธแล้วเดินเข้ามายืนประจันหน้ากับเพียงฟ้า จ้องมองเธอด้วยแววตาดุดัน “ฉันลักเซเรน่า ชายาคนปัจจุบันของราฟีค ผู้ชายที่เธอแย่งเขาไปจากฉันไง แล้วนี่ยังจะมาแย่ง
เจ้าชายโอมาร์ไปอีกเหรอ หน้าด้านไร้ยางอาย” สิ้นคำพูดหยาบคายฝ่ามือของหญิงสาวก็ฟาดลงไปเต็มแรงบนใบหน้าสวยของเพียงฟ้า จนหันไปตามแรงมือเรียว
“หยุดนะลักเซเรน่า!” โอมาร์เข้ามาคว้าตัวเธอออกไปจากเพียงฟ้า
“หม่อมฉันไม่หยุด มันเป็นเรื่องจริง นังนี่สมควรโดนมากกว่านี้” ลักเซเรน่าสะบัดหนีก่อนจะหันมากอดคอชายหนุ่มเอาไว้พร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ฮือ ฮือ ฮือ หม่อมฉันสิที่สมควรจะได้เป็นชายาของฝ่าบาท ในเมื่อเจ้าชายราฟีคตายแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้าชายราฟีครวมทั้งหม่อมฉัน ก็ต้องเป็นของฝ่าบาทด้วย มันเป็นธรรมเนียม แต่ฝ่าบาทกลับแต่งงานกับเมียเก็บของเจ้าชายราฟีคอย่างหน้าตาเฉย ไม่ยุติธรรมสำหรับหม่อมฉันเลย” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาทั้งน้ำตา “เราเคยรักกันมาก่อนไม่ใช่หรือพคะ แล้วทำไมล่ะเพคะ ทำไม” เธอซบหน้าลงกับอกกว้างของชายหนุ่มอีกครั้ง เพียงฟ้ายืนมองอยู่อย่างมึนงงและสับสน แต่ที่เธอรู้ก็คือเธอได้เข้ามาขัดขวางความรักของชายหญิงคู่นี้เอาเสียแล้ว
“ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น ที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะ...” เพียงฟ้ายังพูดไม่ทันจบ โอมาร์ก็รีบพูดขัดขึ้นทันที “คุณไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เรื่องที่ผมตัดสินใจไปแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าผมจะไม่ชอบก็ตาม” เขาบอกแล้วก็ดึงตัวลักเซเรน่าเดินออกไปด้านนอก
เพียงฟ้าทรุดนั่งลงกับเก้าอี้อย่างหมดแรง แค่มาถึงที่นี่ได้ไม่กี่นาทีก็โดนตบเสียแล้ว แล้วต่อไปเธอจะต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง แต่ถึงอย่างไรเธอก็ต้องทนให้ได้เพื่อหลาน “เบนลี..น้าจะทนเพื่อหนู” หญิงสาวยกมือขึ้นลูบแก้มที่มีรอยแดงไปมา คำพูดของผู้หญิงคนนั้นทำให้หัวใจของเธอกระตุกวูบ เธอคือมารความรักของคนทั้งคู่ โอมาร์รักกับผู้หญิงคนนั้นแต่ที่เขายอมแต่งกับเธอก็เพื่อประเทศชาติ เธอจะรอให้ทุกอย่างคลี่คลายลงแล้วจะขอหย่าจากเขา เขาจะได้มีอิสระแล้วไปแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น
“ผมต้องขอโทษแทนลักเซเรน่าด้วย เธอเป็นผู้หญิงใจร้อนแบบนี้แหละ แต่ที่คุณโดนแค่นี่นับว่าเบาที่สุดแล้ว ผู้หญิงคนอื่นเจอมากกว่าคุณเยอะ” เสียงห้าวทุ่มที่ดังขึ้นทางด้านหลังดึงสติของเพียงฟ้ากลับมาอีกครั้ง โอมาร์ทรุดนั่งลงตรงข้ามกับเธอ
“เรื่องที่เธอพูดจริงหรือเปล่าเพคะ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความข้องใจ
“เรื่องอะไร?” ชายหนุ่มย้อนถามเธอ
“ก็เรื่องที่ว่าฝ่าบาทจะต้องแต่งงานกับเธอ”
“จริง มันเป็นธรรมเนียมของที่นี่ แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับธรรมเนียมในเรื่องนี้เท่าไรนัก” เขาเอนตัวลงพิงกับพนักเก้าอี้อย่างใจเย็น
“ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันต้องขอโทษด้วยที่เข้ามาขัดขวางความรักของฝ่าบาทกับเธอ แต่ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่หม่อมฉันคิดเอาไว้ เบนลีอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัยแล้ว หม่อมฉันจะหย่าให้เพคะ” เธอบอกพร้อมกับมองสบสายตากับเขา
“คิดจะเป็นคนดีกับเขาบ้างหรือไง” โอมาร์ยืดตัวลุกขึ้นเดินเอามือล้วงกระเป๋าอ้อมมาทางด้านหลังของเพียงฟ้าแล้วก้มลงชิดกับลำคอระหงของหญิงสาว เล่นเอาเพียงฟ้าถึงกับสะดุ้งเฮือกขนลุกซู่ “คุณคิดว่าการหย่ากับเชื้อพระวงศ์อย่างผมจะทำได้ง่ายงั้นเหรอ คุณคิดผิดไปแล้ว” พูดจบชายหนุ่มก็ใช้นิ้วม้วนผมนุ่มสลวยของหญิงสาวเล่นไปมา “ก็อย่างที่ลักเซเรน่าพูด คุณเคยเป็นชายาของราฟีค นั้นก็หมายความว่าคุณก็ต้องเป็นของผมด้วยเช่นกัน”
เพียงฟ้าลุกพรวดขึ้นทันที แล้วถอยห่างออกมาสองสามก้าว และมองหน้าเขาด้วยแววตาตื่นกลัว “ไม่เพคะ เราแต่งงานกันแค่ในนามเท่านั้น แล้วเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกันด้วย”
“คุณคิดว่ากระดาษสองใบที่เราเซ็นชื่อลงไปมันเป็นแค่กระดาษเปล่าๆหรือไง เอริก้า” โอมาร์ก้าวเข้าหาหญิงสาว และเพียงฟ้าก็ถอยหนีเขา
“แต่ฝ่าบาทมีผู้หญิงคนนั้นรอคอยอยู่แล้วนะเพคะ หม่อมฉันให้อิสระกับพระองค์” เธอพูดเสียงรัวเร็วและสั่นเครือ โอมาร์กระตุกยิ้มแล้วจ้องมองหญิงสาว “อย่ามาทำไร้เดียงสาเหมือนกับสาวบริสุทธิ์ไปหน่อยเลย” หญิงสาวรีบคิดหาทางออกให้กับตัวเอง
“ฝ่าบาทตราหน้าหม่อมฉันว่าเป็นหญิงโสเภณี แล้วจะทรงหลับนอนกับหญิงโสเภณีอย่างหม่อมฉันได้หรือเพคะ” ในที่สุดเพียงฟ้าก็คิดหาหนทางเอาตัวรอดได้สำเร็จ เพราะเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาหยุดชะงักลง มือทั้งสองกำแน่น กรามขบเข้าหากันจนเป็นสันนูน
“ทหาร! ทหาร! ใครก็ได้ที่อยู่ข้างนอก เข้ามาพาพระชายาไปที่ห้องพักด้วย” เขาตวาดเสียงดังลั่นห้องแล้วสะบัดชายเสื้อเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เพียงฟ้าถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ตอนนี้เธอยังทำใจยอมรับกับมันไม่ได้ เธอกลัว กลัวว่าจะเป็นอย่าง
เอริก้าลูกพี่ลูกน้องของเธอ เธอไม่ต้องการชีวิตแบบนั้น ถ้าคนสองคนจะมีความสัมพันธ์กันก็ควรจะเกิดมาจากความรัก ซึ่งเขาไม่มีให้เธอเลย
“เชิญพระเจ้าค่ะ” เซลิมเดินเข้ามาในห้องแล้วโค้งต่ำให้เธอ เพียงฟ้าหันไปมองแล้วก็ยิ้มอย่างดีใจ เธอจำได้ว่าเขาเป็นคนสนิทของเจ้าชายและเป็นคนพาหลานชายของเธอมาที่นี่
“คุณเป็นคนพาเบนลีมา ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้างคะ ช่วยบอกฉันทีเถอะค่ะ ฉันขอร้อง”
“ตอนนี้พระนัดดาทรงประทับอยู่กับเสด็จปู่พระเจ้าค่ะ ทรงปลอดภัยดีทุกอย่าง” เซลิมรายงาน
“ขอบคุณมากค่ะที่บอกกับฉัน”
“มิได้พระเจ้าค่ะ เชิญพระชายาเสด็จทางนี้พระเจ้าค่ะ” เซลิมก้มศีรษะลงอีกครั้งแล้วเดินนำหน้าหญิงสาวออกไป
โอมาร์ทุบกำปั้นลงกับขอบระเบียงห้องด้วยความโมโหตัวเอง เวลาที่เขาอยู่ใกล้ๆผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขาแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย ท่าทางของเธอดูไร้เดียงสามาก เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมราฟีคถึงห้ามใจตัวเองไม่อยู่กับผู้หญิงคนนั้น เพราะตอนนี้เขาเองก็เกือบจะเป็นแบบเดียวกัน
“กระหม่อมไปส่งพระชายาที่ห้องแล้วพระเจ้าค่ะ” เซลิมเข้ามาโค้งต่ำให้เจ้าชายหนุ่ม โอมาร์หันมาช้าๆพร้อมกับแววตาตำหนิ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าปล่อยให้ลักเซเรน่าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร ข้าเคยเตือนแล้วไม่ใช่เหรอ”
“คือว่า...พระนางดื้อดึงจนไม่มีใครกล้าขัดขวางพระเจ้าค่ะ” เซลิมรายงานตามความเป็นจริง ใครๆก็รู้ดีว่าพระชายาคนนี้ของเจ้าชายราฟีคทรงมีนิสัยอย่างไร
“เอาเถอะ ครั้งนี้ข้าจะยกโทษให้ แต่ครั้งหน้าถ้าใครปล่อยให้นางเข้ามาที่นี่อีกมีโทษหนัก จำเอาไว้”
“พระเจ้าค่ะ” เซลิมรับคำ
“ไปเตรียมรถ ข้าจะไปที่วังหลวง” ชายหนุ่มสั่งสั้น องครักษ์หนุ่มรีบโค้งต่ำแล้วเดินออกไปอย่างว่องไว โอมาร์มองตามหลังไปก่อนจะคว้าเสื้อคลุมและผ้าคลุมศีรษะขึ้นมาสวมแล้วเดินตามองครักษ์ของเขาออกไป
เพียงฟ้ายืนเหม่อมองออกไปด้านนอกระเบียงห้องนอน มืดจนป่านนี้แล้วแต่เธอก็ยังไม่เห็นวี่แววของชายหนุ่มจะกลับเข้ามาในวัง หรือว่าเธอจะโดนทิ้งให้อยู่ที่นี่ตามลำพัง ส่วนตัวเขาก็รีบไปหาผู้หญิงคนนั้น ผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างเจ้าชายโอมาร์ มีหรือที่หญิงสาวคนไหนจะกล้าปฏิเสธ ไม่ว่าเขาจะอยู่ในชุดแบบใด ท่าทางแบบไหนเขาก็ดูสง่างามเสมอ เป็นที่แน่อยู่แล้วว่าผู้หญิงทุกคนต้องหลงรักเขาเหมือนกับเธอ
“ฮ้า...” เพียงฟ้ายกมือขึ้นกุมที่อกด้านซ้าย “นี่เราหลงรักเจ้าชายโอมาร์ที่เพิ่งพบกันแค่ 2 วันเท่านั้นเองเหรอ ทำไมเราใจง่ายขนาดนี้” หญิงสาวตำหนิตัวเองพร้อมกับทอดสายตามองไปยังท้องทะเลทรายที่เห็นเป็นเงาลางๆดำมืดอยู่เบื้องหน้า “เฮ้อ...” เธอถอนใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วหมุนตัวจะเดินกลับเข้ามาในห้อง “อุ๊ย!” เพียงฟ้าสะดุ้งสุดตัวเมื่อหันมาเห็นร่างสูงยืนพิงอยู่กับขอบประตูห้อง แล้วมองตรงมายังเธอ
“เสด็จมาตั้งแต่เมื่อไรเพคะ” หญิงสาวยืนนิ่งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอ ชายหนุ่มอยู่ในชุดคลุมยาวสีดำ พร้อมกับผ้าคาดเอวสีทอง ส่งให้เขายิ่งดูสง่างามและน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น
“เมื่อครู่นี้เอง คุณคงกำลังคิดอะไรเพลินก็เลยไม่ทันได้ยินเสียงของผมเดินเข้ามาสินะ” โอมาร์หยุดยืนตรงเบื้องหน้าของหญิงสาวพร้อมกับกอดอกมอง
“เพคะ หม่อมฉันกำลังคิดถึงเบนเพคะ” หญิงสาวลอบกลืนน้ำลาย
“คุณไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ท่านพ่อได้หลานชายมาเยียวยาจิตใจ ตอนนี้อาการก็ดีขึ้นมาก ทรงอนุญาตให้ผมพาเบนลีมาที่นี่ได้”
“แล้วท่านพ่อของฝ่าบาททรงทราบหรือเปล่าเพคะว่าหม่อมฉันอยู่ที่นี่” เธอถามอย่างเป็นกังวล
“ทราบ” ชายหนุ่มเดินเลยหญิงสาวออกไปยืนที่ด้านหน้าระเบียง เพียงฟ้าเดินตามไปแล้วเขาก็พูดต่อ “ทรงทราบทุกอย่างดี และทรงไม่พอใจอย่างมาก”
“ฝ่าบาทก็ทรงกราบทูลไปสิเพคะว่าหม่อมฉันเป็นคนข่มขู่ฝ่าบาทให้ต้องแต่งงานกับหม่อมฉัน ท่านพ่อของพระองค์จะได้ไม่ทรงกริ้ว” หญิงสาวพูดจบก็ก้มหน้าลงมองมือที่กุมเอาไว้
“ถ้าทำแบบนั้น คุณได้ถูกเนรเทศออกนอกประเทศของผมแน่ๆ ถึงคุณจะเป็นชายาของผมก็ตาม” เขาหันมาบอก
“หม่อมฉันขอประทานอภัยด้วยเพคะที่ทรงเป็นต้นเหตุทำให้ฝ่าบาทและท่านพ่อผิดใจกัน” เพียงฟ้ารู้สึกไม่สบายใจ
“ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณคิดอยู่ในใจจริงๆ ก็อย่าเป็นห่วงไปเลย”
“ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ” เธอจ้องมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ก็หมายความตามที่พูด ผมรู้ทันคุณทุกอย่างอย่ามาทำเป็นใสซื่อไร้เดียงสาไปเลย ผมหลงกลผู้หญิงที่มีมารยาจัดอย่างคุณหรอก” โอมาร์กระตุกยิ้ม เพียงฟ้าเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างเจ็บปวดใจ เขาไม่เคยมองเธอในแง่ดีเลย แต่มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะเธออยู่ในคราบของเอริก้า ผู้หญิงที่เชียวชาญในเรื่องความรักดี ส่วนเธอไม่เคยจะรู้จักผู้ชายเลยด้วยซ้ำไป