ตอนที่ 3 ยอมแลกด้วยชีวิต
ตอนที่ 3 ยอมแลกด้วยชีวิต
คืนนี้เป็นคืนแรกที่เพียงฟ้าข่มตาให้หลับลงอย่างยากเย็น บนเตียงนอนนุ่มมีหลานชายตัวน้อยนอนหลับสบายอยู่ข้างๆ เธออยากนอนกอดหลานชายเอาไว้ จิตใจเธอกระสับกระส่ายและร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก ร่างบางขยับลุกขึ้นอย่างเบาๆแล้วก้าวลงจากเตียงอย่างเงียบๆ และเดินออกไปยืนที่ระเบียงรับลมที่เชื่อมต่อกับห้องนอน ใบหน้าเนียนแหงนเงยขึ้นมองดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า
“เอริก้า....เธอช่วยคุ้มครองฉันกับลูกด้วยนะ อย่าให้เขาพรากเบนลีไปจากฉันเลย” หญิงสาวพึมพำเบาๆ แล้วถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ “เฮ้อ...แล้วถ้าเขาเอาความผูกพันทางสายเลือดมาอ้างล่ะ เขาเป็นอา-หลานกัน ส่วนเราเป็นแค่ญาติห่างๆของเอริก้าเท่านั้น เขาย่อมมีสิทธิ์มากกว่าเรา” ความรู้สึกอีกด้านคิดสวนทางออกมา
เพียงฟ้ายกมือขึ้นปิดหน้าแล้วส่ายหน้าไปมากับฝ่ามือของตัวเอง “ไม่นะ เพียงฟ้า เธอจะปล่อยหลานชายไปใช้ชีวิตในต่างแดนคนเดียวไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเกิดมีใครมาทำอะไรเบนลีล่ะ ใครจะช่วย ไม่มีใครรู้ใจหลานชายของเธอดีเท่ากับตัวเธออีกแล้วนะ” เพียงฟ้ารู้สึกสับสนกับไปหมด คิดกลับไปกลับมาหลายรอบแต่ก็หาบทสรุปให้กับตัวเองไม่ได้เสียที จนกระทั่งเสียงจากร่างเล็กบนเตียงร้องจ้าขึ้น
หญิงสาวรีบสะลัดความคิดทั้งหมดทิ้งไปแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง เธอรีบอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาแล้วเขย่าในอ้อมแขนเบาๆ “โอ๋ โอ๋ โอ๋ อย่าร้องนะคนดี ฝันร้ายหรือจ้ะ” เพียงฟ้าก้มหน้าลงไปคลอเคลียกับแก้มน้อยๆนั้น “ นอนหลับซะนะจ๊ะเด็กดี น้าจะอยู่ข้างๆ” เบนลีหยุดร้อง แล้วหลับตาลงอีกครั้ง หญิงสาวค่อยๆวางร่างเล็กลงบนที่นอนแล้วตะแคงร่างลงนอนข้างๆ มือข้างหนึ่งหนุนศีรษะเอาไว้ ส่วนอีกข้างกุมอยู่ที่ก้นน้อยๆของหลานชาย แล้วพยายามหยุดคิดเรื่องราวทุกอย่างและหลับตาลง จนในที่สุดก็หลับลึกไปจนได้
รุ่งเช้าเจ้าชายโอมาร์ก็ส่งคนของเขามาที่ห้องพักของเพียงฟ้าจริงๆ เธอจ้องมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วไม่ใช่คนอังกฤษอย่างที่เธอคิด
“เธอเป็นพี่เลี้ยงเด็กอยู่ในวังครับ จะมาช่วยดูแลพระนัดดาแทนคุณเอริก้า เธอชำนาญมากเรื่องเลี้ยงเด็ก” เซลิมบอกเสียงเรียบแต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยความเกรงใจ “เธอพูดได้หลายภาษา คงไม่มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่มาช่วย” เพียงฟ้ายิ้มให้ แต่อีกฝ่ายก็ยังยืนนิ่ง สีหน้าเรียบเฉยตามเดิม
“ฉันชื่อ ซาริมะ” เธอบอกสั้นๆ
“ฉันพะ....เอริก้า หรือเรียกสั้นว่า ฟ้า ก็ได้นะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” เพียงฟ้าเกือบเอ่ยชื่อจริงของตัวเองออกมาดีที่ยังยั้งเอาไว้ได้ทัน
“อ้อ...ฝ่าบาทรับสั่งว่าให้พาคุณเอริก้าออกไปซื้อของใช้สำหรับเด็กเพิ่มด้วยครับ ฝ่าบาทเห็นว่าที่มีอยู่มันไม่ได้คุณภาพ” คำพูดขององครักษ์หนุ่มทำให้หญิงสาวถึงกับเม้มริมฝีปากเข้าหากัน
“ฝากกราบทูลด้วยว่า ฉันไม่ต้องการ ที่มีอยู่เบนลีก็ใช้มาตั้งแต่เป็นทารกแล้ว คงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน”
“แต่ว่า..” เซลิมจะอ้าปากค้าน หญิงสาวก็รีบพูดขัดขึ้น “ถ้าไม่มีอะไรก็เชิญคุณกลับเถอะค่ะ” เธอเอ่ยปากไล่ทางอ้อม เซลิมถอนหายใจแล้วหมุนตัวเดินจากมา
เพียงฟ้าหันไปมองพี่เลี้ยงที่กำลังเล่นอยู่กับเบนลีอย่างสนุกสนาน สมแล้วที่เป็นพี่เลี้ยงมือหนึ่งจากราชสำนัก แต่เธอก็แปลกใจไม่น้อยที่หลานชายเข้ากับผู้หญิงคนนี้ได้เร็วมาก หญิงสาวอมยิ้มแล้วเดินไปหยิบหนังสือวารสารต่างประเทศขึ้นมาอ่าน เธอเพิ่งนึกได้ว่าเคยเห็นรูปของเจ้าชายโอมาร์ในวารสารเมื่อไม่นานมานี้เอง เมื่อได้เล่มที่ต้องการแล้วก็เปิดไปหน้าที่เธอเคยเปิดผ่านไป และสายตาของหญิงสาวก็หยุดลงที่หน้าวารสารคนดัง รูปของเจ้าชายโอมาร์ในชุดสูทสีดำยืนเด่นสง่าอยู่ท่ามกลางสาวสวยไฮโซหลายคน ที่คอลัมน์ด้านล่างเขียนเอาไว้ว่า เจ้าชายที่รูปหล่อที่สุดในยุคนี้คงหนีไม่พ้นเจ้าชายโอมาร์ องค์รัชทายาทแห่งราชอาณาจักรบารูบัน และเป็นหนุ่มเนื้อหอมที่สาวสวยหลายคนหมายจะพิชิตหัวใจเจ้าชายหนุ่มองค์นี้ เพียงฟ้านึกหมั่นไส้กับคำยกยอปอปั้นของผู้เขียนยิ่งนัก แต่เธอก็ยอมรับว่าเจ้าชายผู้นี้หล่อมากทีเดียว ขนาดเธอเองยังตะลึงไปเหมือนกัน “ถ้าเอริก้าอยู่ก็คงจะได้ไปเป็นพระชายาแล้วสิ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะวางหนังสือลงแล้วลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็นเพื่อจะทำอาหารเช้า แต่ในตู้เย็นก็ไม่มีของที่เธอพอจะนำมาทำอาหารได้เลย เธอจึงปิดมันลงแล้วเดินไปที่ ซาริมะและเบนลี
“ฉันจะออกไปซื้อของมาทำอาหารเช้า ถ้าเบนร้องงอแงก็เอานมให้ดื่มนะคะ ฉันคงไปไม่นานหรอก”
“ตามสบายค่ะ” ซาริมะหันมาบอกเธอแล้วหันกลับไปสนใจเด็กน้อยตรงหน้าต่อ เพียงฟ้าจึงเดินไปหยิบกระเป๋าเงินที่หัวนอนแล้วเดินออกไป
เพียงฟ้ากลับมาพร้อมกับข้าวของมากมายในมือ แต่พอหญิงสาวเปิดประตูห้องเข้าไปก็ต้องตกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มนั่งอยู่ในห้องเพียงคนเดียว เธอมองกวาดสายตาไปรอบๆห้องแต่ก็ไม่มีวี่แววของหลานชายและพี่เลี้ยงเลย เนื้อตัวของเธอเย็นวาบ ปล่อยข้าวของล่วงจากมืออย่างไม่สนใจก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาชายหนุ่มที่นั่งรออยู่อย่างใจเย็นบนโซฟาตัวยาว
“เบนลีหายไปไหนเพคะ” หญิงสาวถามเขาเสียงดัง
“ก่อนอื่นผมต้องขอโทษด้วย ตอนนี้ลูกชายของคุณกำลังเดินทางไปบารูบันแล้ว ท่านพ่อป่วยหนักต้องการเห็นหลานชายก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ผมจึงรอไม่ได้ แต่ผมไม่มีเจตนาที่จะลักพาตัวเด็กไป ผมจึงอยู่ที่นี่เพื่อรออธิบายให้คุณฟังก่อน”
“ไม่ หม่อมฉันไม่สนใจว่าใครจะเป็นยังไง ฝ่าบาทพาแกไปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากหม่อมฉัน” เธอโกรธจนไม่แคร์ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าชาย “หม่อมฉันต้องการลูกชายของหม่อมฉันคืนมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฝ่าบาทได้ตกเป็นข่าวอื้อฉาวแน่” เพียงฟ้ากำมือแน่นมองอีกฝ่ายตาขวางอย่างเอาเรื่อง โอมาร์ลุกขึ้นยืนจ้องมองตอบหญิงสาวเช่นกัน
“ถ้าคุณทำแบบนั้น คุณก็เป็นผู้หญิงที่โง่มาก เรื่องที่ผมพูดเป็นเรื่องจริง เด็กปลอดภัยทุกอย่างไม่ต้องห่วง แล้วถ้าผลตรวจออกมาแล้ว ผมจะกลับมาคุยกับคุณอีกครั้ง” เขาบอก แต่ดูเหมือนเพียงฟ้าจะไม่ยอมง่ายๆ มือเรียวผลักหน้าอกของชายหนุ่มเอาไว้ โอมาร์ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ไม่เคยมีใครมาทำกับเขาแบบนี้ แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันถึงกล้ามาโดนตัวเขา
“ฝ่าบาทยังไปไหนไม่ได้ จนกว่าหม่อมฉันจะได้ลูกชายคืน หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องพาหม่อมฉันไปที่บารูบันด้วย” แววตาของหญิงสาวบ่งบอกถึงความเอาจริงเอาจัง
“ไม่ได้ ท่านพ่อไม่ต้องการให้คุณไปที่นั้น ท่านต้องการแต่หลาน ไม่ต้องการผู้หญิงอย่างคุณ อีกอย่างคุณจะเข้าประเทศของผมในฐานะอะไร ถ้าเป็นฐานะชายาลับของราฟีคล่ะก็รับรองลักเซเรน่าฆ่าคุณตายแน่”
“ถ้าไม่ต้องการหม่อมฉันก็ไม่ต้องเอาลูกของหม่อมฉันไป ส่งคืนมาสิ แล้วถ้าอยากมีหลานล่ะก็ ฝ่าบาทก็มีให้ท่านสิ อย่ามายุ่งกับเราสองแม่ลูก” เธอหอบหายใจแรงๆ
“ผมยังไม่มีชายา” โอมาร์บอกสั้นๆ
“หม่อมฉันไม่สนใจ ฝ่าบาทต้องพาลูกของหม่อมฉันกลับมา หรือไม่ก็พาหม่อมฉันไปที่นั้น” หญิงสาวยื่นข้อเสนอ
“ไม่มีทาง ท่านพ่อไม่ให้คุณเข้าประเทศของท่านแน่” ชายหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ
“ได้ ฝ่าบาทเลือกเองนะ” เพียงฟ้าหยุดแล้วกัดฟันกรอดก่อนจะพูดต่อ “หม่อมฉันจะเข้าประเทศของฝ่าบาทได้อีกทางหนึ่ง”
“ทางไหน?” เจ้าชายหนุ่มขมวดคิ้ว เขาเองยังนึกไม่ออกเลย
“ฝ่าบาทต้องแต่งงานกับหม่อมฉัน” เพียงฟ้าเชิดหน้าขึ้น โอมาร์เบิกตากว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะกล้าเอ่ยปากออกมาแบบนี้ “ไม่ ผมไม่ต้องการแต่งงานกับผู้หญิงหากินกับพวกผู้ชายอย่างคุณ”
“หึ หึ ฝ่าบาทไม่มีทางเลือกแล้ว ถ้าไม่แต่งก็เตรียมเป็นข่าวหน้าหนึ่งได้เลย คงดีไม่น้อยที่ตกเป็นข่าวอื้อฉาวแย่งเด็กกับผู้หญิงต่างชาติ” เธอยิ้มเยาะ ชายหนุ่มกัดกรามแน่นจ้องมองหญิงสาวอย่างโกรธจัด “คุณมันหน้าไม่อายจริงๆ”
“ใครกันแน่เพคะที่หน้าไม่อาย พวกของฝ่าบาทต่างหากที่มาลักขโมยลูกชายของหม่อมฉันไป หม่อมฉันแค่ต้องการลูกชายของหม่อมฉันคืนเท่านั้น แล้วการแต่งครั้งนี้ก็แค่ในนามเท่านั้น ถ้าหม่อมฉันได้พบกับลูก แล้วพาเขากลับมาได้แล้ว หม่อมฉันจะหย่าให้ฝ่าบาททันที ว่าไงเพคะ ลองคิดดูก่อนก็ได้นะว่าต้องการแบบไหน” เพียงฟ้านั่งลงรอคำตอบจากเขาอย่างใจเย็น โอมาร์ยืนนิ่งอย่างใช้ความคิด
“ว่าไงเพคะทรงคิดนานไปแล้ว” หญิงสาวลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยืนนิ่งอยู่นาน แล้วเดินไปที่โทรศัพท์แล้วยกมันขึ้น
“ผมตกลง ในเมื่อคุณไม่มีความละอายที่มาขอผมแต่งงาน ผมก็ยินดี” โอมาร์หันไปบอกเธอเสียงลอดไรฟัน เพียงฟ้าจึงวางโทรศัพท์ลงตามเดิมแล้วเดินกลับมาหาเขา
“หม่อมฉันทำได้ทุกอย่างเพื่อเบนลี แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม” เพียงฟ้าบอกออกมาจากใจ
“ผมเชื่อ ก็ถึงขนาดขู่ให้ผมแต่งงานด้วยโดยไร้ยางอาย” น้ำเสียงของเขาเยาะหยัน
“ก็หม่อมฉันไม่มีทางเลือก” เธอบอกเสียงอ่อย เธอรู้ว่ามันน่าอายมากแค่ไหน
“คุณต้องการเท่าไรกันแน่ ถึงได้ทำแบบนี้” เขาถามออกมา เพียงฟ้าเงยหน้ามองเขาตาโต
“ทำไมฝ่าบาทคิดแบบนั้น เบนลีไม่ใช่สินค้าที่จะมาตีราคากัน แกมีเลือดเนื้อมีชีวิตจิตใจนะเพคะ” หญิงสาวเริ่มเสียงแข็งขึ้น ไม่พอใจที่เขาตีราคาของคนเป็นเงินทอง
“ทำไมจะคิดไม่ได้ ก็คุณกอบโกยไปจากราฟีคไม่รู้จักเท่าไรแล้ว”
“พอแล้วเพคะ” เพียงฟ้าตวาด “หม่อมฉันไม่สนใจว่าฝ่าบาทจะทรงคิดอย่างไร หม่อมฉันสนใจเพียงแต่ตัวของเบนลีเท่านั้น เมื่อฝ่าบาทพาตัวแกไป หม่อมฉันก็จะต้องตามแกไปด้วย” เธอเชิดหน้าขึ้น โอมาร์กัดฟันกรอดเพื่อระงับความโกรธของตนเอง “คุณเลือกใช้วิธีที่ฉลาดมาก”
“ขอบพระทัยเพคะที่ทรงชม งั้นเราก็ไปกันเดี๋ยวนี้เลยสิเพคะ” เธอบอกอย่างคนใจร้อน ตอนนี้เธอไม่สนใจอะไรแล้วนอกเสียจากหลานชายของเธอ