บทที่ 5 ม่ายสาว
“แน่ใจสิวะ ฉันตรวจเช็คอย่างละเอียดและพ่อของฉันก็ตรวจเช็คร่างกายของคุณปู่ตลอดทุกปีอยู่แล้วถ้ามีอะไรท่านต้องบอกสิวะ” อำพลหรือหมอต้อมตอบเพื่อนที่มาถามอาการของปู่ด้วยความเป็นห่วง
"ขอบใจมากไอ้หมอ เดี๋ยวกูกลับไปอาบน้ำก่อนแล้วจะมาเฝ้าปู่" พฤทธิ์บอกเพื่อนเพราะลงเครื่องเขาก็มาหาปู่เลย
"แฟนแกไม่มาด้วยเหรอวะ ไปเที่ยวด้วยกันมาไม่ใช่หรือไง" อำพลถามเพื่อนยิ้มๆ
"ไม่มาหรอก กูไปก่อนนะถ้าคืนนี้มึงอยู่เวรเดี๋ยวค่อยคุยกัน" ชายหนุ่มไม่อยากรบกวนเวลางานของเพื่อนเขาแค่อยากรู้อาการของปู่เท่านั้น
"โอเค"
พฤทธ์ก็กลับบ้านเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุดและสั่งแม่บ้านเตรียมอาหารให้ปู่และตัวเองกับพี่สาวที่โทรคุยกันแล้วว่าจะทานข้าวกับปู่ที่โรงพยาบาล
ที่บ้านของนิวาริน
ปรีชากับสมิตมาส่งแฟนเจ้านายถึงบ้านแล้วทั้งสองก็ตรงกลับบ้านไปรับเจ้านายไปส่งที่โรงพยาบาลเพื่อนอนเฝ้าปู่คืนนี้เหมือนทุกครั้งที่เจ้าสัวรนภพเข้าโรงพยาบาลพฤทธิ์กับพัชรวลัยไม่เคนทิ้งปู่ให้อยู่คนเดียวจะสลับกันมาเฝ้าตลอด
"นังต้อยอยู่ไหนเอาของฉันไปเก็บด้วย" นิวารินเรียกสาวใช้เสียงดังให้มายกกระเป๋าของเธอไปเก็บ
"ขาคุณแนนนี่" ต้อยวิ่งมาหาเจ้านายที่ดูท่าอารมณ์ไม่ดีเอามากๆจีงรีบไปยกกระเป๋าหน้าบ้านไปเก็บที่ห้องก่อนจะโดนพายุอารมณ์ของเจ้านายสาวถล่มใส่
"อ้าวลูกแนนทำไมกลับมาเร็วนักล่ะแล้วเสียงดังอะไรกัน" คุณหญิงวิไลวรรณถามลูกสาวที่เดินหน้าตึงมาในห้องนั่งเล่นแล้วนั่งลงบนโฟาอย่งแรง
"ก็พอร์ชน่ะสิคะคุณแม่ทำให้แนนนี่อารมณ์เสียทั้งที่เพิ่งไปเที่ยวเมื่อวานนี้แล้ววันี้กลับมันน่าโมโหมั้ยล่ะคะ" นิวารินพูดอย่างหงุดหงิด
"แล้วทำไมพอร์ชต้องรีบกลับล่ะลูก"
"ก็ปู่ของเขาไม่สบายเข้าโรงบาลน่ะสิคะ"
"ตาพอร์ชเขาทำถูกแล้วนี่ลูก ปู่ไม่สบายก็ต้องมาดูแลสิแล้วเจ้าสัวเป็นยังไงบ้างลูก" คุณหญิงวิไลวรรณถามอาการของเจ้าสัวเพราะคิดว่ายังไงสองตระกูลก็ต้องเป็นทองแผ่นเดียวกัน
"แนนนี่ไม่ได้ไปค่ะคุณแม่"
"อ้าว แล้วทำไมลูกไม่ไปเยี่ยมเจ้าสัวท่านล่ะ ทำแบบนี้ทางโน้นเขาจะคิดยังไงลูกเป็นแฟนตาพอร์ชนะ" คุณหญิงถามลูกสาวเมื่อญาติผู้ใหญ่ของแฟนไม่สบายก็ควรจะไปเยี่ยมท่านสิ
"แนนนี่ก็จะไปเยี่ยมคุณปู่ของเขาค่ะ แต่พอร์ชบอกว่าไม่ต้องไปก็ได้แนนี่ก็เลยกลับบ้าน" นิวารินพูดอย่างไม่สนใจในเมื่อพฤทธิ์บอกไม่ต้องไปเธอก็ไม่จำเป็นต้องไปและเธอก็ไม่ชอบไปโรงพยาบาลเหมือนกัน
"ตาพอร์ทำแบบนี้ได้ยังไงกัน ลูกเป็นแฟนเขานะทำไมถึงไม่ให้ไปเยี่ยวเจ้าสัวไม่ได้การละเดี๋ยวแม่จะต้องคุยกับพอร์สักหน่อย คนเราคบกันก็ต้องให้ความสำคัญกันและกันมีเรื่องอะไรก็ต้องช่วยเหลือกันดูแลกันสิไม่ใช่ว่าจะมากั้นออกจากครอบครัวแบบนี้งั้นจะเรียกว่าเป็นแฟนเป็นคนรักกันได้ยังไงกัน" คุณหญองวิไลวรรณพูดด้วยความไม่พอใจว่าที่ลูกเขยที่กันลูกสาวออกจากครอบครัวและไม่รู้ว่าลูกสาวของตัวเองต่างหากที่ไม่เห็นความสำคัญของคนในครอบครัวของพฤทธิ์
"ตาพอร์ชทำแบบนี้ได้ยังไงกัน ลูกเป็นแฟนเขานะทำไมถึงไม่ให้ไปเยี่ยวเจ้าสัวไม่ได้การละเดี๋ยวแม่จะต้องคุยกับพอร์สักหน่อย คนเราคบกันก็ต้องให้ความสำคัญกันและกันมีเรื่องอะไรก็ต้องช่วยเหลือกันดูแลกันสิไม่ใช่ว่าจะมากั้นออกจากครอบครัวแบบนี้งั้นจะเรียกว่าเป็นแฟนเป็นคนรักกันได้ยังไงกัน" คุณหญองวิไลวรรณพูดด้วยความไม่พอใจว่าที่ลูกเขยที่กันลูกสาวออกจากครอบครัวและไม่รู้ว่าลูกสาวของตัวเองต่างหากที่ไม่เห็นความสำคัญของคนในครอบครัวของพฤทธิ์
"เอ่อ คือว่า.."
"มีอะไรลูก" พอเห็นลูกสาวมีท่าทีอ้ำอึ้งคนเป็นแม่ก็รู้ว่าคงเป็นที่ลูกสาวของเธอมากกว่าที่ไม่อยากไปเยี่ยวมปู่ของพฤทธื์
"ก็ตอนที่คนของพอร์ชโทรไปบอกเขา แนนนี่คิดว่าไม่จำเป็นต้องมาเยี่ยมคุณปู่ก็ได้เพราะท่านอยู่กับหมอแล้วถึงพอร์ชมาก็ช่วยอะไรท่านไม่ได้อยู่ดีค่ะ" นิวารินตอบแม่และเธอก็ไม่ชอบโรงพยาบาล
"ตายแล้วยัยแนน ลูกพูดแบบนี้แล้วตาพอร์ชจะคิดยังไงปู่ของเขาทั้งคนนะลูกจะมัวแต่ห่วงเที่ยวได้ยังไงกัน" คุณหญิงวิไลวรรณพูดกับลูกสาวอย่างหนักใจเพราะเรื่องครอบครัวมันเป็นเรื่องที่เซ้นซิทีฟมาก
"ไม่รู้สิคะ แต่พอร์ชไม่ให้แนนี่ไปเยี่ยมปู่ของเขาเองนี่คะ"
"ยังไงลูกก็ต้องไป เดี๋ยวแม่จะให้คนเตรียมกระเช้าให้แล้วเย็นนี้เราไปเยี่ยมเจ้าสัวด้วยกัน"
"แต่แนนนี่ไม่อยากไปโรงพยาบาลนี่คะคุณแม่ ยี้ เหม็นจะตาย" นิวารินทำหน้าสยองเพราะเธฮไม่ชอบไปโรงพยาบาลยกเว้นไปทำศัลยกรรม
"ถ้าลูกอยากเป็นสะใภ้ตระกูลรัตนโสภณก็ต้องหมั่นไปเยี่ยมเจ้าสัวท่าน ทำให้ท่านเห็นว่าลูกให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวของเขาไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม ถ้าลูกไม่เห็นความสำคัญคนในครอบครัวของพอร์ชเขาอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้" คุณหญิงวิไลวรรณพูดกับลูกสาวเพราะพฤทธิ์เหมาสมกับลูกสาวของเธอทั้งหน้าตาชื่อเสียงฐานะชาติตระกูล
"ก็ได้ค่ะคุณแม่" นิวารินพูดกับแม่และจำใจต้องไปเพื่อเรียกคะแนนจากผู้ใหญ่ของแฟนหนุ่ม
เวลาผ่านไปสองดือน
คอนโดหรูสูงสามสิบชั้นย่านสุขุมวิทเป็นโครงการใหญ่ของบริษัทไทยแลนด์ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นโครงการแรกของพฤทธิ์ที่เข้ามารับตำแหน่งรองประธานบริษัทมีทั้งหมดสี่ตึกติดถนนใหญ่และสถานีรถไฟฟ้าการเดินทางสะดวกสบายสำหรับคนทำงานในกรุงเทพซึ่งแต่ละห้องมีราคาเท่ากันเพราะมีขนาดห้องต่างกันและหนึ่งในนั้นก็มีห้องพักของ อรินดา อาภาศิริ หรือ อิ๋น อาศัยอยู่กับฃูกชาย เด็กชายอินทัช อาภาศิริ หรือ น้องอิน ลูกชายวัยสี่ขวบครึ่งกำลังน่ารักน่าชังช่างพูดช่างเจรจาออดอ้อนเก่งที่สุดขนาดพี่เลี้ยงยังต้องยอมให้เด็กชายตัวน้อย และหลังจากอรินดาได้ลาออกจากที่ทำงานเก่าแล้วไปฝึกงานที่บริษัทใหม่ที่พี่สาวชองเพื่อนแนะนำและเธอก็พอใจทั้งรายได้และสวัสดิการของบริษัทและเจอเจ้านายใจดีทำให้เธอทำงานราบรื่นและเดือนหน้าเจ้านายสาวจะแต่งงานเธอจึงรับหน้าที่ดูแลประสานงานกับทีมออแกไนซ์และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
"เย้ๆๆ อินชนะแล้วค้าบ" เสียงเล็กร้องออกมาอย่างสนุกสนานเมื่อชนะพี่เลี้ยง
“พี่พันเหนื่อยแล้วขอพักก่อนได้มั้ยคะน้องอินขา” พันนีพี่เลี้ยงสาววัยยี่สิบสองปีพูดกับน้องอินที่เล่นวิ่งไล่จับกันรอบห้องจนเหนื่อย
“พี่พันเหนื่อยแล้วเหรอครับ แต่อินยังไม่เหนื่อยเลยครับ” เด็กน้อยบอกพี่เลี้ยงสาวเพราะกำลังสนุก
“พี่พันขอพักสิบนาทีค่ะ รอเข็มนาฬิกาชี้ไปที่เลขเก้าก่อนนะคะ”
“โอเคครับพี่พัน” น้องอินตอบพี่เลี้ยงสาวแล้วทิ้งตัวลงนอนเกลือกกลิ้งบนพื้นพรหมไปมาตามประสาเด็กที่มีพลังเยอะและวันนี้เป็นวันหยุดแต่มามี้ของเขาต้องไปทำงานอีกแล้ว
“น้องอินอยู่ไหนลูก” เสียงหวานของมามี้คนสวยแกล้งเรียกลูกชายเมื่อเห็นแต่พี่เลี้ยงนั่งอยู่และคิดว่าแอบอยู่ตรงไหนสักที่ในห้องรับแขก
“พันไม่เห็นคะคุณอิ๋น” พันนีก็เล่นตามเจ้านายสาว
“ไม่เป็นไรจ้ะพัน งั้นพี่ไปทำงานก่อนนะ” อรินดาพูดกับพี่เลี้ยงแล้วยิ้ม
“อินอยู่นี่ค้าบมามี้” น้องอินรีบพูดแล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็วกลัวแม่จะไปทำงานก่อน
“อ้าว น้องอินอยู่นี่เองเหรอครับลูก” อรินดายิ้มขำลูกชายที่นั่งหลบอยู่หลังโซฟา
“มามี้จะไปทำงานแล้วเหรอค้าบ”
“ใช่จ้ะลูก วันนี้น้องอินอยู่กับพี่พันแล้วอย่าดื้อต้องเชื่อฟังพี่พันนะครับลูก” เป็นคำพูดที่อรินดาพูดกับลูกชายทุกวันก่อนจะออกไปทำงาน
“แต่อินอยากอยู่กับมามี้ค้าบ อินไปกับมามี้ได้มั้ยค้าบ” น้องอินอ้อนแม่เพราะวันนี้วันหยุดแทนที่จะได้ไปว่ายน้ำกับแม่แต่เขาต้องอยู่แต่ห้องกับพี่เลี้ยง
“ไม่ได้ครับลูก วันนี้มามี้ไปทำงานแล้วพรุ่งนี้มามี้จะพาน้องอินไปเที่ยวดีมั้ยครับ”
“ดีครับ อินอยากไปดูพี่เสือ พี่สิงโต พี่ช้างอีกค้าบ” น้องอินพูดอย่างตื่นเต้นดีใจที่จะได้ไปเที่ยวกับแม่และชอบไปเที่ยวสวนสัตว์เป็นที่สุด
“งั้นน้องอินต้องเชื่อฟังพี่พันนะครับลูก”
“โอเคค้าบมามี้ อินจะเชื่อฟังพี่พันจะไม่ดื้อไม่ซนด้วยค้าบ” น้องอินตอบแม่แล้วปล่อยมือให้แม่ไปทำงาน