บทที่ 2
ถ้าไม่เป็นเพราะสถานการณ์กำลังอยู่ในภาวะเร่งด่วนเช่นนี้ เฮลเล่ย์แน่ใจว่าคงจะต้องพบกับการตอบโต้ด้วยแรงอารมณ์จากเขาแน่ เพราะเขาไม่ใช่ผู้ชายลักษณะที่จะทนให้ใครมาวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของตนเองง่ายๆ แต่เธอก็พอจะเข้าใจได้ ว่าการที่เขาใช้วาจากราดเกรี้ยวเช่นนี้ เป็นเพราะความกังวลใจที่กำลังเกิดอยู่
เขาประสานสายตาอยู่กับดวงตาคู่สีเขียวสงบนิ่งของเฮลเล่ย์ ความมีสติและความใจเย็นของเธอกำลังต่อสู้อยู่กับอารมณ์แรงร้อนของอีกฝ่ายหนึ่ง และในที่สุดเธอก็เป็นฝ่ายชนะเขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่บอกถึงความมีเหตุมีผล มากขึ้น
“เรากำลังเข้าแถวรอซื้อบัตรที่จะเข้าไปเล่นเครื่องนั่น...” เขาชี้ไปที่เครื่องเล่นใหญ่ยักษ์นั้น “จู่ๆ ไม่รู้ว่าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ลูกสาวผมก็หน้าซีดเหมือนเห็นผีแล้วก็กรีดร้องออกมาดังลั่น ก่อนจะวิ่งเข้าไปในห้องน้ำนั่น..ผมก็เลยออกวิ่งตามไป แต่พนักงานเฝ้าห้องน้ำไม่ยอมให้ผมเข้า...ผมก็...”
“ตอนนี้แกยังอยู่ในนั้นใช่ไหมคะ?” เฮลเล่ย์หันไปถามดอว์สัน ซึ่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็พยักหน้ารับ “แกชื่ออะไรคะ...?” คราวนี้เธอหันมาถามผู้เป็นพ่อของเด็กหญิง ซึ่งกำลังแสดงท่าไม่พอใจอย่างยิ่งที่เฮลเล่ย์ไม่ได้ให้ความสนใจกับเขาเท่าที่ควร
“อะไรนะ... คุณยังจะมีหน้ามาถามชื่อแกอีกเรอะ...?” เขาตวาดเสียงดังลั่น “ให้ตายเถอะ...ก็แล้วมันจะแปลกตรงไหนกันล่ะ...เด็กอาจกำลังตกอยู่ในระหว่างอันตราย แต่คุณกลับมายืนอยู่ที่นี่เหมือนหุ่นยนต์ ไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง แถมยังจะมาถาม...”
“ชื่อของเธอค่ะ”
เขาถึงกับยกมือขึ้นเสยผม ซึ่งแทนที่จะทำให้เรียบกลับยุ่งเหยิงขึ้นกว่าเดิม
“เฟธ...แกชื่อเฟธ...ให้ตายสิ...”
“ขอบใจ...” เฮลเล่ย์รีบรุดเดินเข้าไปในห้องน้ำสตรี ไม่ลืมที่หันมาออกคำสั่งกับหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย “คุณดอว์สัน ช่วยกันคนให้ออกไปจากตรงนี้ให้หมดก่อน เรียกกอล์ฟคาร์ทมาคันหนึ่ง แล้วก็บอกไปทางห้องปฐมพยาบาล ว่าฉันกำลังจะพาแขกคนหนึ่งไปที่นั่น...” เธอไม่ได้หันกลับไปมองด้วยซ้ำ ว่าคำสั่งของเธอจะได้รับการปฏิบัติในทันทีหรือไม่ เพราะรู้ว่าทุกสิ่งจะต้องเป็นไปตามนั้นแน่นอน ทั้งเธอก็ไม่แม้แต่จะชำเลืองแลไปทางบุรุษร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้าง ที่กำลังคิดจะไล่ล่าเธอเหมือนศัตรูคู่อาฆาต
เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำที่เย็นชื่น ปรับสายตาให้เข้ากับความสลัวของภายใน พนักงานประจำห้องน้ำมีสีหน้าหวั่นไหวเมื่อพบสายตาของเธอเข้า ก่อนที่เฮลเล่ย์จะเอ่ยปากถามหล่อนก็รีบรายงานเสียก่อน
“มิส แอชตันคะ ตอนนั้นมีแขกผู้หญิงมาเข้าห้องน้ำกันอยู่มากพอสมควร ดิฉันกำลังทำความสะอาดอ่างล้างมืออยู่ตอนที่แม่หนูคนนั้นวิ่งร้องไห้ดังลั่นเข้ามา แล้วก็เข้าไปขังตัวเองอยู่ในห้องท้ายสุดนั่นน่ะค่ะ ดิฉันพยายามจะให้เธอเปิดประตูแต่ทำยังไงเธอก็ไม่ยอมออกมา ดิฉันถึงขนาดขึ้นไปยืนบนโถส้วมห้องติดกันแล้วก้มลงไปดู ปรากฏว่าเธอนั่งขดตัวสะอึกสะอื้นอยู่ตรงมุมห้อง แล้วผู้ชายคนนั้นก็วิ่งเข้ามาในนี้ พูดจาไม่น่าฟังเลยพวกผู้หญิงเขาก็ตกใจกันสิคะ เพราะคิดว่าเขาเป็นโรคจิตหรืออะไรสักอย่างที่วิ่งไล่ตามเด็กคนนั้นเข้ามาถึงในนี้ ดิฉันก็เลยขอให้ทุกคนออกไปก่อน ที่ดิฉันต้องตามตัวคุณ...”
“ขอบใจมากนะเฮเซล...” เฮลเล่ย์ตัดบท เพราะเกรงว่าพนักงานทำความสะอาดจะพูดอะไรที่ยืดเยื้อยิ่งไปกว่านี้ “เธอออกไปรอฉันข้างนอกก่อน..ถ้าฉันต้องการตัวฉันจะเรียกเอง แล้วอย่าให้ใครเข้ามาที่นี่ตอนนี้ด้วย”
“ได้ค่ะคุณ”
เฮลเล่ย์เดินตรงไปยังห้องท้ายสุด ออกแรงผลักประตูเบาๆ
“เฟธ...หนูไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?” ไม่มีเสียงพูดตอบจะมีก็แต่เสียงร้องไห้ที่ดังออกมาจากภายใน “เฟธ...ขอฉันเข้าไปหน่อยได้ไหม...ฉันมาช่วยหนูนะคะ ตอนนี้คุณพ่อของหนูกำลังห่วงหนูจะแย่อยู่แล้ว”
มีเสียงสะอื้นเบาๆ เสียงสูดน้ำมูกสองสามครั้ง แล้วก็เงียบไป ซึ่งเฮลเล่ย์จำเป็นต้องใช้ความเงียบของเด็กหญิงให้เป็นประโยชน์ “หนูจ๋า ฉันชื่อเฮลเล่ย์นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหนูเล่าให้ฉันฟังได้หมดเลย...แล้วถ้าหนูไม่อยากให้ใครรู้รับรองว่าฉันจะไม่เล่าให้ใครฟังเลย แม้แต่พ่อของหนูเองด้วย...” เฮลเล่ย์เชื่อมั่นว่า นี่คือสัญญาที่เธอสามารถจะรักษาได้ แต่สำหรับขณะนี้ สิ่งที่สำคัญกว่าคือจะต้องเอาตัวเด็กหญิงออกมาจากห้องน้ำให้ได้เสียก่อน
“คุณ...คุณจะไม่บอกใครแน่นะคะ...?” มีเสียงถามเบาๆ ดังมาจากในห้อง
“รับรองได้เลย ถ้าหนูไม่อยากให้พูดฉันก็จะไม่พูดแน่”
“หนูรู้ว่าหนูทำไม่ดี...” เด็กหญิงสะอื้นเบาๆ “แต่มันเจ็บจริงๆ เลยค่ะ”
คำพูดของเด็กหญิงทำให้เฮลเล่ย์บังเกิดความร้อนใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม เธอหันไปมองข้างหลัง กลัวว่าผู้ชายคนนั้นจะเดินปึงปังเข้ามาในนี้ ซึ่งคงจะไม่มีใครห้ามปรามหรือยับยั้งเขาไว้ได้
“หนูเจ็บตรงไหนหรือคะ?”
เธอได้ยินเสียงเสียดสีของเสื้อผ้า ก่อนที่กลอนประตูจะเลื่อนออก ประตูเปิดเข้าข้างใน และเด็กหญิงวัยประมาณสิบเอ็ดขวบคนหนึ่ง แต่งตัวเรียบร้อยนุ่งกางเกงขาสั้น สวมรองเท้าเทนนิส แต่มือกำเสื้อที่ปิดบังอยู่ตรงหน้าอกไว้แน่น
...เรือนผมสีน้ำตาลเข้มของสาวน้อยรวบรัดเป็นหางม้าสองข้าง ผูกประดับไว้ด้วยริบบิ้นสีชมพู เจ้าหล่อน
สวมแว่นสายตาสั้นขอบกระ และขณะนี้ดวงตาคู่ที่ฉ่ำชื้นด้วยหยาดน้ำตากำลังมองหน้าเฮลเล่ย์อยู่ หญิงสาวสังเกตเห็นอยู่ว่าเด็กหญิงมีดวงตาสีเทาเช่นเดียวกับของพ่อ แล้วก็ให้เกิดความสงสัยขึ้นมา ว่าทำไมเธอจึงจดจำสีดวงตาของเขาได้...
“เฮลโล เฟธ...” เฮลเล่ย์ทักทาย ก้าวเลี่ยงไปข้างหนึ่งเพื่อให้เด็กหญิงเดินออกมาจากในห้องน้ำ
“ไฮ...” เด็กหญิงมีสีหน้าขัดเขิน ดวงตาหรุบต่ำจับอยู่กับพื้นห้อง
“ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น...ทำไมหนูถึงบอกว่าเจ็บล่ะคะ?”
เด็กหญิงเลียริมฝีปาก และเฮลเล่ย์ก็เห็นเหล็กดัดฟันที่สวมอยู่
“ก็...ผึ้งมันต่อยหนู...”
“ตายจริง...” เฮลเล่ย์บังเกิดความวิตกขึ้นมาทันที “แล้วหนูแพ้พิษมันหรือเปล่านี่...?”
“ไม่หรอกค่ะ...” เฟธยักไหล่เบาๆ “คือหนูไม่คิดว่าหนูจะต้องตายเพราะถูกผึ้งต่อยหรอก...” หางเสียงของสาวน้อยเริ่มสั่น “มันก็แค่ต่อยหนูเท่านั้น...” เฟธพูดเสียงเบา
“แล้วมันต่อยหนูตรงไหนล่ะคะ?”
“ตรงไซด์วินเดอร์ค่ะ”
“อ๋อ...สถานที่น่ะฉันพอรู้...” เฮลเล่ย์ต้องกลั้นยิ้มไว้ “ที่ฉันถามหมายถึงว่า มันต่อยตรงไหนของร่างกายหนูน่ะคะ”
“อ๋อ...” เฟธเหลือบตามองหน้าเฮลเล่ย์แล้วก็รีบเมินกลับอย่างรวดเร็ว “ตรงนี้ค่ะ...” เจ้าหล่อนลดเสื้อที่ถืออยู่ตรงหน้าอกอย่างรวดเร็ว ราวกับเกรงว่าตัวเองจะเปลี่ยนใจ ถ้าขืนทอดเวลาให้ยาวกว่านั้น
เฮลเล่ย์เห็นจุดสีแดงสองจุดปรากฏอยู่บนทรวงอกที่เพิ่งแสดงสัญญาณของวัยสาวที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจสถานการณ์ของสาวน้อยอย่างทะลุปรุโปร่ง เฟธไม่มีแม่ที่จะอยู่เคียงข้าง ส่วนพ่อก็ค่อนข้างจะหงุดหงิด ใจร้อนดังนั้นพอถูกผึ้งต่อย เฟธขลาดอายเกินกว่าจะบอกให้พ่อรู้ได้ว่าผึ้งต่อยเธอตรงไหน...
เฮลเล่ย์บังเกิดความสงสารเด็กหญิงจับใจ นึกไปถึงประสบการณ์เมื่อเริ่มก้าวเข้าสู่วัยรุ่นของตนเอง ที่เธอพยายามเก็บงำความลับไว้ให้เป็นเรื่องส่วนตัวมากที่สุดเท่าที่จะมากได้นึกถึงความรู้สึกของตนเองในวัยนั้น ว่าบังเกิดความอับอายขายหน้ามากขนาดไหน... ทุกครั้งที่มีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเกิดขึ้น