บทที่ 3
ในขณะที่ภูริชมีน้องสาวสุดรักสุดหวงอย่างจิลลาภัทร ทางด้านของว่าที่เจ้าผู้ปกครองแผ่นดินทะเลทรายอย่างชีคฟารีสต์ก็มีน้องสาวสุดหวงไม่แพ้กันคือ ‘เจ้าหญิงฟาติยา ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์’
เจ้าหญิงฟาติยาในวัย 25 ปี เรียนจบปริญญาจากสหรัฐอเมริกาไม่ต่างจากเชษฐา พอกลับมายังแผ่นดินทะเลทรายแล้วก็ช่วยงานเชษฐาบริหารประเทศอัสดารานส์ให้เจริญรุ่งเรือง
“ยายติยาตัวแสบ เข้าใจแซวพี่นักนะ มานี้เลย มาให้พี่ลงโทษซะดีๆ”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์แสร้งตีสีหน้าถมึงทึง ก้าวเท้ายาวๆ เข้าหาเจ้าหญิงฟาติยา
นางฟ้าแสนสวยของราชวงศ์ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ที่นอกจะมีใบหน้างดงามไม่แพ้พระ
มารดาแล้ว ยังดื้อรั้น แสบซนสุดๆ และเมื่อขนิษฐาร้องกรี๊ดวิ่งเข้าไปหลบอยู่ข้างหลังพระบิดา ใช้เรือนกายใหญ่โตของพระบิดาเป็นที่หลบกำบัง ก็รีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับเอื้อมมือคว้าต้นแขนขาวเนียนของขนิษฐาคนสวย
“กรี๊ด!!! ท่านพี่ฟารีสต์ ติยาไม่เล่นแล้วนะ”
เจ้าหญิงฟาติยาร้องบอกรัวเร็ว ก่อนจะวิ่งหนีเชษฐาอยู่รอบๆ ตัวพระบิดากับพระมารดา พอเห็นว่าจวนตัวกำลังจะถูกเชษฐาจับได้ก็รีบเอ่ยบอกเสียงร้อนรนอีกครั้ง
“ท่านพี่...ติยายอมแพ้แล้ว เลิกไล่เถอะ ติยาเหนื่อยค่ะ”
เจ้าหญิงคนสวยยังหลบอยู่ข้างหลังพระบิดาเหมือนเดิม โผล่เฉพาะใบหน้างดงามคมเข้มแบบลูกครึ่งอาหรับมามองเชษฐาตอนที่เอ่ยขอร้องเสียงสั่นเพราะความเหนื่อยหอบ
“ทำไมเหนื่อยเร็วนักล่ะติยา ตะกี้พี่ยังเห็นเธอร้องกรี๊ดๆ วิ่งรอบท่านพ่ออยู่เลย”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อมารยาของขนิษฐาคนสวย เพราะเจ้าหญิงฟาติยานอกจากจะสวยน่ารักชาญฉลาดแล้ว ยังมารยาไม่มีใครเกิน
เจ้าหญิงฟาติยาหันไปมองท่านพ่อท่านแม่ ก่อนจะทำตาปริบๆ ดูน่าสงสาร พร้อมกับร้องขอเสียงอ่อย เรียกรอยยิ้มได้จากผู้เป็นเชษฐา
“ท่านพ่อ ท่านแม่คะ บอกให้พี่ฟารีสต์หยุดไล่ติยาหน่อยสิคะ ติยาเหนื่อยและเมื่อยขาไปหมดแล้วค่ะ”
พระชายาปิณฑิรากับชีคฟาซิซต์ พระมารดา พระบิดาของมกุฎราชกุมารหนุ่มและเจ้าหญิงฟาติยา ต่างก็มองหน้ากันแล้วยิ้มกว้างและส่ายหน้ากับการเล่นหยอกล้อของโอรสธิดาของพวกตน ที่มักจะเล่นกันราวกับเด็กตัวเล็กๆ ทั้งๆ ที่จะขึ้นครองราชย์อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว
“ฟารีสต์เลิกแกล้งน้องเถอะ เดี๋ยวติยาหายใจไม่ทัน จะเป็นลมเอาได้”
ชีคฟาซิซต์ ผู้เป็นบิดาได้ตรัสห้ามโอรส ที่ยังคงแกล้งตีหน้ายักษ์ใส่ขนิษฐาอยู่
และหากให้เดา...พระองค์รู้ว่าเจ้าหญิงแสนสวย ซึ่งหลบอยู่ข้างหลังพระองค์ คงกำลังตี
หน้าทะเล้นใส่ผู้เป็นเชษฐาอยู่เช่นเดียวกัน
“จริงด้วยค่ะ เลิกแกล้งติยาได้แล้ว ติยาแสนจะบอบบางและอ่อนหวาน ขืนให้วิ่งมากๆ เดี๋ยวเป็นลมไปกองอยู่กับพื้นได้นะท่านพี่”
เจ้าหญิงฟาติยารีบพยักหน้าเออออห่อหมกตามที่พระบิดาได้ตรัสออกมา แต่แทนที่จะทำสีหน้าให้ดูน่าสงสารตามน้ำเสียงที่เปล่งออกมาอย่างแผ่วเบา เจ้าหญิงกลับตีหน้าทะเล้น แลบลิ้นใส่เชษฐาพร้อมกับหัวเราะคิกอยู่ตลอดเวลา
มกุฎราชกุมารฟารีสต์กลอกตาขึ้นบนอย่างเซ็งๆ เมื่อรู้ว่าพระองค์ต้องพ่ายแพ้ ให้กับความแก่นแก้วของขนิษฐาอีกแล้ว
“ท่านพ่อถือท้ายแบบนี้ เดี๋ยวยายตัวเปี๊ยกก็เหลิงได้ใจหรอกครับ”
น้ำเสียงที่ตรัสออกมานั้นอาจจะฟังดูเป็นการตำหนิ แต่จริงๆ แล้วมกุฎราชกุมารหนุ่ม ตรัสออกมาเพราะความรักในตัวขนิษฐาต่างหาก แม้ขนิษฐามีอายุถึง 25 ปีแล้ว แต่พระองค์ก็คิดเสมอว่าเจ้าหญิงฟาติยายังเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยที่พระองค์เคยให้ขี่คอเล่นในยามเยาว์วัย
“ท่านพี่...ทำไมชอบเรียกติยาว่ายายตัวเปี๊ยก ติยาไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
ขณะเอ่ยถามแกมตัดพ้อ เจ้าหญิงฟาติยก็ก้าวออกมาจากหลังพระบิดา แล้วยกมือเท้าสะเอวจ้องมองเชษฐาอย่างหาเรื่อง
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ทรงหัวเราะร่วน ไม่ได้นึกหวาดกลัวกับท่าทางจ้องมองตาเขียวและกัดฟันดังกรอดของขนิษฐา พระองค์ก้าวเท้าเข้าใกล้เจ้าหญิงแสนสวย ที่พระองค์รักและทะนุถนอมยิ่งกว่าตุ๊กตาเจียระไนเปราะบาง จากนั้นก็จิ้มนิ้วไปบนหน้า
ผากมนของขนิษฐา แล้วตรัสแซวกลั้วเสียงหัวเราะ
“แม้ติยาจะเติบโตเป็นสาวแล้ว แต่ติยาก็ยังคงเป็นยายตัวเปี๊ยกของพี่อยู่เสมอ”
“แล้วเมื่อไรท่านพี่จะเลิกเรียกติยาว่ายายตัวเปี๊ยก”
เจ้าหญิงฟาติยาย่นจมูกใส่ เอื้อมมือไปข้างหน้าหมายจะคว้าปลายนิ้วของ
เชษฐามากัดให้จมเขี้ยว ทว่าผู้ที่เป็นเชษฐารู้เท่าทัน รีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตอบกลั้วเสียงหัวเราะให้ขนิษฐาได้กระทืบเท้าด้วยความโมโห
“พี่จะเลิกเรียกติยาว่ายายตัวเปี๊ยก ก็ต่อเมื่อติยาได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสแล้ว”
“ฮึ! ถ้างั้นท่านพี่คงได้เรียกติยาว่ายายตัวเปี๊ยกไปตลอดทั้งชีวิตนั่นแหละ”
เจ้าหญิงฟาติยาตอบกลับด้วยน้ำเสียงขุ่น จนผู้ที่เป็นพระมารดาอดถามออกมาไม่ได้ หลังจากฟังโอรสธิดาโต้เถียงกันอยู่นาน
“ติยา...พูดแบบนี้แสดงว่าหนูไม่คิดจะแต่งงานเลยใช่ไหมลูก”
ผู้ที่เป็นพระมารดาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล อายุล่วงเข้า 25 ปีแล้ว แต่ธิดายังไม่คิดถึงเรื่องการมีคู่ครอง
เจ้าหญิงฟาติยาตีหน้ามุ่ยขณะหันมามองพระมารดา จากนั้นก็เอ่ยตอบเสียงอ่อยว่า “ติยายังไม่เห็นมีบุรุษหนุ่มจากชาติใดที่กล้าเสี่ยงลูกปืนเข้ามาจีบติยา พอทุกคนรู้ว่าติยาเป็นเจ้าหญิง เป็นขนิษฐาของท่านพี่ฟารีสต์ พวกผู้ชายเหล่านั้นก็พากันกลัวจนหัวหด ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ติยาสักคน”
“ดีแล้วที่ติยาไม่เจอพวกผู้ชายขี้ขลาดเหล่านั้น เพราะหากพวกเขาปกป้องน้อง
สาวของพี่ไม่ได้ พี่ก็ไม่ยอมปล่อยให้นางฟ้าของพี่แต่งงานกับพวกเขาเช่นกัน”
แน่นอนว่ามกุฎราชกุมารฟารีสต์ไม่มีทางปล่อยให้ขนิษฐาได้อภิเษกกับผู้ชายที่อ่อนแอไม่สามารถดูแลเจ้าหญิงแห่งแผ่นดินทะเลทรายได้
ผู้เป็นพระบิดาได้เดินมาโอบกอดธิดา ก่อนจะตรัสบอกความคิดของพระองค์บ้าง “ฟารีสต์พูดได้ถูกต้อง หากคนที่จะมาเป็นคู่ครองของติยา ไม่แกร่งมากพอที่จะปก
ป้องติยาได้ พ่อก็ไม่ยอมปล่อยให้มันได้เข้าใกล้ติยาเช่นเดียวกัน บุรุษหนุ่มไม่ว่าจากชาติใด ภาษาใด ที่คิดจะมาเป็นคนรักของติยา พวกเขาต้องผ่านด่านของพ่อกับพี่ชายหนู
ให้ได้”
เจ้าหญิงแสนสวย ผู้ถูกพระบิดาและเชษฐาปกป้องเสียยิ่งกว่าไข่ในหิน ตีสีหน้าราวกับเซ็งจัด ก่อนจะเอ่ยตอบออกมา
“ติยาคิดว่าท่านพ่อกับท่านแม่ ต้องเตรียมคานทองไว้รอติยาแล้วค่ะ เพราะป่านนี้แล้วติยายังไม่เจออัศวินขี้ม้าขาวสักราย และคิดว่าอีก 20 ปีข้างหน้าก็คงไม่เจอเช่นกันค่ะ”
“เดี๋ยวก็เจอแล้วลูก” พระมารดาเอ่ยพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะบอกต่อว่า “พักเรื่องคู่ครองของติยาไว้ก่อนนะ ตอนนี้แม่อยากคุยเรื่องคู่ครองของฟารีสต์ก่อน”
เจ้าของนัยน์ตาสีนิลได้หันมามองพระมารดา สีหน้าบ่งบอกให้รู้ว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว แต่ก็อดเอ่ยถามออกมาไม่ได้ว่า
“ทำไมหรือท่านแม่...ท่านพ่อ ท่านแม่อยากให้ผมแต่งงานแล้วหรือครับ”
“เราไปคุยกันในห้องทำงานดีไหม”
ผู้เป็นพระบิดาเสนอความเห็น เพราะไม่ต้องการให้ธิดาได้รับรู้เรื่องนี้ เพราะเจ้าหญิงฟาติยาคงขัดค้านและโวยวายไม่เลิกแน่ ถ้าหากรู้ว่าเจ้าหญิงจากชาติใดกำลังจะมาเป็นชายาของเชษฐา
“ถ้ายังงั้นเชิญท่านพ่อกับท่านแม่ที่ห้องทำงานครับ”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ผายมือเชิญพระบิดาพระมารดา พอขนิษฐาคนสวยทำท่าจะก้าวตามไปด้วย ก็รีบขวางทางไว้ ก่อนจะส่งสัญญาณให้องครักษ์อัสรัสส์ได้เข้ามาจับตัวเจ้าหญิงไว้
“ติยา” ผู้เป็นเชษฐาเรียกเสียงทุ้มลึก ดวงตาสีนิลขึงมองคนตรงหน้าเขม็ง ก่อนจะสั่งห้ามเสียงเข้ม “งานนี้น้องไม่เกี่ยว ห้ามเข้าไปในห้องทำงานของพี่และห้ามแอบฟังด้วย”
เจ้าหญิงฟาติยาถึงกับตีหน้ามุ่ยด้วยความขัดใจเมื่อถูกเชษฐาดักคออย่างรู้เท่าทัน “ฮึ! ไม่เห็นจะอยากรู้เลย ติยาไปขี่ม้าเล่นก็ได้ค่ะ”
ว่าแล้วเจ้าหญิงแสนสวยก็สะบัดหน้าหนี ก่อนจะกระแทกเท้าเดินออกจาก
ตำหนักของผู้เป็นเชษฐา และเมื่อเดินพ้นจากตำหนักแล้ว เจ้าหญิงฟาติยาก็บ่นอุบถึงเรื่องที่คุยกับพระบิดาพระมารดาในก่อนหน้านี้กับหญิงรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ว่า
“เฮ้อ...ไม่มีใครกล้าจีบติยาหรอก พวกผู้ชายกลัวจนหัวหดเมื่อได้ยินชื่อของชีคฟารีสต์”
คำบ่นของเจ้าหญิงฟาติยาทำให้ ‘ไลลา’ หญิงรับใช้ของเจ้าหญิงต้องลอบอมยิ้มและให้คำแนะนำแกมสัพยอกเจ้าหญิงว่า
“เจ้าหญิงลองไปขอพรในค่ำคืนที่ดวงจันทราเต็มดวงไหมคะ”
เจ้าหญิงฟาติยาหันมามองไลลาที่เดินตามอยู่ใกล้ๆ พลางเอ่ยแก้ไขคำพูดของหญิงรับใช้ว่า
“เราก็อยากไปขอพรกับเจ้าแห่งรัตติกาลเหมือนกัน แต่ในคืนนั้นคงมีนักท่อง
เที่ยวขึ้นไปบนวิหารเป็นจำนวนมาก เราไม่อยากไปเบียดเสียดกับนักท่องเที่ยว”
“ถ้ายังงั้นก็สั่งให้องครักษ์ปิดวิหารสักหนึ่งหรือสองชั่วโมงก็ได้ เพื่อให้เจ้าหญิงได้ขึ้นไปขอพรเพียงลำพังคนเดียว”
ไลลาแสร้งให้คำแนะนำ รู้ว่าเจ้าหญิงฟาติยาไม่มีทางทำตามคำแนะนำของเธอเด็ดขาด และก็เป็นจริงดั่งที่คิด เมื่อเจ้าหญิงได้ส่ายหน้าปฏิเสธและบอกว่า
“ไม่เอา เราไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด เพราะวิหารศักดิ์สิทธิ์จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมแค่ปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น และให้เข้าชมได้แค่เจ็ดวัน ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงจะมีนักท่องเที่ยวมากที่สุด หากเราสั่งให้องครักษ์ปิดวิหารเพียงเพื่อเข้าไปขอพรกับเจ้าแห่งรัตติกาล คงทำให้นักท่องเที่ยวอีกหลายๆ คนหมดโอกาสได้ขึ้นไปบนวิหาร และคงทำให้นักท่องเที่ยวผิดหวังเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาต่างก็เดินทางมาประเทศของเราเพื่อรอวันนี้เท่านั้น เราจะไม่ทำให้นักท่องเที่ยวต้องโกรธและเกลียดเราคนที่เป็นเจ้าหญิงของแผ่นดินทะเลทราย”
เจ้าหญิงฟาติยาไม่ต้องการทำตามคำแนะนำของไลลา แม้มีอำนาจมากพอที่จะสั่งการกับองครักษ์ก็ตามที เพราะเจ้าหญิงรู้ว่ามีนักท่องเที่ยวหลายร้อยคนที่เฝ้ารอที่จะได้ชมวิหารอันศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียวบนแผ่นดินทะเลทราย และหนุ่มสาวที่ยังไร้คู่ต่างก็อยากขึ้นไปขอพรกับดวงจันทราบนวิหารแห่งนี้ เพราะเป็นที่กล่าวขานกันมานานนับร้อยๆ ปีแล้วว่า สาวโสด หนุ่มโสดคนใดได้ขึ้นมาขอพรกับเจ้าแห่งรัตติกาลบนวิหารศักดิ์สิทธิ์ในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง จะสมหวังในพรที่ขอทุกประการ...
ซึ่งหลังจากกลับประเทศของตนแล้ว หนุ่มสาวเหล่านั้นมักมีการเขียนเล่าขานต่อๆ กันพร้อมกับลงรูปที่ถูกขอแต่งงาน ส่วนฝ่ายชายก็ลงรูปที่ตนพบเนื้อคู่กระทั่งขอแต่งงาน หรือบ้างก็ลงรูปงานแต่งงาน พร้อมกับเขียนบรรยายว่าได้พบเนื้อคู่หลังจากได้ขอพรกับดวงจันทราบนวิหารศักดิ์สิทธิ์ในประเทศอัสดารานส์
“ถ้าเจ้าหญิงไม่ต้องการให้มีการปิดวิหาร ไลลาคิดว่าเราไปขอพรในวันนี้ไหมคะ แม้การขอพรในช่วงกลางวันอาจจะไม่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนการขอพรในตอนดวงจันทร์เต็มดวง แต่อย่างน้อยเจ้าหญิงก็ได้ขึ้นไปขอพรให้พบเนื้อคู่แล้ว”
เจ้าหญิงฟาติยาส่ายหน้าโบกมือปฏิเสธว่อนกับคำแนะนำอีกครั้งจากไลลา
“ไม่เอาดีกว่า เรายังไม่รีบเรื่องการมีคนรัก อีกอย่างคงไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าเข้ามาจีบเรา เพราะนอกจากเราจะเป็นธิดาของแผ่นดินทะเลทรายแล้ว ยังมีพี่ฟารีสต์ที่หวงเรามาก คงไม่มีใครกล้าฝ่าดงลูกปืนมาจีบเราหรอก”
“แต่ไลลาคิดว่าต้องมีค่ะ เพียงแค่ยังไม่ถึงเวลา หรือยังไม่ถึงโอกาสที่เขาจะมาหาเจ้าหญิงก็เท่านั้นเองค่ะ” ไลลามั่นใจซะเหลือเกินว่าเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ ต้องพบกับเนื้อคู่และรักแท้ในเร็ววันนี้
ทว่าเจ้าหญิงฟาติยากลับหัวเราะและเอ่ยพูดลอยๆ กลั้วเสียงหัวเราะร่วนว่า
“ไม่มีหรอกน่า...ไลลา ก็เราบอกแล้วว่าไม่มีผู้ชายหน้าไหนกล้าจีบเราหรอก”
เจ้าหญิงฟาติยาเอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจ คิดว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน แต่เจ้าหญิงหารู้ไม่ว่าอีกไม่นานเกินรอ ก็จะมีอัศวินผู้ใจกล้าเสี่ยงลูกปืน ได้ขี่ม้าขาวเข้ามาในชีวิตของเจ้าหญิง...