บทย่อ
เมื่อ ภูริช วิชชุกร ผู้ชายธรรมดาๆ ที่อาจหาญจะเด็ดดอกฟ้าผู้สูงศักดิ์อย่าง เจ้าหญิงฟาติยา ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ มาเชยชม ก็ต้องมีการปะทะฉะดะกันสักยกสองยก จึงจะเด็ดดอกฟ้ามาเชยชมได้สมใจอยากเผียะ!!!ฝากรอยนิ้วทั้งห้าบนใบหน้าของภูริชแล้ว เจ้าหญิงฟาติยาก็เค้นเสียงด่าด้วยความโกรธสุดขีด“ปากดีแบบนี้ เฉือนให้อีแร้งกินดีไหม”ภูริชยิ้มหยันตรงมุมปากจ้องมองคนที่ตบหน้าด้วยสายตาจาบจ้วง ก่อนจะเอ่ยถากถางอย่างคะนองปาก“มือหนักใช้ได้ ปากคอก็แสนเราะร้าย น่าจับมาขยี้จูบให้ขาดใจ ว่างจากชีคฟารีสต์เมื่อไร พี่ขอจ้องคิวเป็นคนแรกเลยนะน้องสาว”“กรี๊ดดด!!! ไอ้บ้า ไอ้คนเถื่อน ไอ้คนถ่อย! ฉันไม่ใช่นางบำเรอ” เจ้าหญิงฟาติยาตะโกนด่าบุรุษที่ปากจัดซะยิ่งกว่าผู้หญิงแต่...ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ชายที่ปากจัด กลับกลายเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ยอมตายและปกป้องเจ้าหญิงจากแผ่นดินทะเลทรายด้วยชีวิตของเขาเอง...
บทที่ 1
ภูริช วิชชุกร นักธุรกิจหนุ่มชื่อดัง ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการธุรกิจว่า ‘ภูริช’ คือเจ้าพ่อแห่ง คิง ออฟ พาราไดซ์ (King off Paradise) ผู้กุมบังเหียนธุรกิจส่งออกอัญมณีล้ำค่าไปจำหน่ายทั่วโลก ได้นั่งจ้องมองจิลลาภัทร น้องสาวเพียงคนเดียวเขม็ง ขณะออกคำสั่งแกมกำชับน้องสาวว่า
“พี่ไปประชุมและเอาเครื่องประดับไปโชว์ที่ประเทศอังกฤษสองอาทิตย์ จันทร์เจ้าดูแลตัวเองให้ดี ห้ามหนีเที่ยว โดยเฉพาะไปเที่ยวแถบตะวันออกกลางที่พี่ห้ามนักห้ามหนา คือประเทศอัสดารานส์”
จิลลาภัทร หรือที่ถูกพี่ชายเรียกด้วยชื่อเล่นว่า ‘จันทร์เจ้า’ แต่ตีหน้ามุ่ยกับคำสั่งห้ามของพี่ชาย และก็อดเอ่ยถามออกมาไม่ได้ เพื่อให้คลายความสงสัยที่วิ่งอยู่ในหัว
“ทำไมต้องห้ามไม่ให้จันทร์เจ้าไปประเทศอัสดารานส์ด้วยคะ จันทร์เจ้าอยากไปเที่ยวประเทศนี้ เป็นที่เล่าลือในหมู่นักท่องเที่ยวว่าทะเลทรายในประเทศอัสดารานส์สวยมาก สวยติดอันดับต้นๆ ของทะเลทรายทั่วโลกเลยก็ว่าได้ค่ะ”
ภูริชตีสีหน้าขึงขังใส่น้องสาว หลังจากได้ยินคำพูดที่เอ่ยชื่นชมแผ่นดินทะเล
ทรายแห่งนี้
“ประเทศอัสดารานส์ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิงอย่างจันทร์เจ้า นั่นคือเหตุผลที่พี่ไม่ให้จันทร์เจ้าไป น้องจะไปเที่ยวยุโรป เอเชีย แอฟริกา หรือที่ไหนก็ได้ยกเว้นประเทศอัสดารานส์”
จิลลาภัทรยังตีหน้าหงิกงอกับคำสั่งห้ามของพี่ชาย และก็แย้งกลับคืนตามที่ตนเองได้สืบเสาะหาข้อมูลมาว่า
“พี่ตะวันได้ข้อมูลผิดแน่เลยค่ะ เพราะจันทร์เจ้าอ่านมาหมดแล้ว ทุกคนบอกว่าประเทศอัสดารานส์ปลอดภัยมากๆ ค่ะ ผู้หญิงไปเที่ยวคนเดียวก็ปลอดภัยค่ะ”
“พี่บอกไม่ให้ไปก็ห้ามไปสิ”
ภูริชออกคำสั่งห้ามเสียงแข็งอีกครั้ง ไม่สนใจสีหน้าหงิกงอด้วยความไม่พอใจ
ของน้องสาว แน่นอนว่าเขามีเหตุผลส่วนตัวที่ห้ามไม่ให้จิลลาภัทรไปยังดินแดนทะเล
ทรายแห่งนี้
“แต่จันทร์เจ้าอยากไปนี่คะ” จิลลาภัทรย้ำถึงความต้องการของตน พร้อมทั้งพยายามโน้นน้าวพี่ชายได้คล้อยตามเธอด้วย
“นักท่องเที่ยวที่เคยไปเที่ยวประเทศอัสดารานส์ต่างก็เล่าปากต่อปากว่า ทะเลทรายที่นี่มีคลื่นทะเลทรายสวยที่สุด มีโอเอซิสถึงสองแห่งให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมความงดงาม และนักท่องเที่ยวเล่ากันว่า หากใครได้เข้าไปในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเปิดให้ราษฎรหรือนักท่องเที่ยวได้เข้าไปสักการะแค่ปีละครึ่ง แล้วได้ยืนบนหอคอยสูงสุดของวิหารในคืนพระจันทร์เต็มดวง พร้อมกับอธิษฐานให้พบกับเนื้อคู่ คนที่อธิษฐานจะสมหวังทุกคนเลยค่ะ”
“มันก็แค่คำเล่าลือ”
ภูริชเอ่ยค้าน ไม่ได้เชื่อในคำพูดที่น้องสาวเอ่ยบอกด้วยแววตาเคลิ้มฝัน
“ถ้าอยากไหว้พระขอพรให้เจอเนื้อคู่ ก็ไม่ต้องถ่อไปไกลถึงทะเลทราย จันทร์เจ้าไปขอพรใกล้ๆ ตัวเราเลยคือในกรุงเทพฯ หรือจะไปฮ่องกง ญี่ปุ่นก็ได้ พี่ไม่ค้านสักคำ แต่พี่สั่งห้ามไม่ให้ไปประเทศอัสดารานส์ ชัดเจนนะจันทร์เจ้า”
ภูริชขึงตามองขณะสั่งห้ามน้องสาวอีกครั้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่ต้องเดินทางไปสนามบินแล้ว ร่างใหญ่ก้าวเดินเข้าหาน้องสาว กดจูบบนศีรษะปกคลุมด้วยเส้นผมยาวสลวย และสั่งกำชับเป็นครั้งสุดท้ายว่า
“ห้ามไปประเทศอัสดารานส์ โอเคนะจันทร์เจ้า พี่ต้องไปสนามบินแล้ว ไม่ยังงั้นได้ตกเครื่องแน่”
“ค่ะ พี่ตะวัน จันทร์เจ้าเข้าใจแล้วค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ”
จิลลาภัทรลุกขึ้นยืนและกอดร่างใหญ่ของพี่ชายไว้ ไม่ได้ไปส่งพี่ชายที่สนามบิน เพราะพี่ชายเดินทางไปต่างประเทศบ่อย และเป็นการสะดวกมากกว่าหากจะไปสนาม
บินด้วยตัวเอง
“ขอบใจมากที่รับปากพี่”
ภูริชตบเบาๆ บนแผ่นหลังของน้องสาว และใช่ว่าจะเดินออกจากบ้านในทันที เพราะชายหนุ่มได้หันไปสั่ง ‘นวินดา’ คนที่เป็นทั้งเพื่อนรักและเป็นเลขาส่วนตัวให้กับน้องสาวของเขา
“วินด้าดูแลจันทร์เจ้าให้ดีด้วย ห้ามพากันหนีเที่ยว เข้าใจไหม”
นวินดายิ้มเจื่อนๆ ขณะพยักหน้ารับคำภูริช “ค่ะพี่ตะวัน วินด้าจะดูแลจันทร์เจ้าเองค่ะ พี่ตะวันไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
ภูริชพยักหน้าด้วยความโล่งอกบ้าง หลังจากได้ยินนวินดารับคำสั่งของเขา จาก
นั้นก็เดินออกจากห้องนั่งเล่นตรงไปยังรถยนต์ซึ่งคนขับได้เปิดประตูรถรออยู่แล้ว พอเข้ามานั่งในรถยนต์ ก็เอนกายพิงพนักเบาะรถพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยอมรับว่ายังเป็นห่วงจิลลาภัทร และยังหวั่นว่าน้องสาวจะแอบหนีไปเที่ยวประเทศอัสดารานส์
แน่นอนว่าเขามีเหตุผลส่วนตัวที่สั่งห้ามไม่ให้จิลลาภัทรไปเที่ยวยังแผ่นดินทะเลทรายสีทองแห่งนี้ เพราะมีใครบางคนขู่อาฆาตเขาไว้ และคำขู่นั้นก็ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทตลอดเวลา
‘ดูแลน้องสาวให้ดีๆ นะไอ้ตะวัน ไม่ยังงั้นน้องสาวของนายได้ตกเป็นของเล่นของเราแน่’
มันคือคำขู่ของ ‘ชีคฟารีสต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์’ ที่ได้ขู่เขาไว้ตอนที่เขากับท่านชีคมีเรื่องบาดหมางใจกันระหว่างเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยชิคาโก เมืองชิคาโก ในรัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขาเชื่อว่าชีคฟารีสต์ไม่ได้แค่ขู่เท่านั้น แต่ชีคจอมยียวนและมีอำนาจจะทำตามคำขู่แน่นอน หากจิลลาภัทรเดินทางไปประเทศอัสดารานส์ และชีคฟารีสต์จะลงมือในทันทีที่รู้ว่าจิลลาภัทรคือน้องสาวของคู่แค้น คู่อาฆาตอย่างเขา
และแค่เพียงนึกถึงคำขู่ของชีคฟารีสต์ก็ทำให้ภูริชขนหัวลุกชันขึ้นมา และก็อดบ่นอุบถึงน้องสาวเพียงคนเดียวไม่ได้ว่า
“เฮ้อ...จันทร์เจ้าจะเชื่อฟังคำสั่งของพี่ไหมเนี่ย”
บ่นออกมาแล้วภูริชก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่กล้าฟันธงว่าจิลลาภัทรจะเชื่อฟังคำสั่งห้ามของเขา ซึ่งเขานึกภาพไม่ออกว่าแผ่นดินที่มีทะเลทรายเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของประเทศจะสวยตรงไหน นอกจากเต็มไปด้วยความแห้งแล้ง มองไปทางไหนก็เห็นแต่ตึกราบ้านช่องเป็นสีอิฐปูน ไม่ได้เจริญหูเจริญตาแม้แต่นิดเดียว แต่ทำไมจิลลาภัทรถึงได้อยากไปเที่ยวประเทศนี้นัก ซึ่งเธอได้อ้อนวอนขออนุญาตเขาหลายปีแล้ว แต่เขาไม่อนุญาตให้ไป และนอกจากประเทศอัสดารานส์จะมีแต่ทะเลทรายแล้ว ยังมีผู้ปกคอรงแผ่นดินอย่างชีคฟารีสต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขามานานหลายปีแล้ว
“หวังว่าจันทร์เจ้าจะเชื่อฟังคำสั่งของพี่สักครั้ง”
ภูริชยังคงบ่นถึงน้องสาวไม่มีหยุด เขารักและห่วงจิลลาภัทรมาก หลังจากบุพการีทั้งสองเสียชีวิตลง เขาก็ทำหน้าที่เป็นทั้งแม่ พ่อ และพี่ชายให้กับจิลลาภัทร จึงรักและหวงน้องสาว กลัวว่าน้องสาวจะเจอราชสีห์ที่ร้ายกาจอย่างเจ้าแห่งทะเลทรายที่ชื่อชีคฟารีสต์
ภูริชจำต้องพักเรื่องของจิลลาภัทรไว้ชั่วขณะ เมื่อคนขับรถได้ขับมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว เขาต้องรีบเข้าไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์ของสายการบินเป็นการเร่งด่วน ไม่
เช่นนั้นได้ตกเครื่องบิน ไม่ได้บินไปประเทศอังกฤษเพื่อประชุมและแสดงโชว์อัญมณีครั้งสำคัญของโลกในครั้งนี้เป็นแน่
และในขณะภูริชได้ขึ้นเครื่องบินทะยานสู่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ จิลลาภัทรก็วางแผนกับนวินดา ซึ่งพ่วงตำแหน่งเพื่อนรักและเลขาฯ ส่วนตัว ให้ช่วยเหลือเธอได้เดินทางไปเที่ยวประเทศอัสดารานส์สมใจอยาก
“จันทร์เจ้าจะไปเที่ยวประเทศอัสดารานส์ พี่ตะวันไปไกลถึงประเทศอังกฤษ ยังไงก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าจันทร์เจ้าหนีไปเที่ยวที่ทะเลทราย กว่าพี่ตะวันจะประชุมเสร็จและกว่างานแสดงโชว์อัญมณีจะเสร็จสิ้น จันทร์เจ้าก็กลับมาบ้านแล้ว”
จิลลาภัทรมั่นใจว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น พี่ชายของเธอเดินทางไปประเทศอังกฤษเป็นเวลาสองสัปดาห์ ส่วนเธอมีโปรแกรมไปท่องดินแดนทะเลทรายแค่สิบวัน ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งสี่วัน ยังไงๆ เธอก็กลับมาถึงประเทศไทยก่อนพี่ชาย
“วินด้ารู้ค่ะว่าคุณจันทร์เจ้าต้องกลับมาถึงบ้านก่อนคุณตะวันจะกลับมาจากอังกฤษ แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนี้นะคะ คุณตะวันจะต้องโทรมาหาคุณจันทร์เจ้าอย่างแน่นอน คุณจันทร์เจ้าจะให้วินด้าบอกคุณตะวันว่ายังไงดีคะ”
จิลลาภัทรทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยบอกลู่ทางที่ตนเองได้คิดไว้
“เอาแบบนี้นะวินด้า ถ้าพี่ตะวันโทรมาช่วงเช้า วินด้าก็บอกไปว่าเราเข้าประชุมอยู่ แต่ถ้าหากโทรมาตอนค่ำๆ ก็บอกว่าเราเหนื่อยและหลับไปแล้ว”
นวินดาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเอ่ยค้านออกมาว่า “เฮ้อ...เราจะโกหกคุณตะวันไปได้กี่น้ำกันคะ สองวันแรกคุณตะวันอาจจะเชื่อในสิ่งที่วินด้าบอกไป แต่วินด้าคิดว่าพอเข้าวันที่สาม คุณตะวันคงไม่เชื่ออย่างแน่นอน คุณจันทร์เจ้าอย่าลืมนะคะว่าคุณตะวันฉลาดเป็นกรดอย่างหาตัวจับอยาก วินด้าว่าดีไม่ดี คุณตะวันจับโกหกพวกเราได้ตั้งแต่วันแรกด้วยซ้ำไป”
“ว้า! เอาไงดีละทีนี้”
จิลลาภัทรร้องคราง ลุกขึ้นเดินไปเดินมา ยกมือเล็กเสยผมนุ่มสลวยอย่างว้าวุ่นใจ คิดไม่ตกว่าจะหาวิธีโกหกพี่ชายอย่างไรให้ดูแนบเนียนไม่ให้อีกฝ่ายจับผิดเธอได้
“วินด้า! จันทร์เจ้านึกออกแล้วว่าจะทำยังไงดี” หญิงสาวร้องเสียงดัง พร้อมกับคลี่ยิ้มหวานเปิดให้ใบหน้ารูปไข่ดูงดงามชวนพิศยิ่งนัก
“คุณจันทร์เจ้านึกออกแล้วหรือคะว่าจะโกหกคุณตะวันว่าอย่างไรดี” เลขาสาวแสนสวยเอ่ยถามผู้เป็นเจ้านาย
“อย่าเรียกว่าโกหกสิวินด้า ต้องเรียกว่าปกปิดความจริงถึงจะถูก”
จิลลาภัทรเอ่ยแก้ไขคำพูดให้ดูสวยหรู แต่ความหมายกลับไม่ต่างจากที่นวินดาได้เอ่ยออกมาสักเท่าไร
“ปกปิดก็ปกปิดค่ะ ว่าแต่คุณจันทร์เจ้าจะทำยังไงคะ” นวินดาอมยิ้มบางๆ พลางส่ายหน้าช้าๆ เออออห่อหมกไปกับคำพูดของผู้เป็นนายสาว
“เมื่อสักครู่วินด้าบอกว่าพี่ตะวันต้องโทรมาหาเราเช้า เที่ยง เย็นใช่ไหม”
จิลลาภัทรไม่ตอบคำถามของผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนรักและเป็นทั้งลูกน้อง แต่กลับเป็นฝ่ายเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าแทน พอนวินดาพยักหน้ารับ หญิงสาวก็เอ่ยบอกในสิ่งที่ตนเองได้ขบคิดไว้
“ก็ในเมื่อรู้ว่าพี่ตะวันจะต้องโทรมาหาจันทร์เจ้าทุกวัน แล้วทำไมต้องรอให้พี่ตะวันเป็นฝ่ายโทรมาหาด้วย เดี๋ยวพอไปถึงประเทศอัสดารานส์แล้ว จันทร์เจ้าจะเป็นฝ่ายโทรไปรายงานตัวกับพี่ตะวันเอง เอาแบบสามเวลาหลังทานอาหาร คราวนี้พี่ตะวันก็ไม่มีทางรู้เด็ดขาดว่าจันทร์เจ้าไม่ได้อยู่ที่เมืองไทย”
“คุณจันทร์เจ้าห้ามลืมเป็นอันขาด ต้องโทรไปหาคุณตะวันทุกวันนะคะ หากคุณตะวันรู้ว่าคุณจันทร์เจ้าไม่ได้อยู่ที่เมืองไทย วินด้าเชื่อว่าคุณจันทร์เจ้าจะไม่มีโอกาสได้ไปชมดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่กลางนภาอย่างแน่นอน”
นวินดาย้ำเตือนผู้เป็นนายอีกครั้ง ในใจนั้นยังหวาดหวั่นว่าจิลลาภัทรจะปกปิดพี่ชายได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
“ไม่ลืมหรอกวินด้า ขืนลืมเราก็ตายแน่ นอกจากพี่ตะวันจะไปลากตัวเรากลับประเทศไทยแล้ว พี่ตะวันจะโกรธจัดและไม่พูดกับเราเป็นอาทิตย์”
จิลลาภัทรรู้ว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น หากพี่ชายสุดหล่อรู้ว่าเธอบังอาจขัดคำสั่งของเขา แถมยังกล้าไปเที่ยวตามลำพังถึงแผ่นดินทะเลทราย ที่เขาสั่งกำชับนักหนาจนเกือบเป็นกฎเหล็กห้ามไม่ให้เธอเดินทางไป พี่ชายคงได้โกรธจัดตามไปรับเธอกลับประเทศไทยโดยไม่มีลังเล
“ถ้ายังงั้นเราก็ทำตามแผนที่คุณจันทร์เจ้าบอกมาค่ะ”
นวินดาจำต้องยอมรับในที่สุด และก็อดถอนหายในเฮือกแล้วเฮือกเล่าไม่ได้กับการสมรู้ร่วมคิดกับจิลลาภัทร อยากปฏิเสธการช่วยเหลือ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะอดสงสารเจ้านายหญิงไม่ได้เช่นเดียวกัน จิลลาภัทรใฝ่ฝันอยากไปเที่ยวประเทศอัสดารานส์นานแล้ว แต่ไม่สบโอกาสให้หนีไปเที่ยวได้สักที และนี่เป็นโอกาสเดียวที่จิลลาภัทรจะทำตามความฝันได้สำเร็จ
จิลลาภัทรคลี่ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ดวงตาเป็นประกายวาววับ แทบทนรอเวลาไม่ไหว อยากเดินทางไปประเทศอัสดารานส์ให้เร็วที่สุด ความฝันของเธอกำลังจะเป็นจริงแล้ว หลังจากวิ่งไล่ตามความฝันมานานหลายปีว่าจะต้องไปเที่ยวประเทศอัสดารานส์และต้องไปขอพรกับดวงจันทราบนวิหารศักดิ์สิทธิ์ขอให้เธอได้พบกับบุรุษที่รักยิ่ง ซึ่งเธอได้เฝ้ารอมานานนับสิบปี...
ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ...
ทันทีที่เครื่องบินลงจอดในสนามบิน และระหว่างรอรับกระเป๋าเดินทาง เจ้าพ่อแห่งคิง ออฟ พาราไดซ์ ก็รีบโทร.เช็คความเคลื่อนไหวของน้องสาวจอมยุ่ง ว่าได้แอบหนีไปเที่ยวในแผ่นดินทะเลทรายหรือไม่
ภูริชถือสายรอไม่นานก็ได้ยินน้ำเสียงหวานๆ ของน้องสาวทักทายหลังจากได้กดรับโทรศัพท์แล้ว
“สวัสดีค่ะพี่ชาย ไปถึงลอนดอนหรือยังคะ”
จิลลาภัทรเอ่ยทักพี่ชายด้วยน้ำเสียงหวาดๆ กลัวว่าพี่ชายจะจับผิดเธอได้ว่าเธอกำลังจัดกระเป๋าเตรียมเดินทางไปเที่ยวในดินแดนทะเลทราย
“มาถึงแล้ว ลงจากเครื่องปุ๊บก็รีบโทรหาจันทร์เจ้าเลย ว่าแต่จันทร์เจ้าเถอะ ทำไมถึงไม่ได้ไปทำงาน พี่โทรไปที่บริษัท เลขาฯ ของพี่บอกว่าจันทร์เจ้าไม่ได้เข้าบริษัทตั้งแต่เช้า”
คราวนี้ทั้งจิลลาภัทรทั้งนวินดาถึงกับหน้าถอดสีเผือดกับคำถามของภูริช ผู้ที่เป็นน้องสาวนึกไม่ถึงเลยว่าพี่ชายจะฉลาดและรอบคอบถึงเพียงนี้ เพราะแทนที่จะโทรมาหาเธอเป็นอันดับแรก เจ้าพ่อแห่งคิง ออฟ พาราไดซ์ ได้โทรไปสอบถามความเคลื่อนไหวของ
เธอที่ทำงาน จนล่วงรู้ว่าเธอแอบเกงานตั้งแต่วันแรกที่อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในประเทศไทย
“เอ่อ...เอ่อ...”
จิลลาภัทรอ้ำอึ้ง หาคำตอบให้พี่ชายไม่เจอ หญิงสาวเงยหน้ามองเพื่อนรักที่หน้าซีดไม่แพ้กัน จากนั้นก็รีบเอ่ยโกหกรัวเร็วจนหายใจหายคอแทบไม่ทัน
“พอดีว่าวินด้าไม่สบาย อาหารเป็นพิษนะคะ จันทร์เจ้าเลยพาวินด้าไปหาหมอ จันทร์เจ้าเห็นว่าบ่ายแล้วก็เลยขี้เกียจเข้าไปที่ทำงาน เลยพาวินด้ากลับมาพักที่บ้านค่ะ”
จิลลาภัทรรู้ดีว่าการโกหก ยกให้เพื่อนรักเป็นคนเจ็บป่วยนั่นแหละดีที่สุด เพราะหากบอกว่าเธอเป็นคนเจ็บป่วย พี่ชายก็คงไม่วายเป็นเดือดเป็นร้อน กระวนกระวายใจ
จนกระทั่งนั่งไม่ติดเป็นแน่
“วินด้าเป็นยังไงบ้าง ไม่สบายมากหรือเปล่า”
ภูริชเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะนวินดามาอยู่กับน้องสาวของเขาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง ทำให้เขาเอ็นดูหญิงสาวไม่ต่างจากเป็นน้องของตนเอง
“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะพี่ชาย ตอนนี้วินด้านอนพักอยู่ค่ะ จันทร์เจ้าก็เลยถือโอกาสลางานมาเฝ้าดูอาการของวินด้าด้วย พี่ชายไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ วินด้ากินยาตามที่คุณหมอสั่งแล้ว อีกสองสามวันก็คงหายแล้วค่ะ”
จิลลาภัทรเอ่ยโกหกได้อย่างไหลลื่น ทั้งๆ ที่ในใจนั้นหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย ด้วยเกรงว่าพี่ชายจะจับโกหกได้
“บอกวินด้าด้วยว่าพี่เป็นห่วง ให้พักผ่อนเยอะๆ จะได้หายเร็วๆ”
นวินดาถึงกับน้ำตาซึม ขณะได้ยินคำพูดของเจ้าพ่อคิง ออฟ พาราไดซ์ แม้ไม่รู้ความจริงว่าถูกน้องสาวโกหกเข้าให้ แต่ภูริชก็มีน้ำใจเป็นห่วงเธอเสมอ
“ค่ะพี่ชาย แล้วจันทร์เจ้าจะบอกวินด้าค่ะ จันทร์เจ้าขอวางสายก่อนนะคะ พี่ชายดูแลตัวเองด้วยนะ อย่าหักโหมมาก ที่สำคัญห้ามเอาแหม่มตาน้ำข้าวมาฝากจันทร์เจ้าเป็นอันขาด”
ในตอนท้ายจิลลาภัทรเอ่ยขู่เสียงเข้ม หากพี่ชายคว้าพวกแหม่มตาน้ำข้าวมาเป็นเมีย เธอคงได้อาละวาดบ้านแตกแน่ เพราะยอมรับตรงๆ ว่าไม่เคยชอบผู้หญิงจากโลกตะวันตกสักคน
ผู้เป็นพี่ชายได้แต่หัวเราะอยู่ในลำคอ ก่อนจะเอ่ยตอบให้น้องสาวจอมจุ้นได้สบายใจ “พี่สัญญาว่าจะไม่เอาพี่สะใภ้แหม่มมาฝากจันทร์เจ้า เพราะยังไงพี่ก็ยังนิยมชมชอบคนไทยอยู่”
จิลลาภัทรคลี่ยิ้มออกมาได้ เมื่อได้ยินคำตอบรับจากพี่ชาย หากภูริชเป็นห่วงเจ้ากี้เจ้าการทำตัวไม่ต่างจากผู้ปกครองคนที่สองของน้องสาว จิลลาภัทรเองก็เจ้ากี้เจ้าการเรื่องของพี่ชายไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเรื่องของสาวๆ ที่จะก้าวมาเป็นพี่สะใภ้ของเธอ หากหญิงสาวผู้นั้นคิดจะมาร่วมชายคากับตระกูลวิชชุกร เธอผู้นั้นจะต้องผ่านด่านอรหันต์ของเธอให้ได้เสียก่อน มิเช่นนั้นแล้ว เธอจะไม่ยอมรับ ไม่ยอมให้เป็นพี่สะใภ้ของเธอเป็นอันขาด
“จันทร์เจ้ารักพี่ชาย รักษาสุขภาพด้วยนะคะ”
จิลลาภัทรเอ่ยบอกจากใจจริง เชื่อว่าหากอยู่ใกล้กันคงได้รับอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นจากพี่ชาย และมั่นใจว่าป่านนี้พี่ชายกำลังฉีกยิ้มแป้นกับคำพูดของเธอ
“พี่ชายก็รักน้องสาวจอมยุ่งเหมือนกัน ห้ามหนีเที่ยว ห้ามก่อเรื่อง...เข้าใจไหมยายจันทร์เจ้า”
“ค่ะพี่ชาย จันทร์เจ้าจะไม่หนีเที่ยวแน่นอนค่ะ
ภูริชย้ำคำสั่งอีกครั้งอย่างรู้นิสัยของน้องสาวดี พอได้ยินเสียงเอ่ยตอบอย่างแผ่วเบาก็กดตัดสายสนทนา ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไร ว่าน้องสาวจะทำตามคำสั่งของตนเอง เพราะจิลลาภัทรมีนิสัยดื้อรั้นไม่แพ้เขา เรียกได้ว่าถอดนิสัยจากเขาได้ไปเกือบครึ่งเลยทีเดียว
วางสายจากน้องสาวพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้ว ภูริชก็เก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกง และให้ความสนใจกับงานแฟชั่นโชว์อัญมณีที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีก
ไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
เขาตื่นเต้นเป็นอย่างมากกับแฟชั่นโชว์ที่จัดขึ้นวันนี้เป็นวันแรก เพราะชุดเครื่องเพชร เครื่องประดับราคาแพงลิบภายใต้แบรนด์ ‘วิชชุกร’ จะได้ขึ้นโชว์โดยนางแบบชื่อดังในประเทศอังกฤษด้วย ซึ่งแบรนด์วิชชุกร เป็นอัญมณีแบรนด์ไทยแค่เพียงรายเดียวที่ได้
รับเกียรติให้ขึ้นโชว์ในแฟชั่นโชว์อัญมณีระดับโลกในครั้งนี้