บทที่ 2
ประเทศอัสดารานส์ แผ่นดินทะเลทรายสีทองที่เต็มไปด้วยสายแร่น้ำมันดิบอันเป็นทรัพย์สินทางธรรมชาติที่มีมูลค่าแพงและเป็นที่ต้องการของมวลมนุษย์ทั่วทั้งโลก
ฟารีสต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ มกุฎราชกุมารในวัย 31 ปี พร้อมแล้วสำหรับการได้รับสถาปนาให้เป็น ‘ชีค’แห่งอัสดารานส์ แทนพระบิดาที่ต้องการสละราชสมบัติ สละตำแหน่งเจ้าผู้ปกครองประเทศให้กับพระโอรสหนุ่ม เพื่อพระองค์จะได้พาพระชายาที่รักไปฮันนีมูนดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์รอบโลกอย่างที่ทรงต้องการทำมานาน
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยชื่อดังก้องโลกในอเมริกา อย่างมหาวิทยาลัยชิคาโก หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว ก็นำวิชาความรู้กลับมาพัฒนาแผ่นผืนทะเลทรายให้เจริญเทียบเท่ากับประเทศในโลกตะวันตก
แม้ยังไม่ได้รับการสถาปนาให้เป็น ‘ชีค’ อย่างเต็มพระยศ แต่ทว่ามกุฎราชกุมารผู้หล่อเหลา ก็สามารถบริหารประเทศแทนพระบิดา จนทำให้ประเทศอัสดารานส์เป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วทั้งโลก
หากได้ลองพูดถึงดินแดนแห่งทะเลทราย ที่เต็มไปด้วยสายแร่น้ำมัน และมีแหล่งโอเอซิสที่สวยงามที่สุดในโลก ซึ่งเป็นสถานท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกเลือกที่จะมาชื่นชม มาสัมผัสกับความงดงามที่ธรรมชาติเป็นผู้สร้างให้ ทุกคนล้วนแต่นึกถึงประเทศอัสดารานส์ ด้วยกันทั้งนั้น
และในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า ประเทศอัสดารานส์จะเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วทั้งโลกมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เมื่อจะมีการจัดพิธีราชาภิเษกสถาปนา มกุฎราชกุมารฟารีสต์ ให้ขึ้นเป็นชีคแห่งอัสดารานส์อย่างเต็มตัว ประชาชนทั่วทั้งประเทศต่างก็ใจจดใจจ่อ รอให้ถึงวันมหามงคลที่พวกเขาจะได้ร่วมแสดงความยินดีกับเจ้าผู้ปกครองประเทศ
และหนึ่งในนักท่องเที่ยวที่อยากมาชมพิธีราชาภิเษกสถาปนามกุฎราชกุมาร
ฟารีสต์ก็คือ จิลลาภัทร วิชชุกร...
จิลลาภัทรหลงใหลแผ่นดินทะเลทรายเป็นอย่างมาก และอยากมาขอพรกับเจ้า
แห่งรัตติกาลบนวิหารศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งกล้าขัดคำสั่งห้ามของพี่ชายมาเที่ยวประเทศอัสดารานส์จนได้ในที่สุด
ในขณะที่ราษฎรทั่วทั้งแผ่นผืนทะเลทราย ต่างก็นับวันเร่งเวลาให้ถึงวันมหามงคลเร็วๆ แต่ผู้เป็นมกุฎราชกุมารกลับตีสีพระพักตร์อย่างเซ็งๆ ราวกับไม่ต้องการให้วันเวลานั้นมาถึง
“อีกเจ็ดวันก็หมดอิสระแล้ว”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์บ่นอุบ ขณะได้อ่านหมายกำหนดการจัดพิธีราชาภิเษกสถาปนาพระองค์ให้ขึ้นเป็นชีคแห่งอัสดารานส์ ซึ่งจะมีขึ้นในเร็ววันนี้
อัสรัสส์ วาลี บิลาน์ องครักษ์เอกของราชนิกุลหนุ่ม ได้ขยับกายเข้าไปนั่งใกล้ๆ ผู้เป็นเจ้าเหนือหัว ซึ่งกำลังตีสีพระพักตร์เซ็งสุดๆ จากนั้นก็ได้เอ่ยถามมกุฎราชกุมารด้วยความสงสัย
“พระองค์ไม่อยากขึ้นนั่งบนราชบัลลังก์อย่างงั้นหรือครับ”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์เหลือบสายตามององครักษ์เอก ก่อนจะถอนหายใจยาว จากนั้นก็ตรัสบอกความคิดของพระองค์ให้องครักษ์ผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนรัก เพื่อนตายได้รับรู้ความในใจของพระองค์
“ถ้าจะใช้คำว่า ไม่อยาก ก็ไม่ถูกซะทีเดียวหรอกนะอัสรัสส์ เพราะเรารู้ว่าอย่าง
ไรแล้ว เราก็ต้องขึ้นครองราชย์แทนท่านพ่อ เราถูกเลือกให้เกิดมาเพื่อเป็นประมุขแห่งอัสดารานส์ ซึ่งเราก็ยอมรับในชะตาฟ้าที่ได้ลิขิตมา”
“เอ่อ...ถ้าเป็นเช่นนั้นพระองค์หนักใจในเรื่องใดหรือ”
อัสรัสส์เอ่ยถามด้วยความงุนงง เพราะกริยาท่าทางของมกุฎราชกุมารบ่งบอกให้รู้ว่าพระองค์ทรงไม่อยากขึ้นครองราชย์สักเท่าไร แต่ทว่าถ้อยคำที่ตรัสตอบออกมานั้น กลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม
“ที่เรากลุ้มใจหนักใจก็เพราะว่าเราอยากเป็นมกุฎราชกุมารแห่งอัสดารานส์ไป
อีกสักยี่สิบปี รอให้เราอายุสักห้าสิบปีก่อนแล้วค่อยขึ้นครองราชย์”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์เผยความต้องการของพระองค์ให้คนที่เป็นองครักษ์ได้รับรู้ ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้
“กระหม่อมคิดว่าอีกยี่สิบปีคงนานเกินไป พระองค์ขึ้นครองราชย์ ในเวลานี้เหมาะสมที่สุดแล้ว เพราะตอนนี้ทั่วโลกต่างก็จับตามองประเทศของเราเป็นอย่างมาก ซึ่งกำลังจะมีเจ้าผู้ปกครองประเทศที่ทรงหล่อเหลา ชาญฉลาด แถมยังร่ำรวยติดอันดับโลกด้วย”
สิ่งที่องครักษ์อัสรัสส์เอ่ยออกมานั้นล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น มกุฎราชกุมารฟารีสต์ทรงเพียบพร้อมทั้งรูปทรัพย์และรูปกาย ทรงมีเรือนกายกำยำล่ำสัน พระพักตร์หล่อเหลาคมเข้ม เป็นที่ต้องตาต้องใจของสาวๆ จากทั่วทุกมุมโลก
แต่กระนั้นก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้สาวๆ อีกหลายคน ไม่กล้าเข้าใกล้ราชนิกุลหนุ่ม นั่นก็คือนัยน์ตาสีดำสนิท ซึ่งมกุฎราชกุมารหนุ่มมีดวงตาสีนิล ที่ดูลึกลับราวกับดวงตาพญาเหยี่ยว เป็นดวงตาที่จับความรู้สึกได้ยากที่สุด ซึ่งเป็นดวงตาที่ถอดเค้ามาจากผู้ที่เป็นพระบิดาไม่มีผิดเพี้ยน
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ทรงถอนหายใจยาวอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำพูดขององครักษ์ จากนั้นก็ทรงบ่นออกมาเบาๆ ราวกับเซ็งจัด
“เฮ้อ! ความหล่อเหลา ความร่ำรวยที่เจ้าพูดมานั้น มันกำลังเป็นดาบสองคม ทำให้เราได้พบแต่พวกผู้หญิงที่หิวเงิน สนใจแค่เพียงรูปกายภายนอกของเรา สาวๆ พวกนั้นกระโจนเข้าหาราวกับเห็นเราเป็นขนมหวานก็ไม่ปาน จนบางครั้งทำเอาเราหวาดกลัว แทบไม่อยากออกจากตำหนักแล้ว”
“กระหม่อมเห็นด้วยกับที่พระองค์พูด กระหม่อมยังนึกหวั่นอยู่เลยว่า พระองค์อาจจะพลาดท่าให้กับพวกเธอเหล่านั้นเข้าสักวัน”
องครักษ์อัสรัสส์พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของผู้เป็นเจ้าเหนือหัว เพราะ
ตอนที่มกุฎราชกุมารหนุ่มได้เสด็จไปศึกษายังมหาวิทยาลัยชิคาโก เมืองชิคาโก ในรัฐ
อิลลินอยส์ สาวๆ ในมหาวิทยาลัยทั้งสาวตาน้ำข้าว สาวเอเชีย หรือสาวยุโรป ต่างก็ให้ความสนใจราชนิกุลหนุ่มเป็นอย่างมาก และหากมีโอกาสพวกเธอเหล่านั้นก็ไม่รอช้า ที่จะกระโจนเข้าหาเจ้าเหนือหัวของเขา อย่างที่พระองค์ได้ตรัสออกมา
“ไม่มีทางหรอกอัสรัสส์ เราไม่มีทางหลงเข้าไปในบ่วงของพวกผู้หญิงหิวเงินง่ายๆ หรอก หากเราจะอภิเษกหรือมีพระชายาสักคน เราจะเลือกหญิงสาวที่เหมือนท่านแม่ของเรา เอาแค่สักครึ่งหนึ่งของท่านแม่ก็ยังดี”
ขณะที่ตรัสบอกองครักษ์หนุ่ม มกุฎราชกุมารฟารีสต์ก็นึกยังไม่ออกว่าจะมีใครที่งดงามทั้งกายและใจเท่ากับพระมารดาปิณฑิรา ท่านแม่ของพระองค์เป็นหญิงสาวที่เข้มแข็งที่สุด ทว่าภายในความเข้มแข็งนั้นก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและอ่อนหวาน ทำให้พระบิดาของพระองค์นั้นหลงรักท่านเป็นอย่างมาก
“หากกระหม่อมจะมีภรรยา กระหม่อมก็จะหาหญิงสาวที่งดงามเฉกเช่นกับพระชายาปิณฑิราครับ”
องครักษ์อัสรัสส์เอ่ยบอกความใจใจ พร้อมกับคลี่ยิ้มออกมาทันที เมื่อมกุฎราช
กุมารฟารีสต์ ได้ตรัสถึงพระชายาปิณฑิราพระมารดาของพระองค์
“แล้วเจ้าเจอผู้หญิงคนนั้นบ้างหรือยังอัสรัสส์”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์เอ่ยถาม ซึ่งอีกฝ่ายก็ตีหน้ามุ่ย ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
“กระหม่อมหายังไม่เจอ สงสัยชาตินี้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไปทั้งชีวิต” อัสรัสส์เอ่ยอย่างปลงๆ คิดว่าคงหาหญิงสาวที่รักเขาจากใจจริงไม่เจอเป็นแน่ ซึ่งผู้ที่เป็นเจ้าเหนือหัวก็คิดไม่ต่างจากองครักษ์สักเท่าไร
“อย่าว่าแต่เจ้าเลยอัสรัสส์ เราก็รอมาจนถึง 31 ปีแล้ว แต่เรายังไม่เจอหญิงสาว ที่รักเราอย่างจริงใจสักคน”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์บ่นอุบถึงเรื่องเนื้อคู่ตุนาหงัน โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้ท่านพ่อและท่านแม่ของพระองค์ รวมทั้งขนิษฐาตัวแสบได้แอบมายืนฟังอยู่ข้างๆ ประตูห้อง
ได้สักพักใหญ่แล้ว
ราชนิกุลหนุ่มผู้ที่จะก้าวขึ้นครองราชย์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเดิน
ออกไปที่นอกระเบียงซึ่งสามารถทอดสายตา มองเห็นคลื่นทะเลทรายสีทอง อันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาได้อย่างชัดเจน จากนั้นก็รำพึงงำพันออกมาอีกครั้ง
“ชาตินี้จะมีหญิงสาวคนไหนที่เหมือนท่านแม่บ้าง เราต้องรอไปอีกกี่ปี ถึงจะได้เจอหญิงสาวคนนั้น”
“แม่คิดว่าไม่นานเกินรอ ฟารีสต์ก็จะได้พบกับหญิงสาวคนนั้นอย่างแน่นอน”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์หันขวับตามน้ำเสียงที่ดังมาจากทางข้างหลังตนเอง และเมื่อได้เห็นร่างโปร่งบางของพระมารดา ที่ยังคงความสวยไม่สร่างแม้จะล่วงเข้าวัยห้าสิบปีตอนปลายแล้วก็ตาม ซึ่งได้เดินนำหน้าพระบิดาของพระองค์มา ก็รีบเข้าไปสวมกอดพระมารดาไว้แนบแน่นด้วยความรัก
“ท่านแม่มาเมื่อไร ทำไมไม่ให้เสียงเลยครับ”
“แหม! ขืนมาแบบอึกทึกครึกโครมก็ไม่ได้รู้กันพอดีว่าพี่ชายสุดหล่อของติยา กำลังบ่นหาเนื้อคู่ผู้เคราะห์ร้าย”
ถ้อยคำที่ตอบกลับมา หาใช่น้ำเสียงของพระมารดาไม่! แต่เป็นน้ำเสียงของขนิษฐาคนสวยของมกุฎราชกุมารฟารีสต์นั่นเอง