บทที่ 5
ฌอนนิ่งเงียบไปนานหลายนาที เขากำลังนึกถึงคำพูดของคลินต์ที่เอ่ยพูดเป็นนัยๆ ไม่ต่างจากกำลังสั่งเสีย ทว่าเขาไม่ได้เอะใจเท่านั้นเอง
“ใช่ คลินต์จงใจฆ่าตัวตาย” ฌอนพึมพำออกมาได้ในที่สุด
“ผมคงต้องแจ้งให้คุณฌอนทราบด้วยว่า ทางบริษัทประกันทั้งหมดไม่สามารถจ่ายเงินค่าประกันให้กับคุณฌอนได้ ในกรณีที่คุณคลินต์...”
“ผมไม่สนใจเรื่องเงินประกัน”
ฌอนเอ่ยสวนออกมาในทันทีก่อนตำรวจจะทันพูดจบ แน่นอนว่าเงินครึ่งร้อยล้านที่จะได้จากวงเงินประกันชีวิต ไม่ได้มีค่าเท่ากับชีวิตของน้องชายเขา และหากแลกกันได้...เขาต้องการชีวิตของคลินต์กลับคืนมา
“ถ้าหากไม่เป็นการเสียมารยาทจนเกินไป คุณตำรวจคงไม่ว่าอะไร หากผมจะขอตัวไปพักผ่อนก่อน เดี๋ยวผมจะให้เลขาฯ ของผมส่งคุณตำรวจกลับนะครับ”
ฌอนต้องการไปค้นหาความจริงและสาเหตุที่ทำให้น้องชายจงใจฆ่าตัวตาย จึงตัดบทการสนทนากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองก็พอจะเข้าใจเช่นเดียวกัน
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องไปส่งพวกเราหรอกครับ ผมขอแสดงความเสียใจเรื่องของคุณคลินต์ด้วยนะครับ”
“ขอบคุณมากครับ ขอบคุณที่ช่วยทำคดีของคลินต์ เสร็จธุระสำคัญเมื่อไร ผมขอเชิญคุณตำรวจทั้งสองมาทานมื้อค่ำด้วยกันนะครับ”
“ด้วยความยินดีครับ ถ้ายังงั้นพวกผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“อดัม ไปส่งคุณตำรวจด้วย”
“ครับ เจ้านาย”
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”
ฌอนลุกขึ้นยืนพลางยื่นมือไปจับกับตำรวจทั้งสองคน จากนั้นก็ยืนรอกระทั่งตำรวจเดินออกจากห้องโถง โดยมีอดัมไปส่งขึ้นรถ จึงหมุนตัวเดินขึ้นบันไดบ้าน แน่นอนว่ามีเป้าหมายอยู่ที่ห้องนอนของคลินต์นั่นเอง
หากคลินต์จงใจฆ่าตัวตายจริง ก็ต้องมีมูลเหตุและคงเขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้บ้าง ฌอนเข้ามาในห้องนอนของน้องชาย ค้นหาสมุดบันทึก โทรศัพท์ ภาพถ่าย หรืออะไรก็ตาม ที่สามารถช่วยเพิ่มความกระจ่างให้แก่ตัวเขาได้
“ต้องมีสาเหตุที่ทำให้ให้นายตัดสินใจฆ่าตัวตาย”
ฌอนพุ่งเป้าไปยังหัวเตียงนอน เปิดค้นทุกลิ้นชักบนหัวเตียง แต่ก็พบกับความว่างเปล่า ทว่า...ชายหนุ่มไม่ละความพยายาม เปลี่ยนไปค้นหาบนโต๊ะทำงานภายในห้องนอน และบนกองหนังสือที่ถูกวางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะ ชายหนุ่มก็เห็นสมุดบันทึกปกสีดำที่วางรวมอยู่ด้วย
มือใหญ่หยิบสมุดออกมาเปิดอ่านอย่างรวดเร็ว และความจริงเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้
คลินต์ตัดสินใจฆ่าตัวตายก็ปรากฏอยู่ต่อสายตาของเขา
‘บ้าชะมัด หมอบอกว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า ต้องไปพบหมอทุกเดือน’
‘ต้องไปหาหมออีกแล้ว หมอจ่ายยามาให้เป็นสิบๆ ซอง’
‘อืม...บรั่นดีรสชาติเยี่ยมกว่ายาของหมอเป็นร้อยเท่า พระเจ้า...เหล้าช่วยดับทุกข์ได้จริงๆ แต่! ไอ้คลินต์ นายกำลังจะกลายเป็นคนติดเหล้า’
‘โธ่เว้ย! คราวนี้เป็นทั้งโรคซึมเศร้า ทั้งติดเหล้า ไอ้คลินต์! ชีวิตของนายมีอะไรดีเหมือนฌอนบ้างไหม’
‘พระเจ้า! เราฝันร้ายติดกันเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ชีวาพรมาหาเรา ใบหน้าเธอดูน่ากลัว ดวงตาแถบถลนออกมานอกเบ้า เธอชี้หน้าด่าและสาปแช่งเรา ให้เราตกนรก...โอ้วว...ตอนนี้ไอ้คลินต์กำลังตกนรกทั้งเป็น’
‘ทรมานเว้ย! ชีวาพรมาสาปแช่งเราอีกแล้ว เธอบอกว่าเธอต้องตายเพราะเราไม่รับ
ผิดชอบเธอกับลูก เธอให้เราไปตาย ไปลงนรก ใช่! ไอ้คลินต์ นายสมควรตาย’
‘อยากตาย เราอยากตาย ถ้าเราตายไป ชีวาพรและลูกต้องให้อภัยเรา’
‘บ้าฉิบ! อยากตายแต่ทำไมไม่ตาย เชือกผูกคอขาด รอบที่สองแล้วที่ยมบาลไม่ยอมพาเราไปลงนรก’
“พระเจ้า! คลินต์พยายามฆ่าตัวตายถึงสองครั้งแล้ว”
ฌอนสบถออกมาหลังจากอ่านบันทึกของคลินต์ที่เขียนไว้หลายหน้าด้วยกัน ยิ่งได้อ่านบันทึก ก็ยิ่งทำให้เขารู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับน้องชาย มือใหญ่เปิดบันทึกหน้าต่อไป ซึ่งบางช่วงบางตอนมีการเขียนแล้วขีดฆ่าจนกลายเป็นสีดำทึบ ทำให้เขาอ่านไม่ออกว่าคลินต์เขียนว่าอย่างไรบ้าง
และเมื่อเปิดมาอีกหน้า ฌอนก็ได้อ่านข้อความที่คลินต์เริ่มเขียนถึงชีวาพรและลูก รวมทั้งมีภาพคู่ระหว่างคลินต์และชีวาพรที่สอดอยู่ในหน้านี้ด้วย
‘ชีวาพร ผมเลวมากใช่ไหมที่หลอกคุณ’
ฌอนหยิบภาพคู่ระหว่างทั้งสองที่มีอยู่หลายใบขึ้นมาดูใกล้ๆ และสิ่งที่เขาสังเกตเห็นจากภาพถ่ายทุกใบคือชีวาพรมองคลินต์ด้วยแววตารักล้นใจ แต่เมื่อมองภาพของคลินต์กลับตรงกันข้าม คลินต์ถ่ายภาพด้วยสีหน้าเฉยเมย ไม่มีวี่แววว่ารักชีวาพรแม้แต่นิดเดียว
ฌอนวางภาพถ่ายลงบนโต๊ะทำงาน กวาดสายตาอ่านข้อความบนกระดาษสีขาวของสมุดบันทึกต่อ และนั่นทำให้เขารู้ว่าทำไมคลินต์ถึงได้ถ่ายภาพคู่กับชีวาพรโดยไม่มีรอยยิ้มเลย
‘ผมเป็นยิ่งกว่าปีศาจ ผมรู้ว่าคุณรักผม และผมก็ป้อนคำหวานใส่คุณเพียง เพื่อต้องการให้คุณตกเป็นของเล่นชั่วครั้งชั่วคราวของผม...ผมไม่เคยคิดจริงจังกับคุณเลย ในหัวคิดแค่ว่าเบื่อคุณแล้วก็เฉดหัวทิ้ง และผมก็ทำจริงๆ เมื่อคุณบอกว่ากำลังตั้งท้องกับผม วินาทีแรกที่ได้ยินว่าท้อง ผมปฏิเสธและไล่คุณออกจากชีวิตของผมในทันที ผมเลวมากใช่ไหม? ชีวาพร...ผมไม่แปลกใจที่ฝันร้ายถึงคุณตลอดเวลาหลายเดือน และคุณก็สาปแช่งให้ผมไปตาย ไปลงนรก! ผมกำลังพยายามแล้วชีวาพร ผมอยากตาย คุณมารับผมไปด้วย’
ฌอนเปิดบันทึกในหน้าต่อไป ซึ่งคลินต์ยังคงเขียนถึงชีวาพรอยู่
‘ชีวาพร ถ้าย้อนเวลาได้ ผมอยากรับผิดชอบคุณและลูก ผมจะดูแลคุณให้ดีที่สุด เมื่อผมตาย คุณจะยกโทษให้ผม จะมาไหว้หลุมศพของผมไหม ได้โปรด...ยกโทษให้ผมด้วย’
สีหน้าของฌอนเต็มไปด้วยความหมองเศร้าขณะอ่านบันทึกของคลินต์ ชายหนุ่มลูบมือไปบนกระดาษซึ่งมีรอยด่างติดอยู่ และเขามั่นใจว่านั่นคงเป็นหยาดน้ำตาของคลินต์ที่หยดลงบนกระดาษ และเมื่ออ่านในหน้าต่อไปก็ต้องขบกรามแน่นเพื่อระงับความเสียใจ เมื่อคลินต์เขียนข้อความถึงเขา
‘ฌอน...พี่เป็นพี่ชายที่วิเศษที่สุด พี่เป็นลูกที่ทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ แต่ผมทำไม่ได้ครึ่งหนึ่งของพี่ ผมทำตัวเป็นเพลย์บอย ไม่เคยคิดช่วยพี่ทำงาน สุดท้ายผมก็กลายเป็นโรคซึมเศร้า ผมอยากคุยกับพี่ อยากได้คำแนะนำจากพี่ แต่พี่ก็ไม่มีเวลาให้ผม...ผมจึงต้องพึ่งเหล้าเป็นเครื่องมือดับทุกข์ ฌอน...ผมติดเหล้าอย่างหนัก ผมพยายามไปบำบัดหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ หากไม่ดื่มเหล้า ผมก็นอนไม่ได้ ผมฝันเห็นชีวาพรในทุกคืน ผมทนให้เธอสาปแช่งผมต่อไปไม่ไหวแล้ว กว่าพี่จะได้อ่านบันทึกของผม...ผมก็คงตายแล้ว และพี่ต้องด่าว่าผมเป็นคนขี้ขลาดที่เลือกจบชีวิตด้วยวิธีนี้ แต่...ฌอน...ได้โปรดทำเพื่อผม พาลูกของผมและชีวาพรมาไหว้หลุมศพของผมด้วย ผมรักพี่...ฌอน...’