บทที่ 4
บทที่ 2
อีกสองวันต่อมา...
ฌอนวางดอกกุหลาบสีขาวลงบนโลงศพของน้องชายพร้อมกับเคาะเบาๆ บนโลงศพ เอ่ยบอกให้คลินต์ได้รับรู้ในสิ่งที่ตนเองกำลังทำเพื่อเขา
“คลินต์ พี่สั่งให้อดัมจ้างนักสืบในประเทศไทย สืบหาชีวาพรแล้ว ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์พี่คงได้ที่อยู่ของเธอ และทันทีที่รู้ว่าชีวาพรอยู่ที่ใดในประเทศไทย พี่จะเดินทางไปหาเธอในทันที นายไม่ต้องเป็นห่วง พี่สัญญาอะไรไว้พี่จะทำให้ได้ เพราะพี่ไม่เคยผิดสัญญากับนายแม้แต่ครั้งเดียว หลับให้สบายนะ น้องพี่...พี่รักนาย คลินต์”
ฌอนผละถอยออกหลังจากบอกน้องชายเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ยืนมองเจ้าหน้าที่ในโบสถ์ได้ช่วยกันวางโลงศพของคลินต์ลงในหลุมศพ สีหน้าของชายหนุ่มแลดูอิดโรย ขอบตาลึกดำคล้ำ
เพราะตั้งแต่คลินต์เสียชีวิต ชายหนุ่มแทบไม่ได้นอนพักเลย คราใดที่หลับตาลงเขามองเห็นแต่ภาพของน้องชายที่บาดเจ็บสาหัสขณะติดอยู่ในซากรถ อีกครั้งคำพูดสุดท้ายของคลินต์ที่แล่นเข้ามาในโสตประสาท ทำให้เขาหลับไม่ลง ในใจนั้นเต็มไปด้วยความกังวลอยากทำตามความต้องการของน้องชายให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด
อดัม เลขาฯ คนสนิทซึ่งคอยอยู่เคียงข้างกับเจ้านายหนุ่มตั้งแต่วันแรกที่คลินต์เสียชีวิต กระทั่งถึงวินาทีสุดท้ายในการฝังศพของคลินต์ เจย์ฟอร์ต ได้สะกิดเจ้านาย พร้อมกับเอ่ยบอกว่า
“เจ้านายครับ เจ้าหน้าที่ตำรวจขอพบเจ้านาย ผมนัดพวกเขาไว้ในอีกหนึ่งชั่วโมงครับ”
“ตำรวจที่ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุใช่ไหม”
ฌอนเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา ดวงตาอันแดงก่ำเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความเสียใจ ยังคงจ้องมองหลุมศพของคลินต์โดยไม่วางตา
“ใช่ครับ เจ้านาย”
“ถ้ายังงั้นไปรอตำรวจที่บ้าน เราอยากรู้ผลการตรวจสอบจากตำรวจเหมือนกัน”
ฌอนถอนหายใจยาว รู้อยู่แก่ใจดีว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คลินต์ประสบอุบัติเหตุในครั้งนี้คือเขาเมาแล้วขับรถ แต่เขาก็อยากรู้สาเหตุอื่นๆ ด้วย ชายหนุ่มก้าวเท้าช้าๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งใกล้กับหลุมศพ กดริมฝีปากลงไปบนป้ายหลุมศพที่ทำจากหินอ่อนราคาแพง สลักชื่อคลินต์ เจย์ฟอร์ต ด้วยตัวอักษรสีทองสวยงาม แล้วเอ่ยบอกน้องชายเป็นครั้งสุดท้ายว่า
“พี่รักนาย คลินต์ รออีกไม่นานความต้องการของนายจะเป็นจริง ลูกของนายและชีวาพรจะต้องมายืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เพื่อจูบป้ายชื่อของนายเหมือนที่พี่กำลังทำอยู่ อีกไม่นาน คลินต์ อีกไม่นาน...”
หลังจากเสร็จพิธีฝังศพของคลินต์แล้ว ฌอนและอดัมก็กลับมารอเจ้าหน้าที่ตำรวจในคฤหาสน์ ซึ่งรอไม่นานเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนก็เดินทางมาถึง หลังจากทักทายกับเจ้าหน้าหน้าที่ตำรวจพอเป็นพิธีแล้ว ฌอนก็เอ่ยถามด้วยความใจร้อน
“ผมอยากทราบผลการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุครับ”
“ครับ คุณฌอน” เจ้าหน้าที่ตำรวจรับคำ พลางยื่นซองเอกสารให้ฌอนขณะเอ่ยบอกต่อว่า “ผลการตรวจสอบระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายของคุณคลินต์ มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงมาก และผมอยากให้คุณฌอนดูภาพที่อยู่ในซองเอกสารด้วยครับ”
ฌอนกำลังทำตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเอ่ยบอก ทันทีที่เห็นภาพถ่ายจากสถานที่เกิดเหตุ ก็ขบกรามเข้าหากันแน่นเพื่อระงับความเสียใจ พลางเอ่ยพึมพำเสียงแผ่วเบา
“รอยล้อรถของคลินต์”
“ใช่ครับ รอยล้อรถบนถนนจากบ้านของคุณฌอนไปถึงที่เกิดเหตุ ห่างกันแค่แปดร้อยเมตร ซึ่งไม่มีรอยเบรกรถเลย และเข็มไมล์ของรถค้างอยู่ที่สองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงครับ”
“ไม่มีการเบรกรถและขับด้วยความเร็วสูง ทำให้เราสันนิษฐานว่าคุณคลินต์จงใจขับรถชนเสาไฟครับ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนเอ่ยบอกต่อจากเพื่อนร่วมงาน ซึ่งคำพูดของเขาทำเอาฌอนและอดัมต้องมองหน้ากันแล้วนิ่งงันไปชั่วขณะ
“พวกคุณกำลังจะบอกผมว่า คลินต์จงใจฆ่าตัวตาย”
ฌอนหลุดเสียงถามออกมาได้ในที่สุด ซึ่งหากเป็นเช่นดั่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานจริง เขาก็มืดแปดด้านไม่เข้าใจว่าทำไมน้องชายต้องฆ่าตัวตายด้วย
“ใช่ครับ เราสันนิษฐานว่าเป็นเช่นนั้น เพราะบนถนนไม่มีร่องรอยการเบรกรถเลย คุณฌอนดูภาพนี้ครับ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจหยิบภาพถ่ายใบหนึ่งยื่นให้ฌอนและอดัมได้ดูพร้อมกัน แล้วเอ่ยบอกต่อ
“นี่คือรอยล้อรถของคุณคลินต์ ซึ่งจะเห็นได้ว่าคุณคลินต์ขับรถพุ่งตรงจากตัวบ้านตรงดิ่งมาที่เสาไฟโดยตรง รถยนต์ไม่มีส่ายไปมาหรือหักเลี้ยวแม้แต่นิดเดียว ซึ่งนั่นทำให้ทางเรามั่นใจว่าคุณคลินต์จงใจขับรถชนเสาไฟครับ”
“คุณคลินต์จงใจทำเช่นนั้น”
อดัมเอ่ยออกเบาๆ และฌอนก็ต้องยอมรับในความจริงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บอกมา เพราะภาพถ่ายรอยล้อรถในหลายๆ ภาพ บอกให้เห็นชัดว่าคลินต์จงใจขับรถพุ่งตรงหาเสาไฟฟ้าจริงๆ